|
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๔ พระวินัยปิฎก เล่มที่ ๔ มหาวรรค ภาค ๑ หน้า ๑๔๘
บุคคลไม่ควรให้บรรพชา ๓๒ จำพวก
[๑๓๕] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุทั้งหลายบรรพชาคนมือด้วน ... บรรพชาคนเท้าด้วน ...บรรพชาคนทั้งมือและเท้าด้วน ... บรรพชาคนหูขาด ... บรรพชาคนจมูกแหว่ง ... บรรพชาคนทั้งหูขาดและจมูกแหว่ง ... บรรพชาคนนิ้วมือนิ้วเท้าขาด ... บรรพชาคนมีง่ามมือง่ามเท้าขาด ... บรรพชาคนเอ็นขาด ... บรรพชาคนมือเป็นแผ่น ... บรรพชาคนค่อม ... บรรพชาคนเตี้ย ... บรรพชาคนคอพอก ...บรรพชาคนถูกสักหมายโทษ ... บรรพชาคนมีรอยเฆี่ยนด้วยหวาย ... บรรพชาคนถูกออกหมายสั่งจับ ... บรรพชาคนเท้าปุก ... บรรพชาคนมีโรคเรื้อรัง ... บรรพชาคนมีรูปร่างไม่สมประกอบ ... บรรพชาคนตาบอดข้างเดียว ... บรรพชาคนง่อย ... บรรพชาคนกระจอก ... บรรพชาคนเป็นโรคอัมพาต ...บรรพชาคนมีอิริยาบถขาด ... บรรพชาคนชราทุพพลภาพ ... บรรพชาคนตาบอดสองข้าง ... บรรพชาคนใบ้ ... บรรพชาคนหูหนวก ... บรรพชาคนทั้งบอดและใบ้ ... บรรพชาคนทั้งบอดและหนวก ...บรรพชาคนทั้งใบ้และหนวก ... บรรพชาคนทั้งบอดใบ้และหนวก.
ภิกษุทั้งหลายจึงกราบทูลเรื่องนั้นแด่พระผู้มีพระภาค. พระผู้มีพระภาครับสั่งกะ ภิกษุทั้งหลายว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่พึงบรรพชาคนมือด้วน ... ไม่พึงบรรพชาคนเท้าด้วน ...ไม่พึงบรรพชาคนทั้งมือและเท้าด้วน ... ไม่พึงบรรพชาคนหูขาด ... ไม่พึงบรรพชาคนจมูกแหว่ง ...ไม่พึงบรรพชาคนทั้งหูขาดทั้งจมูกแหว่ง ... ไม่พึงบรรพชาคนนิ้วมือนิ้วเท้าขาด ... ไม่พึงบรรพชาคนง่ามมือง่ามเท้าขาด ... ไม่พึงบรรพชาคนเอ็นขาด ... ไม่พึงบรรพชาคนมือเป็นแผ่น ... ไม่พึงบรรพชาคนค่อม ... ไม่พึงบรรพชาคนเตี้ย ... ไม่พึงบรรพชาคนคอพอก ... ไม่พึงบรรพชาคนถูกสักหมายโทษ ...ไม่พึงบรรพชาคนมีรอยเฆี่ยนด้วยหวาย ... ไม่พึงบรรพชาคนถูกออกหมายสั่งจับ ... ไม่พึงบรรพชาคนเท้าปุก ... ไม่พึงบรรพชาคนมีโรคเรื้อรัง ... ไม่พึงบรรพชาคนมีรูปร่างไม่สมประกอบ ... ไม่พึงบรรพชาคนตาบอดข้างเดียว ... ไม่พึงบรรพชาคนง่อย ... ไม่พึงบรรพชาคนกระจอก ... ไม่พึงบรรพชาคนเป็นโรคอัมพาต ... ไม่พึงบรรพชาคนมีอิริยาบถขาด ... ไม่พึงบรรพชาคนชราทุพพลภาพ ... ไม่พึงบรรพชาคนตาบอดสองข้าง ... ไม่พึงบรรพชาคนใบ้ ... ไม่พึงบรรพชาคนหูหนวก ... ไม่พึงบรรพชาคนทั้งบอดและใบ้ ... ไม่พึงบรรพชาคนทั้งบอดและหนวก ... ไม่พึงบรรพชาคนทั้งใบ้และหนวก ...ไม่พึงบรรพชาคนทั้งบอดใบ้และหนวก
รูปใดบรรพชาให้ ต้องอาบัติทุกกฏ
อรรถกถา มหาวรรค ภาค ๑ มหาขันธกะ (บัญญัติเกินกว่าพระพุทธเจ้าบัญญัติ)
บุคคลไม่ควรให้อุปสมบท ๒๐ จำพวก บุคคลไม่ควรให้บรรพชา ๓๒ จำพวก
ที่มา https://84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=4&i=133
อรรถกถาหัตถัจฉินนาทิวัตถุกถา
พึงทราบวินิจฉัยในเรื่องคนมือด้วนเป็นต้นต่อไป :-
มือข้างเดียวหรือทั้ง ๒ ข้าง ของผู้ใด เป็นอวัยวะขาดไปที่ฝ่ามือก็ดี ที่ข้อมือก็ดี ที่ศอกก็ดี ส่วนใดส่วนหนึ่ง ผู้นั้นชื่อว่าผู้มีมือขาด.
เท้าข้างเดียวหรือทั้ง ๒ ข้าง ของผู้ใด เป็นอวัยวะขาดไปที่ปลายเท้าก็ดี ที่ข้อเท้าก็ดี ที่แข้งก็ดี ส่วนใดส่วนหนึ่ง ผู้นั้นชื่อว่าผู้มีเท้าขาด.
ในมือและเท้าทั้ง ๔ โดยประการดังกล่าวแล้วนั่นแล มือและเท้าของผู้ใด ๒ หรือ ๓ หรือทั้งหมด เป็นอวัยวะขาดไป ผู้นั้นชื่อว่าผู้มีมือและเท้าขาด.
หูของผู้ใด ข้างเดียวหรือทั้ง ๒ ข้างเป็นอวัยวะขาดไปที่เง่าหูก็ดี ที่ใบหูก็ดี ผู้นั้นชื่อว่าผู้มีหูขาด. แต่หูของผู้ใด ย่อมฉีกที่ตุ้มแห่งหู แต่เป็นอวัยวะที่อาจ ต่อให้ติด กันได้ ผู้นั้นพึงให้ต่อหูให้ติดแล้ว จึงให้บวช.
จมูกของผู้ใด เป็นอวัยวะแหว่งวิ่นไปที่ดั้งจมูกก็ดี ที่ช่องจมูกข้างเดียวก็ดี ช่องจมูกทั้ง ๒ ก็ดี ส่วนใดส่วนหนึ่ง ผู้นั้นชื่อว่าผู้มีจมูกแหว่ง. แต่จมูกของผู้ใด เป็นอวัยวะที่อาจประสานให้ติดกันได้. ผู้นั้นพึงทำจมูกนั้นให้หายแล้วจึงให้บวช.
บุคคลที่ชื่อว่าผู้มีหูและจมูกแหว่ง พึงทราบด้วยอำนาจแห่งอวัยวะทั้ง ๒.
นิ้วของผู้ใด นิ้วเดียวหรือหลายนิ้ว เป็นอวัยวะขาดไป ไม่เห็นมีเล็บเหลือ ผู้นั้นชื่อว่าผู้มีเล็บด้วน แต่เล็บที่เหลือของผู้ใด แม้ประมาณเท่าเส้นด้ายยังปรากฏ จะให้ผู้นั้นบวชควรอยู่.
ในหัวแม่มือแม่เท้าทั้ง ๔ นิ้ว หัวแม่มือและแม่เท้าของผู้ใด นิ้วเดียวหรือ หลายนิ้ว เป็นอวัยวะขาดไป ตามนัยที่กล่าวแล้วในนิ้วผู้นั้นชื่อว่ามีง่าม มือง่ามเท้าขาด.
เอ็นใหญ่ที่ชื่อว่ากัณฑระของผู้ใด เป็นอวัยวะขาดไป ข้างหน้าก็ดี ข้างหลัง ก็ดี ผู้นั้นชื่อว่าผู้มีเอ็นขาด บุคคลย่อมก้าวเดินด้วยปลายเท้าบ้าง ด้วยส้นเท้าบ้าง หรือไม่อาจยันเท้าลงตรงๆ ได้ ก็เพราะในเอ็นใหญ่เหล่านั้น แม้เอ็นหนึ่งขาดไป.
นิ้วมือของผู้ใด เป็นของติดกันเหมือนปีกค้างคาว ผู้นั้นชื่อว่าผู้มีมือ เป็นแผ่น. ภิกษุผู้ใคร่จะให้บุคคลนั้นบวช พึงผ่าหนังซึ่งมีในระหว่างนิ้ว เอาหนังใน ระหว่างออก ทั้งหมด รักษาหายแล้วจึงให้บวช. แม้ผู้ใดมี ๖ นิ้ว ภิกษุผู้ใคร่จะให้ผู้นั้น บวชพึงตัดนิ้วที่เกินเสีย รักษาหายแล้วจึงให้บวช.
ผู้ใดจัดว่ามีร่างกายค่อม เพราะอกหรือหลัง หรือสีข้างโกง ผู้นั้นชื่อว่าคน ค่อม. แต่อวัยวะน้อยใหญ่บางส่วนของผู้ใด โกงไปนิดหน่อย จะให้ผู้นั้นบวช สมควรอยู่. เพราะว่าพระมหาบุรุษเท่านั้นมีพระกายตรงดังกายพรหม สัตว์ที่เหลือชื่อว่าผู้ไม่ค่อมย่อมไม่มี.
คนมีขาสั้นก็ดี มีบั้นเอวสั้นก็ดี สั้นทั้ง ๒ ก็ดี ชื่อว่าคนเตี้ย.
กายท่อนล่างตั้งแต่บั้นเอวลงมา แห่งคนขาสั้น เป็นของสั้น กายท่อนบน สมบูรณ์.
กายท่อนบนตั้งแต่บั้นเอวขึ้นไป แห่งคนบั้นเอวสั้น เป็นของสั้น กายท่อน ล่าง บริบูรณ์.
กายทั้ง ๒ ท่อน แห่งคนสั้นทั้ง ๒ เป็นของสั้น. ร่างกายย่อมกลมรอบคล้าย หม้อมีกะพุ้งใหญ่เหมือนร่างกายแห่งภูตทั้งหลาย เพราะกายทั้ง ๒ ท่อนเหล่าไรเล่า เป็นของสั้น จะให้ชนนั้นแม้ทั้ง ๓ ชนิดบวช ย่อมไม่ควร.
ที่คอแห่งผู้ใด มีพอกดังลูกฟัก ผู้นั้นชื่อว่าคนคอพอก. และคำนี้สักว่าแสดง แต่เมื่อมีพอกที่ประเทศอันใดอันหนึ่ง ก็ไม่ควรให้บวช.
วินิจฉัยในคำว่า คลคณฺฑี นั้น พึงทราบตามนัยที่กล่าวแล้วในคำนี้ว่า น ภิกฺขเว ปญฺจหิ อาพาเธหิ ผุฏฺโฐ ปพฺพาเชตพฺโพ นั่นแล.
คำใดที่จะพึงกล่าวในคนมีรอยแผลเป็น คนถูกเฆี่ยนด้วยหวายและคน ถูกเขียนไว้ คำนั้นข้าพเจ้าได้กล่าวแล้ว ในข้อทั้งหลายมีข้อว่า น ภิกฺขเว ลกฺขณาหโต เป็นต้นนั่นแล.
คนมีเท้าเป็นตุ้ม ท่านเรียกว่าคนตีนปุก. เท้าของผู้ใดอูมเกิดเป็นตุ้มแข็ง ผู้นั้นไม่ควรให้บวช แต่เท้าของผู้ใด ยังไม่ทันจับแข็ง เป็นของที่อาจผูกเครื่องรัด แช่ไว้ ในหลุมน้ำ กลบด้วยทรายเปียกน้ำให้เต็มให้เหี่ยวยุบลงจนเส้นเอ็นปรากฏ และแข้งเป็น เหมือนกระบอกน้ำมัน จะทำเท้าของผู้นั้นให้เป็นเช่นนี้ แล้วให้เขาบวชควรอยู่.
ถ้าตุ้มนั้นเขื่องขึ้นอีก แม้เมื่อจะให้อุปสมบท พึงทำอย่างนั้น จึงให้อุปสมบท.
คนน่าเกลียด ไม่น่าชอบใจ มีความเดือดร้อนเป็นนิตย์ มีโรคที่รักษาไม่หาย ด้วยโรคชนิดใดชนิดหนึ่ง ในบรรดาโรคริดสีดวงงอก ริดสีดวงลำไส้ โรคดี โรคเสมหะ โรคไอ โรคหืด เป็นต้น ชื่อว่า คนมีโรคเป็นผลแห่งบาป แม้บุคคลนี้ก็ไม่ควรให้บวช.
ผู้ใดย่อมประทุษร้ายบริษัท เพราะความที่ตนมีรูปแปลก ผู้นั้นชื่อ ปริสทูสกะ คือเป็นคนสูงเกินไป มีนาภีประเทศแค่ศีรษะของชนเหล่าอื่นบ้าง. เตี้ยเกินไป ดังรูปแห่งภูต เตี้ยทั้ง ๒ ท่อนบ้าง. ดำเกินไป คล้ายตอไม้ที่นาถูกไฟไหม้บ้าง. ขาวเกินไป มีสีคล้ายบาตรทองแดงที่ขัดด้วยนมส้มและเปรียงเป็นต้นบ้าง. ผอมเกินไป มีเนื้อและเลือดน้อย ประหนึ่งร่างกายซึ่งมีแต่กระดูก เอ็นและหนังบ้าง. อ้วนเกินไป มีเนื้อตั้งหาบ มีพุงพลุ้ยเช่นกับมหาภูตบ้าง. มีศีรษะใหญ่เกินไป เหมือนวางกระเช้าไว้ บนศีรษะบ้าง. มีศีรษะหลิมเกินไป คือประกอบด้วยศีรษะเล็กนักไม่สมตัวบ้าง. มีศีรษะ เป็นลอนๆ คือประกอบด้วยศีรษะเช่นกับทะลายแห่งผลตาลบ้าง. มีศีรษะเรียวแหลม คือประกอบด้วยศีรษะอันสอบขึ้นไปโดยลำดับบ้าง. มีศีรษะดังลำไผ่ คือเป็นกระบอก ประกอบด้วยศีรษะเช่นกับปล้องไม้ไผ่อย่างเขื่องบ้าง. มีศีรษะเป็นง่ามบ้าง. มีศีรษะเป็น เงื้อม คือประกอบด้วยศีรษะอันงุ้มลงในข้างทั้ง ๔ ข้างใดข้างหนึ่งบ้าง. มีศีรษะเป็นแผล บ้าง มีศีรษะเน่าบ้าง.
มีผมเป็นหย่อมๆ คือมาตามพร้อมด้วยผมที่ขึ้นในที่นั้นๆ เช่นกับข้าวกล้าใน กระทงนาที่สัตว์กัดกินบ้าง. มีศีรษะลุ่นไม่มีผมบ้าง. มีผมหยาบแข็งคือมาตามพร้อมด้วย ผมเช่นกับแปรงตาลบ้าง. มีผมขาวด้วยผมอันหงอกแต่กำเนิดบ้าง. มีผมเป็นปกติ คือมาตามพร้อมด้วยผมเหมือนเปลวเพลิงจับบ้าง. มีผมบนศีรษะเวียน คือมาตามพร้อม ด้วยผมขวัญทั้งหลายมีปลายชันขึ้นเบื้องบน เช่นกับขวัญในตัวโคบ้าง.
มีขนคิ้วเนื่องเป็นอันเดียวกับผมบนศีรษะ คือมาตามพร้อมด้วยหน้าผาก ดังหุ้มด้วยร่างแหบ้าง, มีคิ้วติดกันบ้าง, ไม่มีขนคิ้วบ้าง, มีคิ้วคล้ายลิงบ้าง.
มีตาใหญ่เกินไปบ้าง, มีตาเล็กเกินไปบ้าง, คือมาตามพร้อมด้วยตาทั้ง ๒ เช่นกับช่องในหนังกระบือที่เขาแทงด้วยปลายมีดบ้าง, มีตาส่อน คือมาตามพร้อมด้วย ตาใหญ่ข้างหนึ่ง เล็กข้างหนึ่งบ้าง, มีวงตาดำไม่เสมอ คือมาตามพร้อมด้วยวงตาดำ ไม่เสมอกันอย่างนี้ คือข้างหนึ่งสูง ข้างหนึ่งต่ำบ้าง, คนตาเหล่บ้าง, คนมีตาลึก คือมีลูกตาปรากฏเหมือนโป่งน้ำในบ่อน้ำอันลึกบ้าง, คนมีตาทะเล้นออก คือมีลูกตา ยื่นออกเหมือนตาแห่งปลาบ้าง.
มีหูเหมือนช้าง คือมาตามพร้อมด้วยใบหูอันใหญ่บ้าง, มีหูเหมือนหนู หรือ มีหูเหมือนค้างคาว คือมาตามพร้อมด้วยใบหูอันเล็กบ้าง, คนมีแต่ช่องหู คือปราศจาก ใบหู มีแต่ช่องหูเท่านั้นบ้าง, คนมีหูเจาะกว้างบ้าง, แต่ชนชาติโยนก ไม่จัดเป็นคน ประทุษร้ายบริษัท เพราะว่าการเจาะหูกว้างนั้น เป็นประเพณีของเขาโดยเฉพาะ.๑- คนเป็นโรคริดสีดวงในหู คือมาตามพร้อมด้วยหูอันเน่าเป็นนิจบ้าง, คนมีหูเป็นน้ำหนวก คือมาตามพร้อมด้วยหูมีน้ำเหลืองไหลออกทุกเมื่อบ้าง, คนมีใบหูตรง คือมาตาม พร้อมด้วยใบหูเช่นกับปลายกะพล้อ๒- สำหรับกรอกอาหารโคบ้าง.
๑- ตามนัยโยชนา แปลว่า จริงอยู่ หูเช่นนั้นเป็นสภาพโดยเฉพาะของชนชาติโยนกนั้น.
๒- โคภตฺตนาฬิกาย.
คนมีตาเหลืองเกินไปบ้าง แต่จะให้คนมีตาเหลืองดังน้ำผึ้งบวชสมควรอยู่, คนไม่มีขนตาบ้าง, คนมีตามีน้ำตาไหลบ้าง, คนมีตาแหกบ้าง, คนมีตาประกอบด้วยโรค ยังตาให้สุก คือคนตาแฉะ มีขี้ตากรังบ้าง.
คนมีจมูกใหญ่เกินไปบ้าง, มีจมูกเล็กเกินไปบ้าง, คนมีจมูกบี้บ้าง, คนมีจมูก คดเบี้ยวไปข้างหนึ่งไม่ตั้งอยู่ตรงกลางบ้าง, คนมีจมูกยาว คือมาตามพร้อมด้วยจมูก ดังสุกร ซึ่งอาจเลียด้วยลิ้นได้บ้าง, คนมีจมูกมีน้ำมูกไหลออกเป็นนิจบ้าง.
คนมีปากใหญ่ คือมีเค้าแห่งปากเท่านั้นใหญ่เหมือนปากแห่งกบปากกว้าง ส่วนหน้าเล็กนัก เช่นกับน้ำเต้าบ้าง, คนมีปากอ้าบ้าง, คนมีปากคดบ้าง.
คนมีริมฝีปากใหญ่ คือมาตามพร้อมด้วยริมฝีปากเช่นกับเกลียว ปากหม้อ ข้าวบ้าง, คนมีริมฝีปากสั้น คือมาตามพร้อมด้วยริมฝีปากอันไม่สามารถจะปิดฟันมิด เช่นกับหนังหุ้มกลองบ้าง, คนมีริมฝีปากล่างหนาบ้าง, คนมีริมฝีปากแหว่งบ้าง.
คนมีปากมีน้ำลายไหลเสมอบ้าง, คนมีปากสุกแดงนักบ้าง, คนมีปากดัง สังข์ คือมาตามพร้อมด้วยริมฝีปากข้างนอกขาว ข้างในแดงจัดบ้าง, คนมีปากเหม็นดัง ซากศพบ้าง.
คนมีฟันใหญ่ คือมาตามพร้อมด้วยฟันเช่นกับสัตว์มี ๘ ซี่บ้าง, คนมีฟันดัง อสูร คือมีฟันล่างหรือฟันบนออกนอกปากบ้าง, ส่วนฟันของผู้ใดเป็นของอาจปิดด้วย ริมฝีปาก เมื่อพูดเท่านั้นจึงปรากฏ เมื่อไม่พูดไม่ปรากฏ จะให้ผู้นั้นบวชสมควรอยู่. คนมีฟันเน่าบ้าง, คนไม่มีฟันบ้าง, แต่ในระหว่างฟันของผู้ใด มีฟันซี่เล็กดังฟันกระแต จะให้ผู้นั้นบวชสมควรอยู่.
คนมีคางใหญ่ คือมาตามพร้อมด้วยคางดังคางแห่งโคบ้าง, คนมีคางยาว บ้าง, คนมีคางเฟ็ด คือมาตามพร้อมด้วยคางอันสั้น นักดังหดหายเข้าในบ้าง, คนมีคาง หักบ้าง, คนมีคางคดบ้าง.
คนไม่มีหนวดและเครา คือมีหน้าคล้ายนางภิกษุณีบ้าง.
คนมีคอยาว คือประกอบด้วยคอเช่นกับคอนกยางบ้าง, คนมีคอสั้น คือประกอบด้วยคอดังหดหายเข้าข้างในบ้าง, คนมีคอง้ำลงบ้าง.
คนมีจะงอยไหล่อันลู่บ้าง, คนไม่มีมือบ้าง, คนมีมือข้างเดียวบ้าง, คนมีมือ สั้นเกินบ้าง, คนมีมือยาวเกินบ้าง. คนมีอกหักบ้าง, คนมีหลังหักบ้าง, คนมีตัวเป็นคุด ทะราดบ้าง, มีตัวเป็นลำลาบบ้าง, มีตัวเป็นหิดบ้าง, มีตัวเหมือนเหี้ย คือมีผงร่วงจากตัว ดังเหี้ยบ้าง, ก็แลคำว่า มีตัวเป็นคุดทะราดเป็นต้นทั้งหมด ข้าพเจ้าหมายเอาโรค ที่ทำกายให้มีรูปแปลก กล่าวแล้วด้วยอำนาจแห่งปริสทูสกศัพท์อันมีความกว้าง.
ส่วนวินิจฉัยในคำนี้ ผู้ศึกษาพึงทราบโดยนัยที่กล่าวแล้วในคำนี้ว่า น ภิกฺขเว ปญฺจหิ อาพาเธหิ ผุฏฺโฐ นั่นแล.
คนมีบั้นเอวหักบ้าง, คนมีตะโพกใหญ่ คือประกอบด้วยเนื้อตะโพกอันสูง เกินไป เช่นกับกระพุ้งแห่งเตาบ้าง, คนมีขาใหญ่บ้าง, คนมีอัณฑะใหญ่บ้าง, คนมีเข่า ใหญ่บ้าง, คนมีเข่าเบียดกันบ้าง, คนมีแข้งยาว คือมีแข้งเช่นกับไม้เท้าบ้าง. คนมีเท้า ผิดกฏ คือไปตามขวางบ้าง,๓- คนมีเท้าบิดไปข้างหลังบ้าง,๓- คนมีปลีน่องเป็นปั้น สูงบ้าง,๓- คนมีปลีน่องเป็นปั้นสูงนั้นมี ๒ ชนิด คือประกอบด้วยปลีแข้งใหญ่งอกย้อยลง ภายใต้ก็มี อวบขึ้นเบื้องบนก็มี คนมีแข้งใหญ่บ้าง คนมีก้อนเนื้อที่แข้งหนาบ้าง, คนมีเท้าใหญ่บ้าง, คนมีส้นใหญ่บ้าง, คนมีปลายเท้ากับส้นเท่ากัน คือมีแข้งตั้งขึ้นจาก กลางเท้าบ้าง, คนมีเท้าเกบ้าง, คนมีเท้าเกนั้นมี ๒ ชนิด คือมีเท้าบิดเข้าไปในก็มี บิดออกนอกก็มี. คนมีนิ้วหงิก คือประกอบด้วยนิ้วเช่นกับแง่งขิงบ้าง, คนมีเล็บดำ คือประกอบด้วยเล็บเน่ามีสีดำบ้าง, คนแม้ทั้งหมดนี้เป็นคนประทุษร้ายบริษัท คนประทุษร้ายบริษัทเห็นปานนี้ ไม่ควรให้บวช.
บทว่า กาโณ มีความว่า คนตาบอดตาใส หรือคนมีจักษุประสาท อันต่อมเลือดเป็นต้นขจัดเสียก็ตามที ผู้ใดมองไม่เห็นด้วยตาทั้ง ๒ หรือข้างเดียว ผู้นั้นไม่ควรให้บวช.
แต่ในมหาปัจจรีอรรถกถาแก้ว่า คนตาบอดข้างเดียวเรียกว่ากาณะ, คนตาบอด ๒ ข้าง สงเคราะห์ด้วยอันธะ คนมืด.
ในมหาอรรถกถาแก้ว่า คนบอดแต่กำเนิด เรียกว่าอันธะ เพราะเหตุนั้น คำแม้ทั้ง ๒ ย่อมถูกโดยปริยาย.
คนมือง่อยก็ดี คนเท้าง่อยก็ดี, คนนิ้วง่อยก็ดี ชื่อว่าคนง่อย. บรรดาอวัยวะ ทั้งหลายมีมือเป็นต้นเหล่านั้น ส่วนใดส่วนหนึ่งของผู้ใดงอปรากฏ ผู้นั้นชื่อคนง่อย.
คนเข่าพับก็ดี, คนแข้งหักก็ดี, คนมีอุ้งเท้าคด เพราะมีเท้าหักตรงกลาง คือเดินด้วยท่ามกลางแห่งหลังเท้าก็ดี, คนมีปลายเท้าพับ เพราะมีเท้าหักปลาย คือเดิน ด้วยหลังเท้าท่อนปลายก็ดี, คนเดินเขย่งเฉพาะด้วยปลายเท้าก็ดี, คนเดินเขย่งด้วย ส้นเท้าก็ดี, คนเดินเขยกด้วยส่วนนอกแห่งเท้าก็ดี, คนเดินเขยกด้วยส่วนในแห่งเท้าก็ดี, คนเดินเขยกด้วยหลังเท้าทั้งหมด เพราะมีข้อเท้าทั้ง ๒ หักตอนบนก็ดี, ชื่อว่าคน กระจอก คนชนิดนี้แม้ทั้งหมด เป็นคนกระจอกแท้ ไม่ควรให้บวช.
มือข้างหนึ่งก็ดี เท้าข้างหนึ่งก็ดี ตัวซีกหนึ่งก็ดี ของผู้ใดไม่นำความสุข มาให้ ผู้นั้นชื่อว่าผู้ชาไปแถบหนึ่ง.
คนเปลี้ย เรียกว่าคนมีอิริยาบถขาด.
คนทุรพลเพราะความเป็นผู้ชรา ไม่สามารถจะทำแม้ซึ่งกรรมมีย้อมจีวร ของตนเป็นต้น ชื่อว่าคนชราทุรพล. ส่วนผู้ใดเป็นคนแก่แต่ยังมีกำลัง อาจประคับ ประคองตน ผู้นั้นควรให้บวช.
คนตาบอดแต่กำเนิด เรียกว่า คนบอด.
ความเปล่งวาจาของผู้ใด เป็นไปไม่ได้ ผู้นั้นชื่อว่าคนใบ้. แม้ของผู้ใดเป็น ไปได้ แต่ไม่สามารถจะกล่าวสรณคมน์ให้บริบูรณ์ จะให้ผู้พูดไม่ชัด๔- แม้เช่นนั้นบวช ย่อมไม่ควร. ส่วนผู้ใดสามารถจะว่าเพียงสรณคมน์ให้บริบูรณ์ได้ จะให้ผู้นั้นบวชย่อมควร.
ผู้ใดฟังไม่ได้ยินด้วยประการทั้งปวง ผู้นั้นชื่อคนหนวก. ส่วนผู้ใดฟังเสียงดัง ได้ยิน จะให้ผู้นั้นบวชย่อมควร. คนพิการมีคนทั้งบอดทั้งใบ้เป็นต้น พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสด้วยอำนาจแห่งโทษสองชั้น.
ก็บรรพชาของชนเหล่าใด อันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงห้าม แม้อุปสมบท ของชนเหล่านั้น ก็เป็นอันทรงห้ามด้วย แต่ถ้าสงฆ์ให้คนประทุษร้ายบริษัทเหล่านั้น อุปสมบท คนมีอวัยวะบกพร่องแม้ทั้งหมด มีคนมือขาดเป็นต้น ก็เป็นอันอุปสมบทด้วยดี แต่การกสงฆ์และอาจารย์กับอุปัชฌาย์ ไม่พ้นอาบัติ.
จริงอยู่ ดังข้าพเจ้าจักอ้างบาลีว่า ภิกษุทั้งหลาย บุคคลผู้ไม่ควรเรียกเข้าหมู่ มีอยู่, ถ้าสงฆ์เรียกบุคคลนั้นเข้าหมู่ บางคนเรียกเข้าหมู่แล้วก็เป็นอันแล้วไป บางคนเป็น อันเรียกเข้าหมู่แล้วใช้ไม่ได้.
เนื้อความแห่งพระบาลีนั้น จักมีแจ้งในอาคตสถานนั้นแล ด้วยประการฉะนี้.
|