ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ์ หน้า 162 P702
(สัญเจตนิยวรรคที่ ๓ พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๑ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๘๕-๑๙๗) P1606
การเกิดขึ้นแห่งไตรทวาร (กาย วาจา ใจ)
ขึ้นอยู่กับการเกิดขึ้นแห่งอวิชชาของปฏิจจสมุปบาท
ดูก่อนอานนท์ เมื่อกาย ก็ตาม มีอยู่ สุขและทุกข์ อันเป็นภายใน ย่อมบังเกิดขึ้น เพราะกายสัญเจตนา* เป็นเหตุ
ดูก่อนอานนท์ เมื่อวาจา ก็ตาม มีอยู่ สุขและทุกข์ อันเป็นภายใน ย่อมบังเกิดขึ้น เพราะวจีสัญเจตนา* เป็นเหตุ
ดูก่อนอานนท์ เมื่อมโน ก็ตาม มีอยู่ สุขและทุกข์ อันเป็นภายในย่อมบังเกิดขึ้น เพราะมโนสัญเจตนา* เป็นเหตุ
* เจตนา ความจงใจ ความคิดอ่าน (ทางกาย ทางวาจา ทางใจ)
กายสังขาร
ดูก่อนอานนท์ เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยนั่นเทียว ธรรมชาติทางฝ่ายจิต ย่อมปรุงแต่ง ให้เกิด กายสังขาร (อำนาจที่ทำให้เกิดการเป็นไปทางกาย) ซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและ ทุกข์ อันเป็นภายในเกิดขึ้น โดยตนเองบ้าง
ดูก่อนอานนท์ เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยนั่นเทียว ธรรมชาติทางฝ่ายจิต ย่อมปรุงแต่ง ให้เกิด กายสังขาร ซึ่งเป็นปัจจัยให้สุข และทุกข์อัน เป็นภายในเกิดขึ้น โดยอาศัยการ กระตุ้นจาก ผู้อื่นบ้าง
ดูก่อนอานนท์ เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยนั่นเทียว ธรรมชาติทางฝ่ายจิต ย่อมปรุงแต่งให้เกิด กายสังขาร ซึ่งเป็นปัจจัยให้สุข และทุกข์ อันเป็นภายในเกิดขึ้น โดยรู้สึกตัวอยู่บ้าง
ดูก่อนอานนท์ เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยนั่นเทียว ธรรมชาติทางฝ่ายจิต ย่อมปรุงแต่ง ให้เกิด กายสังขาร ซึ่งเป็นปัจจัยให้สุข และทุกข์ อันเป็นภายในเกิดขึ้น โดยไม่รู้สึกตัว อยู่บ้าง
วจีสังขาร
ดูก่อนอานนท์ เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยนั่นเทียว ธรรมชาติทางฝ่ายจิต ย่อมปรุงแต่ง ให้เกิด วจีสังขาร (อำนาจที่เกิดการเป็นไปทางวาจา) ซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์ อันเป็นภายใน เกิดขึ้น โดยตนเองบ้าง
ดูก่อนอานนท์ เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยนั่นเทียว ธรรมชาติทางฝ่ายจิต ย่อมปรุงแต่ง ให้เกิด วจีสังขาร ซึ่งเป็นปัจจัยให้สุข และทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้น โดยอาศัยการ กระตุ้นจาก ผู้อื่นบ้าง
ดูก่อนอานนท์ เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยนั่นเทียว ธรรมชาติทางฝ่ายจิต ย่อมปรุงแต่ง ให้เกิด วจีสังขาร ซึ่งเป็นปัจจัยให้สุข และทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้น โดยรู้สึกตัว อยู่บ้าง
ดูก่อนอานนท์ เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยนั่นเทียว ธรรมชาติทางฝ่ายจิต ย่อมปรุงแต่ง ให้เกิด วจีสังขาร ซึ่งเป็นปัจจัยให้สุข และทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้น โดยไม่รู้สึกตัว อยู่บ้าง
มโนสังขาร
ดูก่อนอานนท์ เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยนั่นเทียว ธรรมชาติทางฝ่ายจิต ย่อมปรุงแต่ง ให้เกิด มโนสังขาร (อำนาจที่เกิดการเป็นไปทางใจ) ซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์ อันเป็น ภายใน เกิดขึ้น โดยตนเองบ้าง
ดูก่อนอานนท์ เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยนั่นเทียว ธรรมชาติทางฝ่ายจิต ย่อมปรุงแต่ง ให้เกิด มโนสังขาร ซึ่งเป็นปัจจัยให้สุข และทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้น โดยอาศัยการ กระตุ้นจาก ผู้อื่นบ้าง
ดูก่อนอานนท์ เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยนั่นเทียว ธรรมชาติทางฝ่ายจิต ย่อมปรุงแต่ง ให้เกิด มโนสังขาร ซึ่งเป็นปัจจัยให้สุข และทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้น โดยรู้สึกตัว อยู่บ้าง
ดูก่อนอานนท์ เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยนั่นเทียว ธรรมชาติทางฝ่ายจิต ย่อมปรุงแต่ง ให้เกิด มโนสังขาร ซึ่งเป็นปัจจัยให้สุข และทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้น โดยไม่รู้สึกตัว อยู่บ้าง
ดูก่อนอานนท์ อวิชชา เป็นตัวการ ที่แทรกแซงแล้ว ในธรรมทั้งหลายเหล่านั้น.
ดูก่อนอานนท์ เพราะความจางคลายดับไปไม่เหลือ แห่งอวิชชานั้นนั่นเทียว กาย (กายทวาร ที่ทำหน้าที่อยู่ด้วยอวิชชา) นั้น ย่อมไม่มีเพื่อความเป็นปัจจัยให้สุข และทุกข์ อันเป็นภายใน เกิดขึ้น.
ดูก่อนอานนท์ เพราะความจางคลายดับไปไม่เหลือ แห่งอวิชชานั้นนั่นเทียว วาจา (วจีทวารที่ทำ หน้าที่ อยู่ด้วยอวิชชา) นั้น ย่อมไม่มี เพื่อความเป็นปัจจัยให้สุขและ ทุกข์ อันเป็นภายในเกิดขึ้น.
ดูก่อนอานนท์ เพราะความจางคลายดับไปไม่เหลือ แห่งอวิชชานั้นนั่นเทียว มโน (มโนทวาร ที่ทำหน้าที่อยู่ด้วยอวิชชา) นั้น ย่อมไม่มีเพื่อความเป็นปัจจัยให้สุขและ ทุกข์ อันเป็นภายใน เกิดขึ้น.
ดูก่อนอานนท์ เพราะความจางคลายดับไปไม่เหลือ แห่งอวิชชานั้นนั่นเทียว สัญเจตนา
ในฐานะ ที่เป็น เขต (ที่เกิดที่งอกแห่งสุขและทุกข์ในภายใน) ก็ดี
ในฐานะ ที่เป็น วัตถุ (ที่ตั้งที่อาศัยแห่งสุข และทุกข์ในภายใน) ก็ดี
ในฐานะ ที่เป็น อายตนะ (ปัจจัยโดยตรง แห่งสุข และทุกข์ในภายใน) ก็ดี
ในฐานะ ที่เป็น อธิกรณะ (เครื่องมือกระทำให้เกิดสุข และ ทุกข์ใน ภายใน) ก็ดี
ย่อมไม่มีเพื่อความเป็นปัจจัยให้สุข และทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้น ดังนี้ แล |