พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๖ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๙๖ - ๙๙
๓. ปุตตมังสสูตร
อาหาร ๔ อย่าง
[๒๔๐] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่าน อนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาค ตรัสเรียก ภิกษุทั้งหลาย มาตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย อาหาร ๔ อย่าง เพื่อความดำรงอยู่ของ สัตว์โลก ที่เกิดมาแล้ว หรือเพื่ออนุเคราะห์แก่เหล่าสัตว์ ผู้แสวงหาที่เกิด
อาหาร ๔ อย่างนั้นคือ
๑. กวฬีการาหาร หยาบบ้างละเอียดบ้าง
๒. ผัสสาหาร
๓. มโนสัญเจตนาหาร
๔. วิญญาณาหาร
ภิกษุทั้งหลาย อาหาร ๔ อย่างเหล่านี้แล เพื่อดำรงอยู่แห่งสัตว์โลก ที่เกิดมาแล้ว หรือเพื่ออนุเคราะห์แก่เหล่าสัตว์ผู้แสวงหาที่เกิด
[๒๔๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย (๑) ก็กวฬีการาหารจะพึงเห็นได้อย่างไร ภิกษุทั้งหลาย เหมือนอย่างว่า ภรรยาสามี ๒ คน ถือเอาสะเบียงเดินทางเล็กน้อย แล้วออกเดินไปสู่ทางกันดารเขาทั้งสองมีบุตรน้อยๆ น่ารักน่าพอใจอยู่คนหนึ่ง เมื่อขณะทั้งสองคน กำลังเดินไปในทางกันดารอยู่ สะเบียงเดินทางที่มีอยู่เพียง เล็กน้อยนั้นได้หมดสิ้นไป แต่ทางกันดารนั้นยังเหลืออยู่ เขาทั้งสองยังข้ามพ้นไป ไม่ได้
ครั้งนั้น เขาทั้งสองคนคิดตกลงกันอย่างนี้ว่า สะเบียงเดินทางของเรา ทั้งสอง อันใดแล มีอยู่เล็กน้อย สะเบียงเดินทางอันนั้นก็ได้หมดสิ้นไปแล้ว แต่ทาง กันดารนี้ ยังเหลืออยู่ เรายังข้ามพ้นไปไม่ได้ อย่ากระนั้นเลย เราสองคนมาช่วยกัน ฆ่าบุตรน้อยๆ คนเดียว ผู้น่ารัก น่าพอใจคนนี้เสีย ทำให้เป็นเนื้อเค็มและเนื้อย่าง เมื่อได้บริโภคเนื้อบุตร จะได้พากันเดินข้ามพ้นทางกันดารที่ยังเหลืออยู่นั้น ถ้าไม่เช่นนั้นเราทั้งสามคนต้องพากันพินาศหมดแน่
ครั้งนั้น ภรรยาสามีทั้งสองคนนั้น ก็ฆ่าบุตรน้อยๆ คนเดียวผู้น่ารัก น่าพอใจ นั้นเสีย ทำให้เป็นเนื้อเค็ม และเนื้อย่าง เมื่อบริโภคเนื้อบุตรเสร็จ ก็พากันเดินข้ามทาง กันดารที่ยังเหลืออยู่นั้น เขาทั้งสองคนรับประทานเนื้อบุตรพลาง ค่อนอก พลางรำพันว่า ลูกชายน้อยๆ คนเดียวของฉันไปไหนเสีย ลูกชายน้อยๆ คนเดียว ของฉันไปไหนเสียดังนี้ เธอทั้งหลายจะเข้าใจความข้อนั้นเป็นอย่างไร คือว่าเขา ได้บริโภคเนื้อบุตร ที่เป็นอาหารเพื่อความคะนอง หรือเพื่อความมัวเมา หรือเพื่อความ ตบแต่ง หรือเพื่อความประดับประดาร่างกายใช่ไหม
ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า หามิได้ พระเจ้าข้า จึงตรัสต่อไปว่า ถ้าเช่นนั้น เขาพากันรับประทานเนื้อบุตรเป็นอาหาร เพียงเพื่อข้ามพ้นทางกันดารใช่ไหม ใช่ พระเจ้าข้า พระองค์จึงตรัสว่า ข้อนี้ฉันใด เรากล่าวว่า บุคคลควรเห็นกวฬีการาหารว่า [เปรียบด้วยเนื้อบุตร] ก็ฉันนั้น เหมือนกันแล เมื่ออริยสาวกกำหนดรู้กวฬีการาหาร ได้แล้ว ก็เป็นอันกำหนดรู้ความยินดี ซึ่งเกิดแต่เบญจกามคุณเมื่ออริยสาวก กำหนดรู้ ความยินดี ซึ่งเกิดแต่เบญจกามคุณ ได้แล้ว สังโยชน์อันเป็นเครื่องชักนำอริยสาวก ให้มาสู่โลกนี้อีกก็ไม่มี
[๒๔๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย (๒) ก็ผัสสาหารจะพึงเห็นได้อย่างไร เหมือนอย่างว่า แม่โคนมที่ไม่มีหนังหุ้ม ถ้ายืนพิงฝาอยู่ ก็จะถูกพวกตัวสัตว์ อาศัยฝาเจาะกิน ถ้ายืนพิง ต้นไม้อยู่ ก็จะถูกพวกสัตว์ชนิดอาศัยต้นไม้ไชกิน หากลงไปยืนแช่น้ำอยู่ ก็จะถูกพวกสัตว์ ที่อาศัยน้ำตอดและกัดกิน ถ้ายืนอาศัยอยู่ ในที่ว่าง ก็จะถูกมวลสัตว์ ที่อาศัยอยู่ในอากาศเกาะกัดและจิกกิน เป็นอันว่าแม่โคนม ตัวนั้น ที่ไร้หนังหุ้ม จะไปอาศัยอยู่ในสถานที่ใดๆ ก็ถูกจำพวกสัตว์ที่อาศัย อยู่ในสถานที่ นั้นๆ กัดกินอยู่ร่ำไป ข้อนี้ฉันใด เรากล่าวว่าพึงเห็นผัสสาหาร ฉันนั้นเหมือนกัน
เมื่ออริยสาวก กำหนดรู้ผัสสาหารได้แล้ว ก็เป็นอันกำหนดรู้เวทนาทั้งสามได้ เมื่ออริยสาวกกำหนดรู้เวทนาทั้งสามได้แล้ว เรากล่าวว่าไม่มีสิ่งใดที่อริยสาวก พึงทำให้ยิ่งขึ้นไปกว่านี้อีกแล้ว
[๒๔๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย (๓) ก็มโนสัญเจตนาหารจะพึงเห็นได้อย่างไร เหมือนอย่างว่ามีหลุมถ่านเพลิงอยู่แห่งหนึ่ง ลึกมากกว่าชั่วบุรุษ เต็มไปด้วยถ่านเพลิง ไม่มีเปลว ไม่มีควันครั้งนั้น มีบุรุษคนหนึ่งอยากมีชีวิตอยู่ ไม่อยากตายรักสุข เกลียดทุกข์เดินมา บุรุษสองคนมีกำลังจับเขาที่แขนข้างละคนคร่า ไปสู่หลุมถ่านเพลิง ทันใดนั้นเอง เขามีเจตนาปรารถนา ตั้งใจอยากจะให้ไกลจากหลุมถ่านเพลิง
ข้อนั้นเพราะเหตุไร
เพราะเขารู้ว่า ถ้าเขาจักตกหลุมถ่านเพลิงนี้ ก็จักต้องตายหรือถึงทุกข์ แทบตาย ข้อนี้ฉันใด เรากล่าวว่าพึงเห็น มโนสัญเจตนาหาร ฉันนั้นเหมือนกัน เมื่ออริยสาวกกำหนด มโนสัญเจตนาหารได้แล้ว ก็เป็นอันกำหนดรู้ตัณหาทั้งสาม ได้แล้ว เมื่ออริยสาวก กำหนดรู้ตัณหาทั้งสามได้แล้ว เรากล่าวว่าไม่มีสิ่งใด ที่อริยสาวก พึงทำให้ยิ่งขึ้นไปกว่านี้อีกแล้ว
[๒๔๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย (๔) ก็วิญญาณาหารจะพึงเห็นได้อย่างไร เหมือนอย่างว่า พวกเจ้าหน้าที่จับโจรผู้กระทำผิดได้แล้ว แสดงแก่พระราชาว่า ขอเดชะด้วยโจรผู้นี้กระทำผิด ใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท จงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ให้ลงโทษโจรผู้นี้ ตามที่ทรงเห็นสมควรเถิด จึงมีพระกระแสรับสั่งอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญไปเถอะพ่อ จงประหารมันเสียด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเช้านี้ เจ้าหน้าที่เหล่านั้น ก็ช่วยประหารนักโทษคนนั้น ด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเช้า
ต่อมาเป็นเวลาเที่ยงวัน พระราชาทรงซักถามเจ้าหน้าที่เหล่านั้น อย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ เจ้านักโทษคนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง เขาพากันกราบทูลว่า ขอเดชะ เขายังมีชีวิตอยู่ตามเดิม จึงมีพระกระแสรับสั่งอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ ไปเถอะพ่อ จงช่วยกันประหารมันเสีย ด้วยหอกร้อยเล่ม ในเวลาเที่ยงวัน เจ้าหน้าที่เหล่านั้น ก็ประหารนักโทษคนนั้นเสีย ด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเที่ยงวันต่อมาเป็นเวลาเย็น พระราชาทรงซักถามเจ้าหน้าที่เหล่านั้น อีกอย่างนี้ว่า
ท่านผู้เจริญ เจ้านักโทษคนนั้นเป็นอย่างไรบ้าง เขาพากันกราบทูลว่า ขอเดชะ เขายังมีชีวิตอยู่ตามเดิม จึงมีพระกระแสรับสั่งอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญ ไปเถอะพ่อ จงประหารมันเสียด้วยหอกร้อยเล่ม ในเวลาเย็น เจ้าหน้าที่คนนั้น ก็ประหารนักโทษคนนั้น ด้วยหอกร้อยเล่มในเวลาเย็น
ภิกษุทั้งหลายเธอทั้งหลาย ยังเข้าใจความข้อนั้นเป็นไฉน คือว่าเมื่อเขา กำลังถูกประหารด้วยหอกร้อยเล่ม ตลอดวันอยู่นั้น จะพึงได้เสวยแต่ทุกข์โทมนัส ซึ่งมีการประหาร นั้นเป็นเหตุเท่านั้น มิใช่หรือ
ภิกษุทั้งหลาย เมื่อเขากำลังถูกประหารอยู่ด้วยหอก แม้เล่มเดียว ก็พึงเสวย ความทุกข์โทมนัส ซึ่งมีการประหารนั้นเป็นเหตุ แต่จะกล่าวไปไยถึงเมื่อเขากำลัง ถูกประหารอยู่ ด้วยหอกสามร้อยเล่มเล่า ข้อนี้ฉันใด เรากล่าวว่าจะพึงเห็น วิญญาณาหารฉันนั้นเหมือนกัน
เมื่ออริยสาวกกำหนดรู้วิญญาณาหารได้แล้ว ก็เป็นอันกำหนดรู้นามรูป ได้แล้ว เมื่ออริยสาวกมากำหนดรู้นามรูปได้แล้ว เรากล่าวว่า ไม่มีสิ่งใดที่อริยสาวก จะพึงทำให้ยิ่งขึ้นไปกว่านี้อีกแล้ว
----------------------------------------------------
อีกพระสูตรหนึ่งเรื่องอาหาร 4 อย่าง
อัตถิราคสูตร "อาหาร ๔ อย่าง" ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๖ สุตตันตปิฎก หน้า ๙๓
|