พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๔ พระสุตตันตปิฎ หน้า หน้าที่ ๙๙-๑๐๑
ฐิติสูตร
[๕๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราไม่สรรเสริญแม้ซึ่งความตั้งอยู่ในกุศลธรรม ทั้งหลาย ไฉนจะสรรเสริญความเสื่อมรอบ ในกุศลธรรมทั้งหลายเล่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย แต่เราสรรเสริญความเจริญ ในกุศลธรรมทั้งหลาย มิใช่ความตั้งอยู่ มิใช่ความเสื่อม ในกุศลธรรมทั้งหลาย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความเสื่อม ในกุศลธรรมทั้งหลาย มิใช่ความตั้งอยู่ มิใช่ความเจริญอย่างไร ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้มีศรัทธาศีล สุตะ จาคะ ปัญญา ปฏิภาณเท่าไร ธรรมเหล่านั้นของภิกษุนั้นย่อมไม่ตั้งอยู่ ย่อมไม่ เจริญขึ้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวข้อนี้ว่า เป็นความเสื่อมในกุศลธรรมทั้งหลาย มิใช่ความตั้งอยู่ มิใช่ความเจริญ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความเสื่อมในกุศลธรรมทั้งหลาย มีอยู่ มิใช่ความตั้งอยู่ มิใช่ความเจริญ อย่างนี้แล
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความตั้งอยู่ ในกุศลธรรมทั้งหลาย มิใช่ความเสื่อม มิใช่ความเจริญอย่างไร ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้มีศรัทธาศีล สุตะ จาคะ ปัญญา ปฏิภาณเท่าไร ธรรมเหล่านั้นของภิกษุนั้น ย่อมไม่เสื่อมย่อม ไม่เจริญขึ้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวข้อนี้ว่า เป็นความตั้งอยู่ในกุศลธรรมทั้งหลาย มิใช่ความเสื่อม มิใช่ความเจริญ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความตั้งอยู่ในกุศลธรรมทั้งหลาย มิใช่ความเสื่อม มิใช่ความเจริญ อย่างนี้แล
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความเจริญ ในกุศลธรรมทั้งหลาย มิใช่ความตั้งอยู่ มิใช่ความเสื่อมอย่างไร ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้มีศรัทธาศีล สุตะ จาคะ ปัญญา ปฏิภาณเท่าไร ธรรมเหล่านั้นของภิกษุ ย่อมไม่ตั้งอยู่ย่อมไม่เสื่อม ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรากล่าวข้อนี้ว่า เป็นความเจริญในกุศลธรรมทั้งหลาย มิใช่ความ ตั้งอยู่ มิใช่ความเสื่อม ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความเจริญในกุศลธรรมทั้งหลาย มิใช่ความ ตั้งอยู่ มิใช่ความเสื่อม อย่างนี้แล
------------------------------------------------------------------------
(ภิกษุเป็นผู้ฉลาดในวาระจิตของตน)
ดูกรภิกษุทั้งหลาย หากว่าภิกษุไม่เป็นผู้ฉลาด ในวาระจิตของผู้อื่นไซร้ เมื่อเป็นอย่างนั้นภิกษุนั้น พึงศึกษาว่า เราจักเป็นผู้ฉลาด ในวาระจิตของตน ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายพึงศึกษาอย่างนี้แล
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุเป็นผู้ฉลาดในวาระจิตของตนอย่างไร ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนสตรี หรือบุรุษที่เป็นหนุ่มสาว มีปรกติชอบแต่งตัว ส่องดูเงาหน้าของตนในคันฉ่อง อันบริสุทธิ์หมดจด หรือในภาชนะน้ำอันใส ถ้าเห็นธุลี หรือจุดดำที่หน้านั้น ก็พยายามเพื่อขจัดธุลี หรือจุดดำนั้นเสีย ถ้าว่าไม่เห็นธุลี หรือ จุดดำ ที่หน้านั้น ก็ย่อมดีใจ มีความดำริอันบริบูรณ์ ด้วยเหตุนั้นแลว่า เป็นลาภของ เราหนอ หน้าของเราบริสุทธิ์แล้วหนอ แม้ฉันใด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย การพิจารณาของ ภิกษุว่า เราเป็นผู้มีอภิชฌาอยู่ โดยมาก หรือหนอ หรือว่าเราเป็นผู้ไม่มีอภิชฌาอยู่ โดยมาก ... เราเป็นผู้มีจิตไม่ตั้งมั่น อยู่โดยมาก หรือหนอ หรือว่าเราเป็นผู้มีจิต ตั้งมั่น อยู่โดยมาก ดังนี้ ย่อมเป็นอุปการะ มาก ในกุศลธรรมทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าว่าภิกษุเมื่อพิจารณาอยู่ ย่อมรู้อย่างนี้ว่า เราเป็นผู้มี อภิชฌาอยู่โดยมาก ... เป็นผู้มีจิตไม่ตั้งมั่นอยู่โดยมาก ดังนี้ไซร้ ภิกษุนั้นควรทำความ พอใจ ความพยายาม ความอุตสาหะ ความขะมักเขม้น ความไม่ท้อถอย สติ และ สัมปชัญญะ ให้มีประมาณยิ่ง เพื่อละธรรมทั้งหลาย ที่เป็นบาปอกุศลเหล่านั้น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือน บุคคล มีผ้าอันไฟไหม้ หรือมีศีรษะ อันไฟไหม้ พึงทำความพอใจ ความพยายาม ความอุตสาหะ ความขะมักเขม้น ความ ไม่ท้อถอย สติและ สัมปชัญญะ ให้มีประมาณยิ่ง เพื่อดับไฟไหม้ผ้า หรือ ไฟไหม้ ศีรษะ นั้น ฉันใด ภิกษุนั้น พึงทำความพอใจ ความพยายาม ความอุตสาหะความ ขะมักเขม้น ความไม่ท้อถอย สติและสัมปชัญญะ ให้มีประมาณยิ่ง เพื่อละธรรม ทั้งหลาย ที่เป็นบาปอกุศลเหล่านั้น ฉันนั้นเหมือนกัน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ถ้าภิกษุเมื่อพิจารณาอยู่ ย่อมรู้อย่างนี้ว่า เราเป็นผู้ไม่มี อภิชฌาอยู่โดยมาก ... เป็นผู้มีจิตตั้งมั่นอยู่โดยมาก ดังนี้ไซร้ ภิกษุนั้น ควรตั้งอยู่ใน กุศลธรรมเหล่านั้นแล้ว พึงทำความเพียรเพื่อความสิ้นไปแห่งอาสวะทั้งหลาย ให้ยิ่งขึ้นไป
|