พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๒ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๗๑-๑๘๐
1)
กกจูปมสูตรที่ ๑
ว่าด้วยอุปมาด้วยเลื่อย
พระโมลิยผัคคุนะคลุกคลีกับภิกษุณี
(พระโมลิยผัคคุนะ อยู่คลุกคลีกับภิกษุณี ทั้งหลายเกินเวลา พระผู้มีพระภาคจึงเรียกมาพบ พระโมลิยฯ ยอมรับว่าจริง.. จึงมีพุทธโอวาทว่า ..การที่เธออยู่คลุกคลีกับพวกภิกษุณีจนเกิน เวลา นี้ไม่สมควรแก่เธอในฐานะที่เป็นกุลบุตรผู้เป็นบรรพชิต ถ้าแม้ภิกษุรูปไรติเตียนภิกษุณี เหล่านั้นต่อหน้าเธอ เธอพึงละความพอใจ และวิตก อันอาศัยเรือนเสีย แม้ในข้อนั้น เธอพึง ศึกษาอย่างนี้ว่า จิตของเราจักไม่แปรปรวน เราจักไม่เปล่งวาจาที่ลามก จักอนุเคราะห์ด้วย สิ่งที่เป็นประโยชน์อยู่ แลจักเป็นผู้มีเมตตาจิต ไม่มีโทสะภายใน)
[๒๖๓] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้:-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิก เศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี
โดยสมัยนั้น ท่านพระโมลิยผัคคุนะ อยู่คลุกคลีกับภิกษุณี ทั้งหลายเกินเวลา ท่านพระโมลิยผัคคุนะอยู่ คลุกคลีกับภิกษุณีทั้งหลายอย่างนี้ ถ้าภิกษุรูปไร ติเตียนภิกษุณี เหล่านั้น ต่อหน้า ท่านพระโมลิยผัคคุนะท่านก็โกรธ ขัดใจ ภิกษุรูปนั้น ถึงกระทำให้เป็น อธิกรณ์ก็มี อนึ่ง ถ้าภิกษุรูปไรติเตียนท่านพระโมลิยผัคคุนะ ต่อหน้าภิกษุณีเหล่านั้น พวกภิกษุณีก็พากันโกรธ ขัดใจภิกษุรูปนั้น ถึงกระทำให้เป็น อธิกรณ์ ก็มี ท่านพระโมลิยผัคคุนะ อยู่คลุกคลีกับภิกษุณีทั้งหลายอย่างนี้
ครั้งนั้น ภิกษุรูปใดรูปหนึ่ง เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคม แล้วนั่งอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ท่านพระโมลิยผัคคุนะ อยู่คลุกคลีกับพวกภิกษุณีเกินเวลา ท่านพระโมลิยผัคคุนะ อยู่คลุกคลีกับพวกภิกษุณีเช่นนี้ ถ้าภิกษุรูปไรติเตียนพวกภิกษุณีเหล่านั้น ต่อหน้าท่าน พระโมลิยผัคคุนะ ท่านก็โกรธ ขัดใจภิกษุรูปนั้น ถึงกระทำให้เป็นอธิกรณ์ก็มี
อนึ่ง ถ้าภิกษุรูปไร ติเตียนท่านพระโมลิยผัคคุนะ ต่อหน้าพวกภิกษุณีเหล่านั้น พวกภิกษุณี เหล่านั้นก็โกรธ ขัดใจภิกษุรูปนั้น ถึงกระทำให้เป็นอธิกรณ์ ก็มีท่าน พระโมลิยผัคคุนะ อยู่คลุกคลีกับพวกภิกษุณีเช่นนี้
[๒๖๔] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาค ตรัสเรียกภิกษุรูปใดรูปหนึ่งมา ตรัสว่า ดูกรภิกษุเธอจงมา เธอจงบอกโมลิยผัคคุนะภิกษุ ตามคำของเราว่า
ดูกรท่านโมลิยผัคคุนะ พระศาสดาให้หาท่าน ภิกษุรูปนั้นทูลรับพระดำรัสของ พระผู้มีพระภาคแล้ว เข้าไปหาท่าน พระโมลิยผัคคุนะ ถึงที่อยู่ ครั้นแล้วได้กล่าวคำนี้ กะท่านพระโมลิยผัคคุนะว่า
ดูกรท่านโมลิยผัคคุนะ พระศาสดารับสั่งให้หาท่าน ท่านพระโมลิยผัคคุนะ รับคำ ภิกษุรูปนั้นแล้ว ก็เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว นั่ง ณ ที่ควรข้างหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสถามท่านพระโมลิยผัคคุนะดังนี้ว่า
ดูกรผัคคุนะ ได้ทราบว่า เธออยู่คลุกคลีกับพวกภิกษุณีจนเกินเวลา
ดูกรผัคคุนะ เธออยู่คลุกคลีกับพวกภิกษุณีเช่นนั้น ถ้าภิกษุรูปไรติเตียนพวก ภิกษุณีเหล่านั้น ต่อหน้าเธอ เธอก็โกรธ ขัดใจภิกษุรูปนั้น ถึงกระทำให้เป็นอธิกรณ์ก็มี อนึ่ง ถ้าภิกษุรูปไรติเตียนเธอ ต่อหน้าภิกษุณีทั้งหลาย เธอเหล่านั้นก็โกรธ ขัดใจ ภิกษุรูปนั้น ถึงกระทำให้เป็นอธิกรณ์ก็มี
ดูกรผัคคุนะ เธออยู่คลุกคลีกับภิกษุณีทั้งหลาย เช่นนี้จริงหรือ?
พระโมลิยผัคคุนะ ทูลรับว่า จริงพระพุทธเจ้าข้า จึงตรัสถามต่อไปว่า
ดูกรผัคคุนะ เธอเป็นกุลบุตรออกจากเรือน บวชเป็นบรรพชิตด้วยศรัทธา มิใช่หรือ?
โม
อย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า
พ. ดูกรผัคคุนะ การที่เธออยู่คลุกคลีกับพวกภิกษุณี จนเกินเวลานี้ ไม่สมควรแก่เธอ ผู้เป็นกุลบุตร ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต ด้วยศรัทธาเลย
ดูกรผัคคุนะ เพราะฉะนั้น ถ้าแม้ภิกษุรูปไรติเตียนภิกษุณีเหล่านั้นต่อหน้าเธอ แม้ในข้อนั้น เธอพึงละ ความพอใจ และวิตกอันอาศัยเรือนเสีย แม้ในข้อนั้น เธอพึงศึกษา อย่างนี้ว่า จิตของเรา จักไม่แปรปรวน และเราจักไม่เปล่งวาจาที่ลามก จักอนุเคราะห์ ด้วยสิ่งที่เป็นประโยชน์อยู่ แลจักเป็นผู้มีเมตตาจิต ไม่มีโทสะภายใน
ดูกรผัคคุนะ เธอพึงศึกษาอย่างนี้แล
ดูกรผัคคุนะ เพราะฉะนั้น ถ้าใครๆ ประหารภิกษุณีเหล่านั้นด้วยฝ่ามือ ด้วยก้อนดิน ด้วยท่อนไม้ ด้วยศาตราต่อหน้าเธอ แม้ในข้อนั้น เธอพึงละความพอใจและ วิตก อันอาศัย เรือนเสีย แม้ในข้อนั้น เธอพึงศึกษาอย่างนี้ว่า จิตของเราจักไม่แปรปรวน และเราจัก ไม่เปล่งวาจาที่ลามก จักอนุเคราะห์ด้วยสิ่งที่เป็นประโยชน์อยู่ แลจักเป็นผู้มี เมตตาจิต ไม่มีโทสะภายใน
ดูกรผัคคุนะ เธอพึงศึกษาอย่างนี้แล
ดูกรผัคคุนะ เพราะฉะนั้น ถ้าใครๆติเตียนตัวเธอเอง ต่อหน้าเธอ แม้ในข้อนั้น เธอพึงละความพอใจ และวิตกอันอาศัยเรือนเสีย ดูกรผัคคุนะ แม้ในข้อนั้น เธอพึงศึกษา อย่างนี้ว่า จิตของเราจักไม่แปรปรวน และเราจักไม่เปล่งวาจาที่ลามก จักอนุเคราะห์ด้วย สิ่งที่เป็นประโยชน์อยู่ แลจักเป็นผู้มีเมตตาจิต ไม่มีโทสะภายใน
ดูกรผัคคุนะ เธอพึงศึกษาอย่างนี้แล
ดูกรผัคคุนะ เพราะฉะนั้น ถ้าใครๆประหารเธอด้วยฝ่ามือ ด้วยก้อนหิน ด้วยท่อนไม้ ด้วยศาตรา ดูกรผัคคุนะ แม้ในข้อนั้น เธอพึงละความพอใจ และวิตกอันอาศัยเรือนเสีย แม้ในข้อนั้น เธอพึงศึกษาอย่างนี้ว่า จิตของเราจักไม่ แปรปรวน และเราจักไม่เปล่งวาจา ที่ลามก จักอนุเคราะห์ด้วยสิ่งที่เป็นประโยชน์แล จักเป็นผู้มีเมตตาจิต ไม่มีโทสะภายใน
ดูกรผัคคุนะ เธอพึงศึกษาอย่างนี้ดังนี้แล
2)
ทรงแนะนำให้ฉันอาหารที่อาสนะแห่งเดียว
(ภิกษุท. เราฉันอาหารที่อาสนะแห่งเดียว เมื่อเรา ฉันอาหาร ที่อาสนะแห่งเดียวอยู่ แลรู้สึกว่า มีอาพาธน้อย มีความลำบากกายน้อย มีความเบากาย มีกำลัง และอยู่อย่างผาสุก)
[๒๖๕] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัส เรียกภิกษุทั้งหลายมาตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมัยหนึ่ง พวกภิกษุได้ทำจิตของเราให้ยินดีเป็นอันมาก เราขอเตือน ภิกษุทั้งหลายไว้ในที่นี้ว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราฉันอาหารที่อาสนะแห่งเดียว เมื่อเรา ฉันอาหาร ที่อาสนะแห่งเดียวอยู่ แลรู้สึกว่ามีอาพาธน้อย มีความลำบากกายน้อย มีความเบากาย มีกำลัง และอยู่อย่างผาสุก ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถึงพวกเธอก็จงฉันอาหาร ที่อาสนะ แห่งเดียวเถิด แม้พวกเธอฉันอาหารที่อาสนะแห่งเดียวกัน ก็จะรู้สึกว่ามี อาพาธน้อย มีความลำบากกายน้อย มีความเบากายมีกำลังและอยู่อย่างผาสุก
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจะไม่ต้องพร่ำสอนภิกษุเหล่านั้นอีก การทำสติให้เกิดได้ เป็นกรณียะ ในภิกษุเหล่านั้นแล้ว ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนรถที่เทียมด้วยม้า อาชาไนย ซึ่งเป็นม้าที่ได้รับการฝึกมาดีแล้ว เดินไปตามหนทางใหญ่ ๔ แพร่ง ในที่มีพื้นราบเรียบ โดยไม่ต้องใช้แส้ชั่ว แต่นายสารถี ผู้ฝึกหัดที่ฉลาดขึ้นรถ แล้วจับสาย บังเหียนด้วยมือซ้าย จับแส้ด้วยมือขวาแล้ว ก็เตือนให้ม้าวิ่งตรงไป หรือเลี้ยวกลับไป ตามถนนตามความปรารถนาได้ ฉันใด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจะไม่ต้องพร่ำสอนภิกษุทั้งหลายเนืองๆ ฉันนั้นเหมือนกัน การทำสติให้เกิดได้ เป็นกรณียะ ในภิกษุเหล่านั้นแล้ว
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะฉะนั้น แม้พวกเธอก็ จงละอกุศลธรรมเสีย จงทำความ พากเพียร แต่ในกุศลธรรมทั้งหลาย เมื่อเป็นเช่นนี้ แม้พวกเธอก็จักถึงความเจริญ งอกงาม ไพบูลย์ในพระธรรมวินัยนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนป่าไม้รังใหญ่ ใกล้บ้านหรือนิคม และป่านั้นดาดไปด้วยต้นละหุ่ง ชายคนหนึ่ง เล็งเห็นประโยชน์ และ คุณภาพ ของต้นรังนั้น ใคร่จะทำให้ต้นรังนั้นให้ปลอดภัย เขาจึงตัดต้นรังเล็กๆ ที่คด และ ถางต้นละหุ่ง อันคอยแย่ง โอชาของต้นรังนั้นออก นำไปทิ้งในภายนอกเสียสิ้น ทำภายในป่า ให้สะอาดเรียบร้อยแล้ว คอยรักษาต้นรังเล็กๆ ต้นตรงที่ขึ้นแรงดี โดยถูกต้องวิธีการ
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ด้วยการกระทำดังที่กล่าวมานี้แหละ กาลต่อมา ป่าไม้รังนั้น ก็ถึงความเจริญ งอกงาม ไพบูลย์ขึ้นโดยลำดับฉันใด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้พวกเธอ ก็จงละอกุศลธรรมเสีย จงทำความพากเพียรอยู่ แต่ในกุศลธรรมทั้งหลาย ฉันนั้นเถิด เพราะเมื่อเป็นเช่นนี้ แม้พวกเธอ ก็จะถึงความเจริญ งอกงามไพบูลย์ ในพระธรรมวินัยนี้ ถ่ายเดียว
3)
แม่เรือนชื่อเวเทหิกา
(ทาสีชื่อกาลีเป็นคนขยัน ทดสอบนิสัยเจ้านายชื่อว่า เวเทหิกา ด้วยการแกล้งตื่นสาย จึงถูกด่าว่าด้วยถ้อยคำหยาบคาย จึงโพนทนาถึงความชั่วร้าย ว่าแม่เรือนเป็นคนดุร้าย ไม่อ่อนโยน ไม่สงบเสงี่ยมเรียบร้อย เหมือนคำเล่าลือแต่อย่างใด ...ภิกษุก็เช่นกัน ควรเป็น คนว่าง่าย)
[๒๖๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว ที่พระนครสาวัตถีนี้แหละ มีแม่เรือน คนหนึ่ง ชื่อว่าเวเทหิกา ดูกรภิกษุทั้งหลาย กิตติศัพท์อันงามของแม่เรือนชื่อว่าเวเทหิกา ขจรไปแล้วอย่างนี้ว่า แม่เรือนชื่อว่าเวเทหิกา เป็นคนสงบเสงี่ยมอ่อนโยน เรียบร้อย ดูกรภิกษุทั้งหลายก็แม่เรือนเวเทหิกา มีทาสีชื่อกาลีเป็นคนขยัน ไม่เกียจคร้าน จัดการงานดี
ต่อมา นางกาลีได้คิดอย่างนี้ว่า กิตติศัพท์อันงามของนายหญิงของเรา ขจรไป แล้ว อย่างนี้ว่า แม่เรือนชื่อว่าเวเทหิกาเป็นคนสงบเสงี่ยม อ่อนโยน เรียบร้อย ดังนี้ นายหญิงของเราไม่ทำความโกรธที่มีอยู่ภายในให้ปรากฏ หรือไม่มีความโกรธอยู่เลย หรือว่านายหญิงของเรา ไม่ทำความโกรธที่มีอยู่ภายในให้ปรากฏ ก็เพราะเราจัดการงาน ทั้งหลายเรียบร้อยดีไม่ใช่ไม่มีความโกรธ อย่ากระนั้นเลยจำเราจะต้องทดลองนายหญิงดู
วันรุ่งขึ้นนางกาลีทาสี ก็แสร้งลุกขึ้นสาย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฝ่ายแม่เรือนเวเทหิกา ก็ได้ตวาดนางกาลีทาสีขึ้นว่า
เฮ้ย อีคนใช้ กาลี นางกาลีจึงขานรับว่า อะไรเจ้าขา
เว. เฮ้ย เองเป็นอะไรจึงลุกจนสาย
กา. ไม่เป็นอะไรดอก เจ้าค่ะ
นางจึงกล่าวอีกว่า อีคนชั่วร้าย ก็เมื่อไม่เป็นอะไร ทำไมเองจึงลุกขึ้น จนสาย ดังนี้แล้วโกรธ ขัดใจ ทำหน้าบึ้ง
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ทีนั้นนางกาลีทาสีจึงคิดว่า นายหญิงของเราไม่ทำความโกรธ
ที่มีอยู่ในภายใน ให้ปรากฏเท่านั้น ไม่ใช่ไม่มีความโกรธ ที่ไม่ทำความโกรธ ที่มีอยู่ใน ภายในให้ปรากฏ ก็เพราะเราจัดการงานทั้งหลายเรียบร้อยดี ไม่ใช่ไม่มีความโกรธ อย่ากระนั้นเลย เราจะต้องทดลองนายหญิงให้ยิ่งขึ้นไป
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถัดจากวันนั้นมา นางกาลีทาสี จึงลุกขึ้นสายกว่านั้นอีก ครั้งนั้น แม่เรือนเวเทหิกา ก็ตวาดนางกาลีทาสีอีกว่า เฮ้ย อีคนใช้กาลี
กา. อะไรเล่า เจ้าข้า
เว. อีคนใช้ เองเป็นอะไรจึงนอนตื่นสาย
กา. ไม่เป็นอะไรดอก เจ้าค่ะ
นางจึงกล่าวอีกว่า เฮ้ย อีคนชั่วร้าย ก็เมื่อไม่เป็นอะไร ทำไมเองจึงนอนตื่นสาย เล่า. ดังนี้แล้ว โกรธ ขัดใจ แผดเสียงด่าด้วยถ้อยคำหยาบคาย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ทีนั้น นางกาลีทาสีจึงคิดดังนี้ว่า นายหญิงของเรา ไม่ทำความโกรธที่มีอยู่ในภายใน ให้ปรากฏเท่านั้น ไม่ใช่ไม่มีความโกรธ ที่ไม่ทำ ความโกรธที่มีอยู่ ในภายใน ให้ปรากฏ ก็เพราะเราจัดการงานทั้งหลาย ให้เรียบร้อยดี ไม่ใช่ไม่มีความโกรธ อย่ากระนั้นเลย เราจะต้องทดลองให้ยิ่งขึ้น ไปกว่านี้อีก ดังนี้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย แต่นั้นมา นางกาลีทาสีก็ลุกขึ้นสายกว่าทุกวัน ครั้งนั้น แม่เรือนเวเทหิกาผู้นาย ก็ร้องด่าตวาดนางกาลีทาสีอีกว่า อีกาลีตัวร้าย
กา. อะไรเล่า เจ้าข้า
เว. อีคนใช้ เองเป็นอะไร จึงตื่นสายนักเล่า
กา. ไม่เป็นอะไรดอก เจ้าค่ะ
นางจึงกล่าวอีกว่า เฮ้ย อีชาติชั่ว ก็ไม่เป็นอะไร ทำไมจึงนอนตื่นสายนักเล่า ดังนี้แล้ว โกรธจัด จึงคว้าลิ่มประตู ปาศีรษะ ปากก็ว่า กูจะทำลายหัวมึง
ดูกรภิกษุทั้งหลาย คราวนั้นนางกาลีทาสีมีศีรษะแตก โลหิตไหลโซม จึงเที่ยว โพนทะนา ให้บ้านใกล้เคียง ทราบว่า คุณแม่คุณพ่อทั้งหลาย เชิญดูการกระทำของคน สงบ เสงี่ยม อ่อนโยน เรียบร้อยเอาเถิด ทำไมจึงทำแก่ทาสีคนเดียวอย่างนี้เล่า เพราะโกรธเคืองว่า นอนตื่นสาย จึงคว้าลิ่มประตูปาเอาศีรษะ ปากก็ว่ากูจะทำลายหัวมึง ดังนี้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย แต่นั้นมา กิตติศัพท์อันชั่วของแม่เรือนเวเทหิกา ก็ขจรไป อย่างนี้ว่า แม่เรือนเวเทหิกา เป็นคนดุร้าย ไม่อ่อนโยน ไม่สงบเสงี่ยมเรียบร้อย แม้ฉันใด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุบางรูปในพระธรรมวินัยนี้ ก็ฉันนั้น เป็นคน สงบเสงี่ยมจัด เป็นคนอ่อนโยนจัด เป็นคนเรียบร้อยจัด ได้ก็เพียงชั่วเวลาที่ยัง ไม่ได้กระทบด้วยคำ อันไม่เป็นที่พอใจเท่านั้น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อใด เธอกระทบถ้อยคำอันไม่เป็นที่พอใจเข้า ก็ยังเป็นคนสงบเสงี่ยม อ่อนโยนเรียบร้อยอยู่ได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อนั้นแหละ ควรถือว่าเธอ เป็นคน สงบเสงี่ยม เป็นคนอ่อนโยน เป็นคนเรียบร้อยจริง (ทดสอบจิต โดยสังเกตจากการกระทบทางผัสสะ)
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราไม่เรียกภิกษุรูปที่เป็นคนว่าง่าย ถึงความเป็นคนว่าง่าย เพราะเหตุได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะแลคิลานปัจจยเภสัชบริขารว่า เป็นคนว่าง่ายเลย ข้อนั้นเพราะเหตุไร?
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะภิกษุรูปนั้นเมื่อไม่ได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะ และ คิลานปัจจยเภสัชบริขารนั้น ก็จะไม่เป็นคนว่าง่ายจะไม่ถึงความเป็นคนว่าง่ายได้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อนึ่ง ภิกษุรูปใดแล มาสักการะเคารพ นอบน้อมพระธรรมอยู่ เป็นคนว่าง่าย ถึงความเป็นคนว่าง่าย เราเรียกภิกษุรูปนั้นว่า เป็นคนว่าง่ายดังนี้ เพราะฉะนั้นแหละ
ภิกษุทั้งหลาย พวกเธอพึงศึกษาอย่างนี้ว่า เราจักเป็นผู้สักการะ เคารพนอบน้อม พระธรรม จักเป็นผู้ว่าง่าย จักถึงความเป็นคนว่าง่ายดังนี้
4)
ถ้อยคำที่คนอื่นจะพึงกล่าว ๕ ประการ
(ถ้อยคำที่บุคคลอื่นจะพึงกล่าวกะท่าน 1.โดยกาลอันสมควรหรือไม่สมควร 2.กล่าวเรื่องจริง หรือไม่จริง 3.กล่าวคำอ่อนหวานหรือคำหยาบคาย
4.ประกอบด้วยประโยชน์ หรือไม่ประกอบ ด้วยประโยชน์ 5.มีจิตเมตตาหรือมีโทสะในภายในกล่าว ...พวกเธอพึงศึกษาอย่างนี้ว่า จิตของเราจักไม่แปรปรวน เราจักไม่เปล่งวาจาที่ลามก เราจักอนุเคราะห์ด้วยสิ่งที่เป็น ประโยชน์ เราจักมีจิตเมตตา ไม่มีโทสะภายใน เราจักแผ่เมตตาจิตไปถึงบุคคลนั้น และเราจัก แผ่เมตตาจิต อันเสมอด้วยแผ่นดินไพบูลย์ใหญ่ยิ่ง หาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีพยาบาท ไปตลอดโลก ทุกทิศทุกทาง ซึ่งเป็นอารมณ์ของจิตนั้น ดังนี้ )
[๒๖๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ทางแห่งถ้อยคำที่บุคคลอื่น จะพึงกล่าวกะท่านมีอยู่ ๕ ประการคือ
๑.กล่าวโดยกาลอันสมควร หรือไม่สมควร
๒.กล่าวด้วยเรื่องจริงหรือไม่จริง
๓.กล่าวด้วยคำอ่อนหวานหรือคำหยาบคาย
๔.กล่าวด้วยคำประกอบด้วยประโยชน์ หรือไม่ประกอบด้วยประโยชน์
๕.มีจิตเมตตาหรือมีโทสะในภายในกล่าว
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลอื่นจะกล่าวโดยกาลอันสมควร หรือไม่สมควรก็ตาม จะกล่าวด้วยเรื่องจริงหรือไม่จริงก็ตาม จะกล่าวถ้อยคำอ่อนหวาน หรือหยาบคายก็ตาม จะกล่าวถ้อยคำประกอบด้วยประโยชน์ หรือไม่ประกอบด้วยประโยชน์ก็ตาม จะมีจิตเมตตา หรือมีโทสะ ในภายในกล่าวก็ตาม
ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้ในข้อนั้น พวกเธอพึงศึกษาอย่างนี้ว่า จิตของเราจักไม่ แปรปรวน เราจักไม่เปล่งวาจาลามก เราจักอนุเคราะห์ ด้วยสิ่งอันเป็นประโยชน์ เราจักมีจิต เมตตา ไม่มีโทสะในภายใน เราจักแผ่เมตตาจิตไปถึงบุคคลนั้น และเราแผ่เมตตาจิต อันไพบูลย์ ใหญ่ยิ่ง หาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีพยาบาท ไปตลอดโลก ทุกทิศทุกทาง ซึ่งเป็นอารมณ์ของจิตนั้น ดังนี้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลาย พึงศึกษาด้วยอาการดังที่กล่าวมานี้แล
[๒๖๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนบุรุษ ถือเอาจอบและตะกร้ามาแล้ว กล่าวอย่างนี้ว่า เราจักกระทำแผ่นดินอันใหญ่นี้ ไม่ให้เป็นแผ่นดิน ดังนี้ เขาขุดลงตรงที่นั้นๆ โกยขี้ดินทิ้งในที่นั้นๆ บ้วนน้ำลายลงในที่นั้นๆ ถ่ายปัสสาวะรดในที่นั้นๆ แล้วสำทับว่าเอง อย่าเป็นแผ่นดินๆ ดังนี้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุรุษนั้นจักทำแผ่นดิน อันใหญ่นี้ ไม่ให้เป็นแผ่นดินได้หรือไม่? ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า ไม่ได้ พระเจ้าข้า ข้อนั้นเพราะเหตุไร? เพราะเหตุว่าแผ่นดินอันใหญ่นี้ ลึกหาประมาณมิได้ เขาจะทำแผ่นดิน อันใหญ่นี้ ไม่ให้เป็นแผ่นดินไม่ได้ง่ายเลย ก็แลบุรุษนั้น จะต้องเหน็ดเหนื่อย ลำบาก เสียเปล่าเป็นแน่แท้ ดังนี้แม้ฉันใด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ทางแห่งถ้อยคำที่บุคคลอื่น จะพึงกล่าวกะท่านมีอยู่ ๕ ประการ คือกล่าวโดยกาลอันสมควร หรือไม่สมควร ๑ กล่าวด้วยเรื่องจริงหรือไม่จริง ๑ กล่าวด้วยคำอ่อนหวาน หรือคำหยาบคาย ๑ กล่าวด้วยคำประกอบด้วยประโยชน์ หรือไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ๑ มีจิตเมตตาหรือมีโทสะในภายในกล่าว ๑ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลอื่น จะกล่าวโดยกาลอันสมควร หรือไม่ควรก็ตาม จะกล่าวด้วยเรื่องจริงหรือไม่จริงก็ตาม จะกล่าวด้วยถ้อยคำอ่อนหวาน หรือหยาบคาย ก็ตาม จะกล่าวถ้อยคำประกอบด้วยประโยชน์ หรือไม่ประกอบด้วยประโยชน์ก็ตาม จะมีจิตเมตตาหรือมีโทสะในภายในกล่าวก็ตาม
ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้ในข้อนั้นพวกเธอพึงศึกษาอย่างนี้ว่า จิตของเราจัก ไม่แปรปรวน เราจักไม่เปล่งวาจาที่ลามก เราจักอนุเคราะห์ด้วยสิ่งที่เป็นประโยชน์ เราจักมีจิตเมตตา ไม่มีโทสะภายใน เราจักแผ่เมตตาจิตไปถึงบุคคลนั้น และเราจัก แผ่เมตตาจิต อันเสมอด้วยแผ่นดิน ไพบูลย์ ใหญ่ยิ่ง หาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีพยาบาท ไปตลอดโลก ทุกทิศทุกทาง ซึ่งเป็นอารมณ์ของจิตนั้น ดังนี้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงศึกษา ด้วยอาการดังที่กล่าวมานี้แล
5)
เปรียบเหมือนบุรุษเขียนรูปในอากาศ (ที่มีแต่ความว่างเปล่าหาแก่นสารอะไรไม่ได้)
(ถ้อยคำที่บุคคลอื่นจะพึงกล่าวกะท่านทั้ง ๕ ประการนั้น เปรียบเหมือนบุรุษ ถือเอาครั่งก็ตาม สีเหลืองสีเขียว หรือสีเหลืองแก่ก็ตามมาแล้ว กล่าวอย่างนี้ว่า เราจักเขียนรูปต่างๆ ในอากาศนี้ กระทำให้เป็นรูปเด่นชัด ได้หรือไม่?.. ไม่ได้พระเจ้าข้า )
[๒๖๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนบุรุษ ถือเอาครั่งก็ตาม สีเหลืองสีเขียว หรือสีเหลืองแก่ก็ตามมาแล้ว กล่าวอย่างนี้ว่า เราจักเขียนรูปต่างๆ ในอากาศนี้ กระทำให้เป็นรูปเด่นชัด ดังนี้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุรุษนั้นจะเขียนรูป ต่างๆ ในอากาศนี้ กระทำให้เป็นรูปเด่นชัดได้หรือไม่? ไม่ได้พระเจ้าข้า
ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร? เพราะธรรมดาอากาศนี้ ย่อมเป็นของไม่มีรูปร่าง ชี้ให้เห็นไม่ได้ เขาจะเขียนรูปในอากาศนั้น ทำให้เป็นรูปเด่นชัดไม่ได้ง่ายเลย ก็แหละบุรุษนั้น จะต้องเหน็ดเหนื่อยลำบากเสียเปล่า เป็นแน่แท้ดังนี้ แม้ฉันใด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ทางแห่งถ้อยคำที่บุคคลอื่นจะพึงกล่าวกะท่าน มีอยู่ ๕ ประการคือ กล่าวโดยกาลอันสมควรหรือไม่สมควร ๑ กล่าวด้วยเรื่องจริงหรือไม่จริง ๑ กล่าวด้วยคำอ่อนหวานหรือคำหยาบคาย ๑ กล่าวด้วยคำประกอบด้วยประโยชน์ หรือไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ๑ มีจิตเมตตาหรือมีโทสะในภายในกล่าว ๑ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลอื่น จะกล่าวโดยกาลอันสมควร หรือไม่สมควร ก็ตาม จะกล่าวด้วยเรื่องจริงหรือไม่จริงก็ตาม จะกล่าวถ้อยคำอ่อนหวาน หรือหยาบคาย ก็ตาม จะกล่าวถ้อยคำประกอบด้วยประโยชน์ หรือไม่ประกอบด้วยประโยชน์ก็ตาม จะมีจิตเมตตาหรือมีโทสะในภายในกล่าวก็ตาม
ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้ในข้อนั้นพวกเธอพึงศึกษาอย่างนี้ว่า จิตของเราจักไม่ แปรปรวน เราจักไม่เปล่งวาจาลามก เราจักอนุเคราะห์ ด้วยสิ่งอันเป็นประโยชน์ เราจักมีจิตเมตตา ไม่มีโทสะในภายใน เราจักแผ่เมตตาจิตไปถึงบุคคลนั้น และเราจะแผ่เมตตาจิต อันไพบูลย์ ใหญ่ยิ่ง หาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีพยาบาท ไปตลอดโลก ทุกทิศทุกทาง ซึ่งเป็นอารมณ์ของจิตนั้น ดังนี้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงศึกษาด้วยอาการดังกล่าวมานี้แล
6)
เปรียบเหมือนบุรุษเผาแม่น้ำคงคา
(ถ้อยคำที่บุคคลอื่นจะพึงกล่าวกะท่านทั้ง ๕ ประการนั้น เปรียบเหมือนบุรุษ ถือเอาคบหญ้า ที่จุดไฟมาแล้ว กล่าวอย่างนี้ว่า เราจักทำแม่น้ำคงคาให้ร้อนจัด ให้เดือดเป็นควันพลุ่งด้วย คบหญ้าที่จุดไฟแล้วนี้.. ข้อนั้นเพราะเหตุไร? เพราะแม่น้ำคงคาเป็นแม่น้ำที่ลึกสุดที่จะประมาณ
[๒๗๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนบุรุษ ถือเอาคบหญ้าที่จุดไฟมาแล้ว กล่าวอย่างนี้ว่า เราจักทำแม่น้ำคงคาให้ร้อนจัด ให้เดือดเป็นควันพลุ่ง ด้วยคบหญ้า ที่จุดไฟแล้วนี้ ดังนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุรุษนั้นจัก ทำแม่น้ำคงคาให้ร้อนจัด ให้เดือดเป็นควันพลุ่ง ด้วยคบหญ้าที่จุดไฟแล้วได้หรือไม่? ไม่ได้พระเจ้าข้า
ข้อนั้นเพราะเหตุไร? เพราะแม่น้ำคงคาเป็นแม่น้ำที่ลึก สุดที่จะประมาณ เขาจะทำแม่น้ำคงคานั้น ให้ร้อนจัดให้เดือดเป็นควันพลุ่ง ด้วยคบหญ้า ที่จุดไฟแล้ว ไม่ได้ง่ายเลย ก็แลบุรุษนั้น จะต้องเหน็ดเหนื่อยลำบากเสียเปล่าเป็นแน่แท้ ดังนี้ แม้ฉันใด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ทางแห่งถ้อยคำที่บุคคลอื่น จะพึงกล่าวกะท่านมีอยู่ ๕ ประการ คือ กล่าวโดยกาลอันสมควรหรือไม่สมควร ๑ กล่าวด้วยเรื่องจริงหรือไม่จริง ๑ กล่าวด้วยคำอ่อนหวานหรือหยาบคาย ๑ กล่าวด้วยคำประกอบด้วยประโยชน์ หรือไม่ประกอบด้วยประโยชน์ ๑ มีจิตเมตตาหรือมีโทสะในภายในกล่าว ๑ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลอื่นจะกล่าว โดยกาลอันสมควร หรือไม่สมควร ก็ตาม เขาจะกล่าวด้วยเรื่องจริงหรือไม่ก็ตาม จะกล่าวถ้อยคำอ่อนหวาน หรือหยาบคาย ก็ตาม จะกล่าวถ้อยคำประกอบด้วยประโยชน์ หรือไม่ประกอบด้วย ประโยชน์ ก็ตาม จะมีจิตเมตตา หรือมีโทสะในภายในกล่าวก็ตาม
ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้ในข้อนั้น พวกเธอพึงศึกษาอย่างนี้ว่า จิตของเรา จักไม่ แปรปรวน เราจักไม่เปล่งวาจาที่ลามก เราจักอนุเคราะห์ด้วยสิ่งที่เป็นประโยชน์ เราจักมีเมตตาจิต ไม่มีโทสะในภายใน เราจักแผ่เมตตาจิตไปถึงบุคคลนั้น และเราจัก แผ่เมตตาจิต อันเสมอด้วยแม่น้ำคงคา ไพบูลย์ ใหญ่ยิ่งหาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีพยาบาท ไปตลอดโลกทุกทิศทุกทาง ซึ่งเป็นอารมณ์ของจิตนั้นดังนี้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลาย พึงศึกษาด้วยอาการดังที่กล่าวมานี้แล
7)
เปรียบเหมือนกระสอบหนังแมว
(ถ้อยคำที่บุคคลอื่นจะพึงกล่าวกะท่านทั้ง ๕ ประการนั้น เปรียบเหมือนกระสอบหนังแมว ที่นายช่างหนังฟอกดี เรียบร้อยแล้ว อ่อนนุ่มดังปุยนุ่นและสำลี เป็นกระสอบที่ตีได้ไม่ดังก้อง ถ้ามีบุรุษถือเอาไม้ หรือกระเบื้องมา พูดขึ้นอย่างนี้ว่า เราจักทำกระสอบหนังแมว ที่เขาฟอกไว้ ดีเรียบร้อยแล้ว อ่อนนุ่มดังปุยนุ่นและสำลี ที่ตีได้ไม่ดังก้องนี้ ให้เป็นของมีเสียงดังก้อง ด้วยไม้ หรือกระเบื้อง ได้หรือไม่...เพราะกระสอบหนังแมวเป็นของที่ตีได้ไม่ดังก้อง เสียเวลาตี
[๒๗๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนกระสอบหนังแมว ที่นายช่างหนังฟอกดี เรียบร้อยแล้ว อ่อนนุ่มดังปุยนุ่นและสำลี เป็นกระสอบที่ตีได้ไม่ดังก้อง ถ้ามีบุรุษถือเอาไม้ หรือกระเบื้องมา พูดขึ้นอย่างนี้ว่า เราจักทำกระสอบหนังแมว ที่เขาฟอกไว้ดี เรียบร้อยแล้ว อ่อนนุ่มดังปุยนุ่นและสำลี ที่ตีได้ไม่ดังก้องนี้ ให้เป็นของมีเสียงดังก้อง ด้วยไม้หรือกระเบื้อง ดังนี้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุรุษนั้นจะทำกระสอบ หนังแมว ที่เขาฟอกไว้ดีเรียบร้อยแล้ว อ่อนนุ่มดังปุยนุ่มและสำลี ที่ตีได้ไม่ดังก้องนี้ ให้กลับมีเสียงดังก้องขึ้นด้วยไม้ หรือกระเบื้องได้หรือไม่? ไม่ได้พระเจ้าข้า
ข้อนั้นเพราะเหตุไร? เพราะเหตุว่า กระสอบหนังแมวนี้ เขาฟอกดีเรียบร้อยแล้ว อ่อนนุ่มดังปุยนุ่นและสำลี ซึ่งเป็นของที่ตีได้ไม่ดังก้อง เขาจะทำกระสอบหนังแมวนั้น ให้กลับเป็นของมีเสียงดังก้อง ขึ้นด้วยไม้หรือกระเบื้องไม่ได้ง่ายเลย บุรุษคนนั้น จะต้องเหน็ดเหนื่อยลำบาก เสียเปล่าเป็นแน่แท้ ดังนี้ แม้ฉันใด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ทางแห่งถ้อยคำที่บุคคลอื่น จะพึงกล่าวกะท่านมีอยู่ ๕ ประการคือ กล่าวโดยกาลอันสมควรหรือไม่สมควร ๑ กล่าวด้วยเรื่องจริงหรือไม่จริง ๑ กล่าวด้วยคำอ่อนหวานหรือหยาบคาย ๑ กล่าวด้วยคำมีประโยชน์หรือไร้ประโยชน์ ๑ มีจิตเมตตาหรือมีโทสะในภายในกล่าว ๑ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน
ดูกรภิกษุทั้งหลายเมื่อคนอื่น จะกล่าวโดยกาลอันสมควร หรือไม่สมควรก็ตาม จะกล่าวด้วยเรื่องจริงหรือไม่จริงก็ตาม จะกล่าวด้วยถ้อยคำอ่อนหวาน หรือหยาบคาย ก็ตาม จะกล่าวด้วยถ้อยคำมีประโยชน์ หรือไร้ประโยชน์ก็ตาม จะมีจิตเมตตา หรือมีโทสะใน ภายใน กล่าวก็ตาม
ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้ในข้อนั้น พวกเธอพึงศึกษาอย่างนี้ว่า จิตของเราจัก ไม่แปรปรวน เราจักไม่เปล่งวาจาที่ลามก เราจักอนุเคราะห์ผู้อื่น ด้วยสิ่งที่เป็นประโยชน์ เราจักมีเมตตาจิต ไม่มีโทสะภายใน เราจักแผ่เมตตาจิตไปถึงบุคคลนั้น และเราจัก แผ่เมตตาจิต อันเสมอด้วยกระสอบหนังแมว ไพบูลย์ ใหญ่ยิ่ง หาประมาณมิได้ไม่มีเวร ไม่มีพยาบาท ไปตลอดโลก ทุกทิศทุกทาง ซึ่งเป็นอารมณ์ของจิตนั้นดังนี้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงศึกษา ด้วยอาการดังที่กล่าวมานี้แล
8)
พระโอวาทแสดงการเปรียบด้วยเลื่อย
(แม้โจรเอาเลื่อย มาเลื่อยอวัยวะของพวกเธอ ภิกษุหรือภิกษุณีรูปใด มีใจคิดร้ายต่อโจร เหล่านั้น ภิกษุหรือภิกษุณีรูปนั้น ไม่ชื่อว่าเป็นผู้ทำตามคำสั่งสอนของเรา เพราะเหตุที่อดกลั้น ไม่ได้นั้น เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้ว่า จิตของเรา จักไม่แปรปรวน เราจักไม่เปล่งวาจา ที่ลามก เราจักอนุเคราะห์ผู้อื่น เราจักมีเมตตาจิต ไม่มีโทสะในภายใน เราจักแผ่เมตตาจิต ไปถึงบุคคลนั้น ไม่มีเวร ไม่มีพยาบาท ไปตลอดโลก ทุกทิศทุกทาง ซึ่งเป็นอารมณ์ของจิตนั้น)
[๒๗๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย หากจะมีพวกโจรผู้มีความประพฤติต่ำช้า เอาเลื่อย ที่มีที่จับทั้งสองข้าง เลื่อยอวัยวะใหญ่น้อยของพวกเธอ แม้ในเหตุนั้นภิกษุ หรือ ภิกษุณีรูปใด มีใจคิดร้ายต่อโจรเหล่านั้น ภิกษุหรือภิกษุณีรูปนั้น ไม่ชื่อว่าเป็นผู้ทำตาม คำสั่งสอนของเรา เพราะเหตุที่อดกลั้นไม่ได้นั้น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้ในข้อนั้น เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้ว่า จิตของเรา จักไม่แปรปรวน เราจักไม่เปล่งวาจาที่ลามก เราจักอนุเคราะห์ผู้อื่น ด้วยสิ่งที่เป็น ประโยชน์ เราจักมีเมตตาจิตไม่มีโทสะในภายใน เราจักแผ่เมตตาจิตไปถึงบุคคลนั้น และเราจัก แผ่เมตตาอันไพบูลย์ใหญ่ยิ่ง หาประมาณมิได้ ไม่มีเวร ไม่มีพยาบาท ไปตลอดโลก ทุกทิศทุกทาง ซึ่งเป็นอารมณ์ของจิตนั้น ดังนี้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอพึงศึกษา ด้วยอาการดังที่กล่าวมานี้แล
[๒๗๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็พวกเธอควรใส่ใจถึงโอวาท แสดงการเปรียบด้วย เลื่อยนี้เนืองนิตย์เถิด ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจะไม่มองเห็นทาง แห่งถ้อยคำที่มี โทษน้อย หรือโทษมากที่พวกเธอจะอดกลั้นไม่ได้ หรือยังจะมีอยู่บ้าง ไม่มีพระเจ้าข้า เพราะเหตุนั้นแหละ ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจงใส่ใจถึงโอวาท แสดงการเปรียบด้วย เลื่อยนี้ เนืองนิตย์เถิด ข้อนั้นจักเป็นประโยชน์และความสุข แก่พวกเธอสิ้นกาลนาน ดังนี้แล
พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้น มีใจชื่นชมยินดี ภาษิต ของพระผู้มีพระภาคแล้วแล
จบ กกจูปมสูตร ที่ ๑
|