พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๕ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๔๑
๑๐. อุเทนสูตร
[๑๕๗] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ โฆสิตาราม ใกล้พระนครโกสัมพี ก็สมัยนั้นแล เมื่อพระเจ้าอุเทนเสด็จประพาสพระราชอุทยาน ภายในพระราชวังถูกไฟไหม้ หญิง ๕๐๐ มีพระนางสามาวดี (มเหสี) เป็นประมุขทำกาละ
ครั้งนั้นแล เป็นเวลาเช้า ภิกษุมากด้วยกัน นุ่งแล้ว ถือบาตรและจีวรเข้าไป บิณฑบาต ยังพระนครโกสัมพี ครั้นเที่ยวบิณฑบาตใน พระนคร โกสัมพี กลับจากบิณฑบาต ภายหลังภัตแล้ว เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่ง ณที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทาน พระวโรกาส เมื่อพระเจ้าอุเทนเสด็จประพาสพระราชอุทยาน ภายในพระราชวัง ถูกไฟไหม้ หญิง ๕๐๐ มีพระนางสามาวดีเป็นประมุขทำกาละ คติแห่งอุบาสิกา เหล่านั้น เป็นอย่างไร ภพหน้าเป็นอย่างไร
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาอุบาสิกา เหล่านั้น อุบาสิกาที่เป็นพระโสดาบัน มีอยู่เป็นพระสกทาคามินีมีอยู่ เป็นพระอนาคามินีมีอยู่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย อุบาสิกาทั้งหมดนั้นเป็นผู้ไม่ไร้ผลทำกาละ ฯ
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาค ทรงทราบเนื้อความนี้แล้ว ทรงเปล่งอุทานนี้ ในเวลานั้นว่า สัตว์โลกมีโมหะเป็นเครื่องผูกพัน ย่อมปรากฏเหมือนสมบูรณ์ ด้วยเหตุ คนพาล มีอุปธิเป็นเครื่องผูกพัน ถูกความมืดหุ้มห่อไว้ ย่อมปรากฏเหมือนว่าเที่ยง ยั่งยืน กิเลสเครื่องกังวล ย่อมไม่มีแก่ผู้พิจารณาเห็นอยู่ ฯ
|