เว็บไซต์ อนาคามี เผยแพร่คำพระศาสดา เผยแพร่คำสอนตถาคต เว็บไซต์เผยแพร่พระสุตรคำสอนของพระพุทธเจ้า คลิปคำสอน คลิปสาธยายธรรม
 
ค้นหาคำที่ต้องการ          

 
 อัตถิราคสูตร อาหารสี่อย่าง กวฬีการาหาร ผัสสาหาร มโนสัญ เจตนาหาร วิญญาณาหาร 693
 
(เนื้อหาพอสังเขป)

อาหารสี่ ของสัมภเวสีสัตว์ และภูตสัตว์

อาหารสี่อย่างนั้น คือ
กวฬีการาหาร หยาบบ้าง ละเอียดบ้าง (อาหารคือคำข้าว อาหารที่เข้าปาก กลืน กิน เคี้ยว)
ผัสสาหาร (ผัสสะ คืออาหารของอายตนะ6 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ)
มโนสัญเจตนาหาร (อาหารของจิต ที่คิดในเรื่องอดีต ที่เป็นสัญญาเก่า)
วิญญาณาหาร (อาหารของวิญญาณ ที่เข้าไปตั้งอยู่ใน 4 ธาตุของขันธ์ 5 คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร)
(กพฬี หรือ กวฬิง = คำข้าว) 

๑.ถ้าความยินดี ความเพลิดเพลิน ความทยานอยาก มีอยู่ใน กวฬีการาหาร ไซรวิญญาณก็ ตั้งอยู่งอกงาม ในกวฬีการาหารนั้น ที่ใดวิญญาณตั้งอยู่งอกงาม ในที่นั้นย่อมมีการหยั่งลงแห่ง นามรูป ในที่ใดมีการหยั่งลงแห่งนามรูป ในที่นั้นย่อมมีความเจริญแห่งสังขารทั้งหลาย ในที่ใด มีความเจริญแห่งสังขารทั้งหลาย ในที่นั้นย่อมมีการเกิดในภพใหม่ต่อไป
๒.ถ้าความยินดี ความเพลิดเพลิน ความทยานอยาก มีอยู่ใน ผัสสาหาร ไซร้ ...
๓.ถ้าความยินดี ความเพลิดเพลิน ความทยานอยาก มีอยู่ใน มโนสัญเจตนาหาร ไซร้ ...
๔.ถ้าความยินดี ความเพลิดเพลิน ความทยานอยาก มีอยู่ใน วิญญาณาหาร ไซร้ วิญญาณ ก็ตั้งอยู่งอกงามในวิญญาณาหารนั้น

 
 


พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๖ สุตตันตปิฎก หน้า ๙๓

๔. อัตถิราคสูตร

            [๒๔๕] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่าน อนาถบิณฑิก เศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียก ภิกษุทั้งหลายมาตรัสว่า

ดูกรภิกษุทั้งหลาย อาหาร ๔ อย่างเพื่อความดำรงอยู่ของสัตวโลกที่เกิดมาแล้ว เพื่ออนุเคราะห์ แก่เหล่าสัตว์ผู้แสวงหาที่เกิด

อาหาร ๔ อย่างนั้น คือ
๑ กวฬีการาหาร หยาบบ้าง ละเอียดบ้าง
๒ ผัสสาหาร
๓ มโนสัญ เจตนาหาร
๔ วิญญาณาหาร


อาหาร ๔ อย่างนี้แล เพื่อความดำรงอยู่ของสัตวโลกที่เกิดมาแล้ว หรือเพื่ออนุเคราะห์ แก่เหล่าสัตว์ ผู้แสวงหาที่เกิด

            [๒๔๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าความยินดี ความเพลิดเพลิน ความทยาน อยาก มีอยู่ใน กวฬีการาหาร ไซร้ วิญญาณก็ตั้งอยู่งอกงามใน กวฬีการาหารนั้น ในที่ใด วิญญาณ ตั้งอยู่งอกงาม ในที่นั้น ย่อมมีการหยั่งลงแห่งนามรูป

ในที่ใดมีการหยั่งลงแห่งนามรูป ในที่นั้นย่อมมีความเจริญแห่งสังขารทั้งหลาย ในที่ใดมีความเจริญแห่งสังขารทั้งหลาย ในที่นั้นย่อมมีการเกิดในภพใหม่ต่อไป ในที่ใด มีการเกิดในภพใหม่ต่อไป

ในที่นั้น ย่อมมีชาติชรามรณะต่อไป ในที่ใดมีชาติชรามรณะต่อไป เราเรียกที่นั้นว่า มีความโศก มีธุลี (คือราคะ) มีความคับแค้น

ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ถ้าความยินดี ความเพลิดเพลิน ความทยานอยากมีอยู่ใน ผัสสาหาร ไซร้ ...
ถ้าความยินดี ความเพลิดเพลิน ความทยานอยาก มีอยู่ใน มโนสัญเจตนาหาร ไซร้ ...
ถ้าความยินดีความเพลิดเพลิน ความทยานอยากมีอยู่ใน วิญญาณาหาร ไซร้
วิญญาณ ก็ตั้งอยู่งอกงามในวิญญาณาหารนั้น

ในที่ใด วิญญาณตั้งอยู่งอกงาม ในที่นั้น ย่อมมีการหยั่งลงแห่ง นามรูป
นที่ใด มีการหยั่งลงแห่งนามรูป ในที่นั้น ย่อมมีความเจริญแห่ง สังขารทั้งหลาย
ในที่ใด มีความเจริญแห่งสังขารทั้งหลาย ในที่นั้นย่อม มีการเกิดในภพใหม่ต่อไป
ในที่ใด มีการเกิดในภพใหม่ต่อไป ในที่นั้น ย่อมมี ชาติชรามรณะต่อไป
ในที่ใด มีชาติชรามรณะต่อไป เราเรียกที่นั้นว่า มีความโศกมีธุลี มีความคับแค้น ฯ

            [๒๔๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อมีน้ำย้อม ครั่ง ขมิ้น สีเขียวหรือสีบานเย็น ช่างย้อม หรือช่างเขียน พึงเขียนรูปสตรีหรือรูปบุรุษ ให้มีอวัยวะน้อยใหญ่ได้ครบถ้วน ที่แผ่นหิน ขาว แผ่นกระดาน ฝาผนัง หรือที่ผืนผ้า แม้ฉันใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกัน

ถ้า ความยินดี ความเพลิดเพลิน ความทยานอยาก มีอยู่ใน กวฬีการาหาร ไซร้ วิญญาณ ก็ตั้งอยู่งอกงามใน กวฬีการาหารนั้น

ในที่ใด วิญญาณตั้งอยู่งอกงาม ในที่นั้น ย่อมมีการหยั่งลงแห่งนามรูป ในที่ใดมีการหยั่งลงแห่งนามรูป ในที่นั้น ย่อมมีความเจริญแห่งสังขารทั้งหลาย ในที่ใดมีความเจริญแห่งสังขารทั้งหลาย ในที่นั้น ย่อมมีการเกิดในภพใหม่ต่อไป ในที่ใดมีการเกิดในภพใหม่ต่อไป ในที่นั้น ย่อมมีชาติชรามรณะ ต่อไป ในที่ใด มีชาติชรามรณะต่อไป เราเรียกที่นั้นว่ามีความโศก มีธุลี มีความคับแค้น

ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ถ้าความยินดี ความเพลิดเพลิน ความทยานอยาก มีอยู่ในผัสสาหารไซร้ ... ถ้าความยินดี ความเพลิดเพลิน ความทยานอยาก มีอยู่ในมโนสัญเจตนาหารไซร้ ... ถ้าความยินดี ความเพลิดเพลิน ความทยานอยาก มีอยู่ในวิญญาณาหารไซร้ วิญญาณก็ตั้งอยู่งอกงามในวิญญาณาหารนั้น

ในที่ใด วิญญาณตั้งอยู่งอกงาม ในที่นั้นย่อมมีการหยั่งลงแห่งนามรูป
ในที่ใด มีการหยั่งลงแห่งนามรูป ในที่นั้น ย่อมมีความเจริญแห่งสังขารทั้งหลาย
ในที่ใด มีความเจริญแห่งสังขารทั้งหลาย ในที่นั้น ย่อมมีการเกิดในภพใหม่ต่อไป
ในที่ใด มีการเกิดในภพใหม่ต่อไป ในที่นั้น ย่อมมีชาติชรามรณะต่อไป ในที่ใดมีชาติชรามรณะต่อไป เราเรียกที่นั้นว่า มีความโศก มีธุลี มีความคับแค้น

(ในทางตรงกันข้าม)

            [๒๔๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ถ้าความยินดี ความเพลิดเพลิน ความทยาน อยาก ไม่มีอยู่ในกวฬีการาหารไซร้ วิญญาณ ก็ไม่ตั้งอยู่ไม่งอกงามในกวฬีการาหารนั้น
ในที่ใด วิญญาณไม่ตั้งอยู่ไม่งอกงาม ในที่นั้น ย่อมไม่มีการหยั่งลงแห่งนามรูป
ในที่ใด ไม่มีการหยั่งลงแห่งนามรูป ในที่นั้น ย่อมไม่มีความเจริญแห่งสังขารทั้งหลาย
ในที่ใด ไม่มีความเจริญแห่งสังขารทั้งหลายในที่นั้นย่อมไม่มีการเกิดในภพใหม่ต่อไป
ในที่ใด ไม่มีการเกิดในภพใหม่ต่อไป ในที่นั้นย่อมไม่มีชาติชรามรณะต่อไป
ในที่ใด ไม่มีชาติชรามรณะต่อไป เราเรียกที่นั้นว่าไม่มีความโศกไม่มีธุลี ไม่มีความ คับแค้น

            ภิกษุทั้งหลาย ถ้าความยินดี ความเพลิดเพลิน ความทยานอยาก ไม่มีในผัสสาหาร ...ไม่มีในมโนสัญเจตนาหาร ... ไม่มีในวิญญาณาหารไซร้ วิญญาณก็ไม่ตั้งอยู่ไม่งอกงาม ในอาหารนั้น
ในที่ใด วิญญาณไม่ตั้งอยู่ไม่งอกงาม ในที่นั้นย่อมไม่มีการหยั่งลงแห่งนามรูป
ในที่ใด ไม่มีการหยั่งลงแห่งนามรูป ในที่นั้นย่อมไม่มีความเจริญแห่งสังขารทั้งหลาย
ในที่ใด ไม่มีความเจริญแห่งสังขารทั้งหลาย ในที่นั้นย่อมไม่มีความเกิดในภพใหม่ ต่อไป
ในที่ใด ไม่มีความเกิดในภพใหม่ต่อไป ในที่นั้น ย่อมไม่มีชาติชรามรณะต่อไป
ในที่ใด ไม่มีชาติชรามรณะต่อไป

            ภิกษุทั้งหลายเราเรียกที่นั้นว่า ไม่มีความโศก ไม่มีธุลี ไม่มีความคับแค้น

            [๒๔๙] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรือนยอด [ปราสาท] หรือศาลามีสองยอด หน้าต่าง ด้านทิศตะวันออก อันบุคคลเปิดไปทางเหนือ หรือ ทางใต้ เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นไป แสงสว่างส่องเข้าไปทางหน้าต่าง จะพึงตั้งอยู่ ณ ที่ไหน
ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลว่า ตั้งอยู่ที่ฝาด้านตะวันตก พระเจ้าข้า
พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าฝาด้านตะวันตกไม่มีเล่า แสงสว่างนั้นจะพึงตั้งอยู่ ณที่ไหน
ภิ. ที่แผ่นดิน พระเจ้าข้า
พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าแผ่นดินไม่มีเล่า แสงสว่างนั้นจะพึงตั้งอยู่ ณ ที่ไหน
ภิ. ที่น้ำ พระเจ้าข้า
พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าน้ำไม่มีเล่า แสงสว่างนั้นจะพึงตั้งอยู่ ณ ที่ไหน
ภิ. ไม่ตั้งอยู่เลย พระเจ้าข้า

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล ถ้าความยินดี ความเพลิดเพลิน  ความทะยานอยาก ไม่มีอยู่ในกวฬีการาหารไซร้ ... ในผัสสาหารไซร้ ... ในมโน สัญเจตนาหารไซร้ ... ในวิญญาณา หารไซร้ วิญญาณก็ไม่ตั้งอยู่ ไม่งอกงามใน วิญญาณาหารนั้น ในที่ใด วิญญาณไม่ตั้งอยู่ ไม่งอกงาม ในที่นั้น ย่อมไม่มีการหยั่งลง แห่งนามรูป ในที่ใด ไม่มีการหยั่งลงแห่ง นามรูป ในที่นั้นย่อมไม่มีความเจริญแห่ง สังขารทั้งหลาย ในที่ใด ไม่มีความเจริญแห่ง สังขารทั้งหลาย ในที่นั้นย่อมไม่มี การเกิดในภพใหม่ต่อไป ในที่ใด ไม่มีการเกิด ในภพใหม่ต่อไป ในที่นั้นย่อมไม่มีชาติ ชรามรณะต่อไป ในที่ใด ไม่มีชาติชรามรณะ ต่อไป เราเรียกที่นั้นว่าไม่มีความโศก ไม่มีธุลีไม่มีความคับแค้น

 
 
พุทธวจน : อ่านคำสอนพระศาสดา อ่านแบบสบายตา โดยคัดลอกหนังสือทั้งเล่มมาจัดทำเป็นเว็บเพจ (คลิกอ่านพร้อมดาวน์โหลดไฟล์ pdf)
90 90 90 90
พุทธประวัติ ขุมทรัพย์ อริยสัจ
ภาคต้น
อริยสัจ
ภาคปลาย
ปฏิจจ ปฐมธรรม ตถาคต อนาคามี อินทรีย์
สังวร
สัตว์
สัตตานัง
ทาน
สกทาคามี
ฆราวาส
ชั้นเลิศ
มรรควิธี
ที่ง่าย
อริยวินัย เดรัจฉานวิชา กรรม สมถะ
วิปัสสนา
โสดาบัน นา
ปานสติ
จิต มโน
วิญญาณ
ก้าวย่าง
อย่างพุทธะ
ตามรอย
ธรรม
ภพ ภูมิ
พุทธวจน
สาธยาย
ธรรม
สังโยชน์