พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๖ พระสุตตันตปิฎก หน้า ๗๑
เจตนาสูตรที่ ๑
[๑๔๕] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถ บิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ... พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมจงใจ ย่อมดำริ และครุ่นคิดถึงสิ่งใด สิ่งนั้นเป็นอารัมณปัจจัย เพื่อความตั้งอยู่แห่งวิญญาณ
เมื่อมีอารัมณปัจจัย ความตั้งมั่นแห่งวิญญาณจึงมี
เมื่อวิญญาณนั้นตั้งมั่นแล้ว เจริญขึ้นแล้ว
ความบังเกิดคือภพใหม่ต่อไปจึงมี
เมื่อมีความบังเกิด คือภพใหม่ต่อไป
ชาติ ชราและมรณะ โสกปริเทวทุกขโทมนัส
และ อุปายาส จึงมีต่อไป
ความเกิดขึ้น แห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่จงใจ ไม่ดำริ แต่ ยังครุ่นคิดถึงสิ่งใด สิ่งนั้นเป็น อารัมณปัจจัย เพื่อความตั้งอยู่แห่งวิญญาณ
เมื่อมีอารัมณปัจจัย ความตั้งมั่นแห่ง วิญญาณ จึงมี
เมื่อวิญญาณนั้นตั้งมั่นแล้ว เจริญขึ้นแล้ว
ความบังเกิดคือภพใหม่ ต่อไปจึงมี
เมื่อมีความบังเกิดคือภพใหม่ต่อไป
ชาติชราและมรณะ โสกปริเทวทุกข โทมนัส
และ อุปายาส จึงมีต่อไป
ความเกิด แห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้
[๑๔๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุ ไม่จงใจ ไม่ดำริ และไม่ครุ่นคิดถึง สิ่งใด สิ่งนั้นย่อมไม่เป็นอารัมณปัจจัย เพื่อความตั้งอยู่แห่งวิญญาณ
เมื่อไม่มีอารัมณปัจจัย ความตั้งมั่นแห่งวิญญาณจึงไม่มี
เมื่อวิญญาณนั้นไม่ตั้งมั่นแล้ว ไม่เจริญขึ้นแล้ว
ความบังเกิด คือภพใหม่ต่อไปจึงไม่มี
เมื่อความบังเกิดคือภพใหม่ ต่อไปไม่มี
ชาติชรา และมรณะ โสกปริเทวทุกขโทมนัส
และ อุปายาส ต่อไปจึงดับ
ความดับ แห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๖ พระสุตตันตปิฎก หน้า ๗๒
เจตนาสูตรที่ ๒
[๑๔๗] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถ บิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ... พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมจงใจ ย่อมดำริ และครุ่นคิดถึงสิ่งใด สิ่งนั้นย่อมเป็นอารัมณปัจจัย เพื่อความตั้งอยู่แห่งวิญญาณ
เมื่อมีอารัมณปัจจัย ความตั้งมั่นแห่งวิญญาณจึงมี
เมื่อวิญญาณนั้นตั้งมั่นแล้วเจริญขึ้นแล้ว ความหยั่งลงแห่งนามรูป จึงมี
เพราะนามรูป เป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ
เพราะสฬายตนะ เป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ
เพราะผัสสะ เป็นปัจจัย จึงมีเวทนา
เพราะเวทนา เป็นปัจจัย จึงมีตัณหา
เพราะตัณหา เป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน
เพราะอุปาทาน เป็นปัจจัย จึงมีภพ
เพราะภพ เป็นปัจจัย จึงมีชาติ
เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ
โสกปริเทว ทุกขโทมนัส และ อุปายาส
ความเกิดขึ้น แห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่จงใจ ไม่ดำริ แต่ยังครุ่นคิดถึงสิ่งใด
สิ่งนั้น ย่อมเป็นอารัมณปัจจัย เพื่อความตั้งอยู่แห่งวิญญาณ
เมื่อมีอารัมณปัจจัย ความตั้งมั่น แห่งวิญญาณจึงมี
เมื่อวิญญาณนั้นตั้งมั่นแล้ว เจริญขึ้นแล้ว ความหยั่งลงแห่งนามรูป จึงมี
เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ
เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ
เพราะ ผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา
เพราะเวทนาเป็นปัจจัยจึงมีตัณหา
เพราะตัณหา เป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน
เพราะอุปาทานเป็นปัจจัยจึงมีภพ
เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ
เพราะชาติ เป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ โสกปริเทว ทุกขโทมนัส และ อุปายาส ความเกิดขึ้น แห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้
[๑๔๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุไม่จงใจ ไม่ดำริ และไม่ครุ่นคิดถึง สิ่งใด สิ่งนั้นย่อมไม่เป็นอารัมณปัจจัย เพื่อความตั้งอยู่แห่งวิญญาณ
เมื่อไม่มีอารัมณ ปัจจัย ความตั้งมั่นแห่งวิญญาณจึงไม่มี เมื่อวิญญาณนั้นไม่ตั้งมั่นแล้วไม่เจริญขึ้นแล้ว ความหยั่งลงแห่งนามรูปจึงไม่มี เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ
เพราะสฬายตนะ ดับ ผัสสะจึงดับ
เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ
เพราะเวทนาดับ ภพจึงดับ
เพราะภพดับ ชาติจึงดับ
เพราะชาติดับ ชราและมรณะ โสกปริเทว ทุกขโทมนัส และอุปายาส ต่อไป จึงดับ ความดับ แห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๖ พระสุตตันตปิฎก หน้า ๗๓
เจตนาสูตรที่ ๓
[๑๔๙] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถ บิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ... พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมจงใจ ย่อมดำริ และย่อมครุ่นคิดถึงสิ่งใด สิ่งนั้น ย่อมเป็นอารัมณปัจจัย เพื่อความตั้งอยู่แห่งวิญญาณ
เมื่อมีอารัมณปัจจัย ความตั้งมั่น แห่งวิญญาณจึงมี
เมื่อวิญญาณนั้นตั้งมั่นแล้ว เจริญขึ้นแล้ว ตัณหาจึงมี
เมื่อมีตัณหา คติในการเวียนมา จึงมี
เมื่อมีคติในการเวียนมา จุติและอุปบัติ จึงมี
เมื่อมีจุติและอุปบัติ ชาติ ชราและมรณะ
โสกปริเทว ทุกขโทมนัสและอุปายาส จึงมี
ความเกิดขึ้น แห่งกองทุกข์ ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่จงใจ ไม่ดำริ แต่ยังครุ่นคิดถึงสิ่งใด
สิ่งนั้น ย่อมเป็นอารัมณปัจจัย เพื่อความตั้งอยู่แห่งวิญญาณ
เมื่อมีอารัมณปัจจัย ความตั้งมั่นแห่ง วิญญาณจึงมี
เมื่อวิญญาณนั้นตั้งมั่นแล้ว เจริญขึ้นแล้ว ตัณหาจึงมี
เมื่อมีตัณหา คติในการเวียนมาจึงมี
เมื่อมีคติในการเวียนมา จุติและอุปบัติจึงมี
เมื่อมีจุติและอุปบัติ ชาติชราและมรณะ
โสกปริเทว
ทุกขโทมนัสและอุปายาสจึงมี
ความเกิดขึ้น แห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้
[๑๕๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อภิกษุไม่จงใจ ไม่ดำริ และไม่ครุ่นคิดถึง สิ่งใด สิ่งนั้นย่อมไม่เป็นอารัมณปัจจัย เพื่อความตั้งอยู่แห่งวิญญาณ
เมื่อไม่มีอารัมณปัจจัย ความตั้งมั่นแห่งวิญญาณจึงไม่มี
เมื่อวิญญาณนั้นไม่ตั้งมั่นแล้วไม่เจริญขึ้นแล้ว ตัณหา จึงไม่มี
เมื่อไม่มีตัณหา คติในการเวียนมาจึงไม่มี
เมื่อไม่มีคติในการเวียนมา จุติและ อุปบัติจึงไม่มี
เมื่อไม่มีจุติและอุปบัติ ชาติ ชราและมรณะ
โสกปริเทว ทุกขโทมนัส และอุปายาส ต่อไปจึงดับ
ความดับ แห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้
(ชุด 5 เล่มจากพระโอษฐ์)
ความเกิดขึ้นแห่งภพใหม่
ภิกษุทั้งหลาย !
ถ้าบุคคลย่อมคิด (เจเตติ) ถึงสิ่งใดอยู่ ย่อมดําริ (ปกปุเปติ) ถึงสิ่งใดอยู่ และย่อม มีจิตฝังลงไป (อนุเสติ) ในสิ่งใดอยู่ สิ่งนั้นย่อมเป็นอารมณ์เพื่อการตั้งอยู่แห่ง วิญญาณ เมื่ออารมณ์มีอยู่ ความตั้งขึ้นเฉพาะแห่งวิญญาณ ย่อมมี เมื่อวิญญาณนั้น ตั้งขึ้นเฉพาะเจริญงอกงามแล้ว ความเกิดขึ้นแห่งภพใหม่ต่อไปย่อมมี เมื่อความเกิดขึ้น แห่งภพใหม่ ต่อไป มีอยู่ ชาติชรามรณะ โสกะปริเทวะ ทุกขะโทมนัส อุปายาส ทั้งหลาย จึงเกิดขึ้น ครบถ้วน ความเกิดขึ้นพร้อมแห่ง กองทุกข์ ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วยอาการ อย่างนี้
ภิกษุทั้งหลาย !
ถ้าบุคคล ย่อมไม่คิด (โนเจเตติ) ถึงสิ่งใด ย่อมไม่ดําริ (โน ปกปเปติ) ถึงสิ่งใด แต่เขายังมีจิตฝังลงไป (อนุเสติ) ในสิ่งใดอยู่ สิ่งนั้นย่อมเป็นอารมณ์ เพื่อการตั้งอยู่ แห่ง วิญญาณ เมื่ออารมณ์ มีอยู่ ความตั้งขึ้นเฉพาะแห่งวิญญาณ ย่อมมี เมื่อวิญญาณ นั้น ตั้งขึ้นเฉพาะ เจริญงอกงามแล้ว ความเกิดขึ้นแห่งภพใหม่ต่อไป ย่อมมี เมื่อความ เกิดขึ้นแห่ง ภพใหม่ต่อไป มีอยู่ ชาติชรามรณะ โสกะปริเทวะ ทุกขะโทมนัส อุปายาส ทั้งหลาย ย่อมเกิดขึ้นครบถ้วน ความเกิดขึ้นพร้อม แห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมี ด้วย อาการอย่างนี้
ภิกษุทั้งหลาย !
ก็ถ้าว่าบุคคล ย่อมไม่คิดถึงสิ่งใดด้วย ย่อมไม่ดําริถึงสิ่งใดด้วย และย่อมไม่มีจิต ฝังลงไป (โน อนุเสติ) ในสิ่ง ใดด้วย ในกาลใด ในกาลนั้น สิ่งนั้น ย่อมไม่เป็นอารมณ์ เพื่อการตั้งอยู่แห่ง วิญญาณได้เลย เมื่ออารมณ์ไม่มี ความตั้งขึ้นเฉพาะแห่งวิญญาณ ย่อมไม่มี เมื่อวิญญาณนั้น ไม่ตั้งขึ้นเฉพาะ ไม่เจริญงอกงามแล้ว ความเกิดขึ้นแห่ง ภพใหม่ต่อไป ย่อมไม่มี เมื่อความเกิดขึ้น แห่งภพใหม่ ต่อไป ไม่มี ชาติชรามรณะ โสกะปริเทวะทุกขะโทมนัส อุปายาสทั้งหลาย จึงดับสิ้น ความดับลงแห่งกองทุกข์ ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้ ดังนี้แล.
นิทาน. ส. ๑๖/๒๘/๑๔๔.
|