เว็บไซต์ อนาคามี เผยแพร่ พุทธวจน คำสอนของพระศาสดา คำสอนตถาคต รวมพระสูตรสำคัญ อนาคามี เว็บไซต์เผยแพร่คำสอนของพระพุทธเจ้า
ค้นหาคำที่ต้องการ            

ปาฏิกสูตร สุนักขัตตะ เข้ามาบวชเพื่อต้องการเรียนรู้อิทธิปาฎิหาริย์จากพระพุทธเจ้า 1522
 

สุนักขัตตะ (พระโอรสเจ้าลิจฉว) เข้ามาบวชเพื่อต้องการเรียนรู้อิทธิปาฎิหาริย์ จากพระพุทธเจ้า จึงทำหน้าที่เป็น อุปัฏฐากผู้ใกล้ชิด แต่ตลอดระยะเวลาที่บวช กลับไม่เคยเห็นพระพุทธเจ้าแสดง ฤทธิ์จึงบอก ลาสิกขา แต่ก็ไม่ได้ลาสิกขา พระผู้มีพระภาคตรัสว่า พระองค์ไม่เคยให้ใครมาบวชเพื่อ จะได้ อิทธิปาฎิหาริย์ นั่นเป็นความเข้าใจผิดของ สุนักขัตตะ เอง... สุนักขัตตะ ไม่เข้าใจ และ มองไม่เห็นว่า พระศาสดาแสดงธรรมเพื่อการสิ้นรอบของมนุษย์ คืออิทธิปาฎิหาริย์ ที่เป็นของ ผู้เป็นอริยะ แต่สุนักขัตตะกลับอยากได้ฤทธิ์ที่เป็นของปุถุชน(เป็นของต่ำ) จึงถูกพระศาสดาย้อนถาม

"ธรรมที่เราได้แสดงไว้ย่อมนำผู้ประพฤติให้ สิ้นทุกข์โดยชอบ เช่นนี้ เธอจะปรารถนาการกระทำ อิทธิปาฏิหาริย์ ที่เป็นธรรมยิ่งยวดของมนุษย์(ของต่ำ)ไปทำไม"


สุนักขัตตะ ยังเข้าใจผิดว่า อเจลก (นักบวชเปลือย)เจ้าสำนัก 3 คน เป็นพระอรหันต์ ได้แก่ อเจลก
ชื่อ (1) โกรักขัตติยะ (2) กฬารมัชฌกะ (3) ปาฏิกบุตร

(1) โกรักขัตติย อเจลก
ดูกรสุนักขัตตะ เธอได้เห็น โกรักขัตติย อเจลก คนนี้ ซึ่งประพฤติอย่างสุนัข เดินด้วยข้อศอกและเข่า กินอาหารที่กองบนพื้นด้วยปาก แล้วเธอจึงได้คิดต่อไปว่า เขาเป็นสมณะอรหันต์ที่ดีผู้หนึ่งมิใช่หรือ แต่ อีก ๗ วัน เขาจักตายด้วย โรคอลสกะ (กินอาหารมากเกินไป) คติของเขา คือ ได้ไปเกิดในเหล่า อสูร ชื่อกาลกัญชิกา ซึ่งเลวกว่าอสุรกายทั้งปวง

(2) กฬารมัชฌกะ อเจลก
ชีเปลือย กฬารมัชฌกะ ถูกโกรักขัตติยะ ถามปัญหาแล้วตอบไม่ได้จึงเกิดโทสะ ต่อมา กฬารมัชฌกะ กลับมานุ่งผ้า มีภรรยา ล่วงเกินเจดีย์ที่มีอยู่ในเมืองเวสาลีทั้งหมด กลายเป็น คนเสื่อมยศ แล้วตายไป

(3) ปาฏิกบุตร อเจลก
อเจลก ปาฏิกบุตร ท้าทายพระพุทธเจ้าว่า หากเจอกันแล้ว ก็จะทำปาฏิหาริย์ให้มากกว่าเป็น สองเท่า ครั้นพวกพราหมณ์มหาศาล และพวกเจ้าลิจฉวี พากันมามากมาย กลับซบ ศีรษะ อยู่ในที่นั้น และไม่อาจลุกขึ้นจากอาสนะได้ เพราะตะโพกติดกับที่นั่ง อเจลกชื่อปาฏิกบุตรนี้ เป็นผู้แพ้แล้ว เพราะเขาไม่ละวาจา จิต และสละคืนทิฐิเช่นนั้น จึงไม่สามารถที่จะมาพบเห็น เราได้
เรื่องสำคัญของพระพุทธเจ้า
การบำเพ็ญบารมีในอดีตชาติ
การประสูติ แสงสว่าง แผ่นดินไหว
แสวงหาสัจจะบำเพ็ญทุกรกิริยา
ปัญจวัคคีย์หลีก สิ่งที่ตรัสรู้
ตรัสรู้ แสดงเทศนาปัญจวัคคีย์
ปลงสังขาร ปรินิพพาน
ลำดับขั้นการปรินิพพาน
เทวดาแสดงฤทธิ์ขณะถวายเพลิง
แบ่งพระสรีระออกเป็น ๘ ส่วน
 
รวมพระสูตรบุคคลสำคัญ
พระโมคคัลลานะ
พระสารีบุตร
พระเทวทัต
นิครนถ์ปริพาชก
พระมหากัปปินะ
พระอนุรุทธะ
พระอุบาลี
(ดูทั้งหมด)
 


พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๑ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑

๑. ปาฏิกสูตร (๒๔)

          [๑] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้
          สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ประทับอยู่ที่อนุปิยนิคม ของชาวมัลละ ในแคว้นมัลละ ครั้งนั้นแล เวลาเช้า พระผู้มีพระภาคทรงนุ่งแล้ว ทรงถือบาตรและจีวร เสด็จเข้าไป บิณฑบาตยังอนุปิยนิคม

          ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคได้ทรงพระดำริว่า ยังเช้านักที่จะเข้าไปบิณฑบาต ยังอนุปิยนิคม ถ้ากระไรเราพึงไปหา ปริพาชก ชื่อ ภัคควโคตร ที่อารามของเขา ลำดับนั้นพระผู้มีพระภาคเสด็จเข้าไปหาปริพาชกชื่อ ภัคควโคตร ที่อารามของเขาแล้ว

          ปริพาชกชื่อภัคควโคตร ได้กราบทูลเชิญพระผู้มีพระภาคว่า ขอเชิญ พระผู้มีพระภาค เสด็จมาเถิด พระเจ้าข้า พระองค์เสด็จมาดีแล้ว นานๆ พระองค์จึง จะมีโอกาสเสด็จมาที่นี้ ขอเชิญประทับนั่ง นี้อาสนะที่จัดไว้ พระผู้มีพระภาคได้ ประทับนั่งบนอาสนะที่จัดไว้แล้ว ฝ่ายปริพาชกชื่อภัคควโคตร ถือเอาอาสนะต่ำแห่ง หนึ่งนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง

          ครั้นแล้ว จึงได้กราบทูลว่าข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ วันก่อนๆ พระโอรสเจ้าลิจฉวี ชื่อสุนักขัตตะ* ได้เข้ามาหาข้าพระองค์ถึงที่อยู่แล้ว บอกว่า ดูกรภัคควะ บัดนี้ ข้าพเจ้า บอกคืน(ลาสิกขา) พระผู้มีพระภาคแล้ว ข้าพเจ้าไม่อยู่อุทิศต่อพระผู้มีพระภาค ดังนี้ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ คำนั้นเป็นดังที่เขากล่าวหรือ
*(สุนักขัตตะเข้ามาบวชเพื่อต้องการเรียนรู้อิทธิปาฎิหาริย์จากพระพุทธเจ้า จึงทำหน้าที่เป็น อุปัฏฐากผู้ใกล้ชิด แต่ตลอดระยะเวลาที่บวช กลับไม่เคยเห็นพระพุทธเจ้าแสดงฤทธิ์จึงบอก ลาสิกขา แต่ก็ไม่ได้ลาสิกขา)

          ก็เป็นดังที่โอรสเจ้าลิจฉวี ชื่อ สุนักขัตตะ กล่าวนั้นแล ภัคควะ ในวันก่อนๆ เขาได้เข้ามาหาเราถึงที่อยู่ ถวายอภิวาทแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ได้ทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญข้าพระองค์ ขอบอกคืนพระผู้มีพระภาค ข้าพระองค์จักไม่อยู่ อุทิศต่อพระผู้มีพระภาค เมื่อเขากล่าวอย่างนี้แล้ว เราจึงได้กล่าวว่า ดูกรสุนักขัตตะ เราได้กล่าวกะเธออย่างนี้ว่า มาเถิด สุนักขัตตะเธอจงอยู่อุทิศต่อเรา ดังนี้บ้าง หรือ หามิได้พระเจ้าข้า

          หรือว่า เธอได้กล่าวกะเราอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ จักอยู่อุทิศต่อ พระผู้มีพระภาค หามิได้พระเจ้าข้า

          ดูกรสุนักขัตตะ เพราะเหตุที่เรา ไม่ได้กล่าวกะเธอว่า มาเถิด สุนักขัตตะ เธอจงอยู่อุทิศต่อเรา ดังนี้ อนึ่งเธอก็ไม่ได้กล่าวกะเราว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์จักอยู่อุทิศต่อพระผู้มีพระภาค ดังนี้ ดูกรโมฆบุรุษ เมื่อเป็นเช่นนี้ เธอเมื่อ บอกคืน จะชื่อว่าบอกคืนใคร เธอจงเห็นว่า ข้อนี้เป็นความผิดของเธอ เท่านั้น

          [๒] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็พระผู้มีพระภาค มิได้ทรงกระทำ อิทธิปาฏิหาริย์ ที่เป็นธรรมยิ่งยวดของมนุษย์แก่ข้าพระองค์เลย

          ดูกรสุนักขัตตะ เราได้กล่าวกะเธออย่างนี้ว่า มาเถิดสุนักขัตตะ เธอจงอยู่ อุทิศต่อเรา เราจะกระทำอิทธิปาฏิหาริย์ ที่เป็นธรรมยิ่งยวดของมนุษย์แก่เธอ ดังนี้ บ้างหรือ หามิได้พระเจ้าข้า

      หรือว่า เธอได้กล่าวกะเราอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ จักอยู่อุทิศ ต่อ พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค จักทรงกระทำอิทธิปาฏิหาริย์ที่เป็น ธรรมยิ่งยวด ของมนุษย์แก่ข้าพระองค์ หามิได้ พระเจ้าข้า

          ดูกรสุนักขัตตะ เพราะเหตุที่เรามิได้กล่าวกะเธอว่า มาเถิด สุนักขัตตะ เธอจง อยู่อุทิศต่อเรา เราจักกระทำอิทธิปาฏิหาริย์ ที่เป็นธรรมยิ่งยวดของมนุษย์ แก่เธอดังนี้ อนึ่ง เธอก็มิได้กล่าวกะเราว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์จักอยู่อุทิศ ต่อ พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค จักทรงกระทำอิทธิปาฏิหาริย์ ที่เป็นธรรมยิ่งยวด ของมนุษย์แก่ข้าพระองค์ ดังนี้

          ดูกรโมฆบุรุษ เมื่อเป็นเช่นนี้ เธอเมื่อบอกคืน จะชื่อว่าบอกคืนใคร ดูกรสุนักขัตตะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน คือเมื่อเราได้กระทำอิทธิ ปาฏิหาริย์ ที่เป็นธรรมยิ่งยวด ของมนุษย์ หรือมิได้กระทำก็ดี ธรรมที่เราได้แสดงไว้ ย่อมนำ ผู้ประพฤติให้สิ้นทุกข์โดยชอบ [หรือหาไม่]

          ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อพระองค์ได้ทรงกระทำอิทธิปาฏิหาริย์ที่เป็น ธรรมยิ่งยวดของมนุษย์ หรือมิได้ทรงกระทำก็ดี ธรรมที่พระองค์ได้ทรงแสดงไว้ ย่อมนำผู้ประพฤติให้สิ้นทุกข์โดยชอบ พระเจ้าข้า

          ดูกรสุนักขัตตะ เพราะเหตุที่เมื่อเราได้กระทำอิทธิปาฏิหาริย์ที่เป็นธรรม ยิ่งยวดของมนุษย์ หรือมิได้กระทำก็ดี ธรรมที่เราได้แสดงไว้ย่อมนำผู้ประพฤติให้ สิ้นทุกข์โดยชอบ เช่นนี้ เธอจะปรารถนาการกระทำอิทธิปาฏิหาริย์ที่เป็นธรรม ยิ่งยวด ของมนุษย์ไปทำไม ดูกรโมฆบุรุษ เธอจงเห็นว่า ข้อนี้เป็นความผิดของเธอ เท่านั้น

          [๓] ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคมิได้ทรงบัญญัติสิ่งที่โลก สมมติว่าเลิศแก่ข้าพระองค์เลย

          ดูกรสุนักขัตตะ เราได้กล่าวกะเธออย่างนี้ว่า มาเถิดสุนักขัตตะ เธอจงอยู่อุทิศ ต่อเรา เราจักบัญญัติสิ่งที่โลกสมมติว่าเลิศแก่เธอ ดังนี้ บ้างหรือ หามิได้พระเจ้าข้า

     หรือว่า เธอได้กล่าวกะเราอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ จักอยู่อุทิศ ต่อ พระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค จักทรงบัญญัติสิ่งที่โลกสมมติว่าเลิศ แก่ข้าพระองค์ หามิได้ พระเจ้าข้า

          ดูกรสุนักขัตตะ เพราะเหตุที่เรามิได้กล่าวกะเธอว่า มาเถิด สุนักขัตตะ เธอจงอยู่อุทิศต่อเรา เราจักบัญญัติ สิ่งที่โลกสมมติว่าเลิศแก่เธอ ดังนี้ อนึ่งเธอ ก็มิได้กล่าวกะเราว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์จักอยู่อุทิศต่อพระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาค จักทรงบัญญัติ สิ่งที่โลกสมมติว่าเลิศแก่ข้าพระองค์ ดังนี้

           ดูกรโมฆบุรุษ เมื่อเป็นเช่นนี้ เธอเมื่อบอกคืน จะชื่อว่าบอกคืนใคร ดูกรสุนักขัตตะ เธอจะเข้าใจความข้อนั้นเป็นไฉน คือเมื่อเราได้บัญญัติสิ่งที่โลกสมมติ ว่าเลิศ หรือ มิได้บัญญัติก็ดี ธรรมที่เราได้แสดงไว้ ย่อมนำผู้ประพฤติให้สิ้นทุกข์ โดยชอบ [หรือหาไม่]

          ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อพระองค์ได้บัญญัติสิ่งที่โลกสมมติว่าเลิศ หรือ มิได้บัญญัติก็ดีธรรมที่พระองค์ได้แสดงไว้ ย่อมนำผู้ประพฤติให้สิ้นทุกข์โดยชอบ

          ดูกรสุนักขัตตะ เพราะเหตุที่เมื่อเราได้บัญญัติ สิ่งที่โลกสมมติว่าเลิศ หรือ มิได้บัญญัติก็ดี ธรรมที่เราได้แสดงไว้ ย่อมนำผู้ประพฤติให้สิ้นทุกข์โดยชอบ เช่นนี้ เธอจะปรารถนาการบัญญัติสิ่งที่ โลกสมมติว่าเลิศไปทำไม

          ดูกรโมฆบุรุษ เธอจงเห็นว่า ข้อนี้ เป็นความผิดของเธอเท่านั้น สุนักขัตตะ เธอได้สรรเสริญเราที่วัชชีคามโดยปริยายมิใช่น้อยว่า แม้เพราะเหตุนี้ๆ พระผู้มีพระภาค พระองค์นั้น เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชา และจรณะ เสด็จไป ดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของ เทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกพระธรรม ดังนี้

          เธอได้ สรรเสริญพระธรรมที่วัชชีคาม โดยปริยายมิใช่น้อยว่า พระธรรม อันพระผู้มีพระภาคตรัสดีแล้ว อันผู้บรรลุพึงเห็นเอง ไม่ประกอบด้วยกาล ควรเรียก ให้มาดู ควรน้อมเข้าไปในตน อันวิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน ดังนี้ และเธอได้สรรเสริญ พระสงฆ์ ที่วัชชีคาม โดยปริยายมิใช่น้อยว่า พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาค เป็นผู้ปฏิบัติดีแล้ว ปฏิบัติตรง ปฏิบัติเป็นธรรม ปฏิบัติชอบ คือคู่บุรุษ ๔ บุรุษบุคคล๘ นั่นคือพระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาค เป็นผู้ควรรับของบูชา เป็นผู้ควรรับ ของต้อนรับ เป็นผู้ควรรับของทำบุญ เป็นผู้ควรทำอัญชลี เป็นบุญญเขตของ ชาวโลกไม่มีเขตอื่นยิ่งกว่า ดังนี้

          สุนักขัตตะ เราขอบอกเธอ เราขอเตือนเธอว่า จักมีผู้กล่าวติเตียนเธอว่า โอรสเจ้าลิจฉวี ชื่อสุนักขัตตะ ไม่สามารถประพฤติพรหมจรรย์ในพระสมณโคดม บอกคืน สิกขา เวียนมาเพื่อความเป็นคนเลว ดังนี้ ดูกรภัคควะ โอรสเจ้าลิจฉวีชื่อ สุนักขัตตะ ถึงแม้ถูกเรากล่าวอยู่อย่างนี้ ก็ได้หนีไปจากธรรมวินัยนี้ เหมือนสัตว์อบาย เหมือน สัตว์นรกฉะนั้น
-----------------------------------------------------------------------------------------------------

พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๑ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๕

เรื่องนักบวชชีเปลือย ชื่ออเจลก

(1)
อเจลก (ชีเปลือย) ชื่อ โกรักขัตติยะ (สุนักขัตตะ เข้าใจผิดคิดว่าเป็นอรหันต์)
โกรักขัตติยะ เดินด้วยข้อศอกและเข่ากินอาหาร ที่กองบนพื้น แบบสุนัข
ต่อมาตายด้วยโรค โรคอลสกะ ได้ไปเกิดในเหล่าอสูร ชื่อกาลกัญชิกา ซึ่งเลวกว่าอสุรกายทั้งปว

          [๔] ดูกรภัคควะ สมัยหนึ่ง เราอยู่ที่นิคมแห่งชาวถูลู ชื่ออุตตรกาในถูลู ชนบท ครั้งนั้นเป็นเวลาเช้า เรานุ่งแล้วถือบาตรและจีวร มีโอรสเจ้าลิจฉวีชื่อสุนัก ขัตตะเป็น ปัจฉาสมณะ เข้าไปบิณฑบาตที่อุตตรกานิคม สมัยนั้น มี อเจลก คน หนึ่งชื่อ โกรักขัตติยะ ประพฤติอย่างสุนัข เดินด้วยข้อศอกและเข่า กินอาหาร ที่กองบนพื้นด้วยปาก

          ดูกรภัคควะ โอรสเจ้าลิจฉวีชื่อสุนักขัตตะ ได้เห็นแล้วจึงคิดว่าเขาเป็นสมณะ อรหันต์ที่ดีผู้หนึ่ง ครั้งนั้น เราได้ทราบความคิดในใจของโอรสเจ้าลิจฉวี ชื่อสุนักขัตตะ ด้วยใจแล้ว จึงกล่าวกะเขาว่า ดูกรโมฆบุรุษ แม้คนเช่นเธอก็ยังจักปฏิญาณ ตนว่า เป็นศากยบุตรอยู่หรือ ฯ

          ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ไฉนพระผู้มีพระภาคจึงตรัสกะข้าพระองค์อย่างนี้ว่า ดูกรโมฆบุรุษ แม้คนเช่นเธอ ก็ยังจักปฏิญาณตนว่าเป็นศากยบุตรอยู่หรือ

          ดูกรสุนักขัตตะ เธอได้เห็น โกรักขัตติย อเจลก คนนี้ ซึ่งประพฤติอย่างสุนัข เดินด้วยข้อศอกและเข่า กินอาหารที่กองบนพื้นด้วยปาก แล้วเธอจึงได้คิดต่อไปว่า เขาเป็นสมณะอรหันต์ที่ดีผู้หนึ่งมิใช่หรือ

          ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็เมื่อเป็นเช่นนี้ พระผู้มีพระภาคยังทรงหวง พระอรหันต์ อยู่หรือ

          ดูกรโมฆบุรุษ เรามิได้หวงพระอรหันต์ แต่ว่าเธอได้เกิดทิฐิลามกขึ้น เธอจงละ มันเสีย ทิฐิลามกนั้นอย่าได้มีแก่เธอ เพื่อไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล และเพื่อทุกข์ ตลอดกาล นานอนึ่ง เธอย่อมเข้าใจ โกรักขัตติย อเจลก ว่าป็นสมณะ อรหันต์ที่ดี ผู้หนึ่ง อีก ๗ วัน เขาจักตายด้วย โรคอลสกะ (กินอาหารมากเกินไปจนกระพาะไม่ย่อย)

          ครั้นแล้ว จักบังเกิดในเหล่าอสูร ชื่อกาลกัญชิกา ซึ่งเลวกว่าอสุรกายทั้งปวง และจักถูกเขานำไปทิ้ง ที่ป่าช้าชื่อวีรณัตถัมภกะ และเมื่อเธอประสงค์อยู่ พึงเข้าไปถาม โกรักขัตติย อเจลก ว่า

          ดูกรโกรักขัตติยะ ผู้มีอายุ ท่านย่อมทราบคติของตนหรือ ข้อที่โกรักขัตติย อเจลกพึงตอบเธอว่า ดูกรสุนักขัตตะผู้มีอายุ ข้าพเจ้าทราบคติของตนอยู่ คือ ข้าพเจ้าไปเกิดในเหล่าอสูร ชื่อกาลกัญชิกา ซึ่งเลวกว่าอสุรกายทั้งปวง ดังนี้ เป็น ฐานะที่มีได้ครั้งนั้น โอรสเจ้าลิจฉวีชื่อสุนักขัตตะ ได้เข้าไปหาโกรักขัตติยอเจลก แล้วจึงบอกว่า

          ดูกรโกรักขัตติยะ ผู้มีอายุ ท่านถูกพระสมณโคดม ทรงพยากรณ์ว่า อีกวัน โกรักขัตติยอเจลกจัก ตายด้วยโรคอลสกะ แล้วจักบังเกิดในเหล่าอสูร ชื่อกาลกัญชิกา ซึ่งเลวกว่าอสุรกายทั้งปวง และจักถูกเขานำไปทิ้งที่ป่าช้าชื่อ วีรณัตถัมภกะ ฉะนั้น ท่านจงกินอาหารและดื่มน้ำแต่พอสมควร จงให้คำพูดของ พระสมณโคดมเป็นผิด ครั้งนั้น โอรสเจ้าลิจฉวีชื่อสุนักขัตตะ ได้นับวันตั้งแต่วันที่ ๑ ที่ ๒ ตลอดไปจนครบ ๗ วัน เพราะเขาไม่เชื่อต่อพระตถาคต

          ครั้งนั้น โกรักขัตติยอเจลก ได้ตายด้วยโรค อลสกะ ในวันที่ ๗ แล้วได้ไป บังเกิดใน เหล่าอสูรชื่อ กาลกัญชิกา ซึ่งเลวกว่าอสุรกายทั้งปวง และถูกเขานำไป ทิ้งไว้ที่ป่าช้า ชื่อวีรณัตถัมภกะ โอรสเจ้าลิจฉวีชื่อสุนักขัตตะ ได้ทราบข่าวว่า โกรักขัตติย อเจลก ได้ตายด้วย โรคอลสกะ ได้ถูกเขานำไปทิ้งไว้ ที่ป่าช้าชื่อ วีรณัตถัมภกะ

          ครั้นแล้ว จึงเข้าไปหาศพโกรักขัตติยอเจลก ที่ป่าช้าชื่อวีรณัตถัมภกะ แล้วจึงเอามือตบซากศพเขาถึง ๓ ครั้ง แล้วถามว่า ดูกรโกรักขัตติยะ ท่านทราบคติ ของตนหรือ ครั้งนั้น ซากศพโกรักขัตติยอเจลกได้ลุกขึ้นยืน พลางเอามือลูบหลัง ตนเอง ตอบว่า

          ดูกรสุนักขัตตะ ผู้มีอายุ ข้าพเจ้าทราบคติของตนอยู่ คือข้าพเจ้าไปบังเกิดใน เหล่าอสูร ชื่อกาลกัญชิกา ซึ่งเลวกว่าอสุรกายทั้งปวง ดังนี้ แล้วล้มลงนอนหงายอยู่ ณ ที่นั้นเอง

           ดูกรภัคควะ ครั้งนั้นโอรสเจ้าลิจฉวีชื่อสุนักขัตตะได้เข้ามาหาเราถึงที่อยู่ ถวายอภิวาท แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง เราได้กล่าวกะเขาผู้นั่งเรียบร้อยแล้วว่า สุนักขัตตะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน วิบากนั้นได้มีแล้ว เหมือนดังที่เราได้ พยากรณ์ โกรักขัตติยอเจลก ไว้แก่เธอมิใช่โดยประการอื่น ฯ

          ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ วิบากนั้นได้มีแล้ว เหมือนดังที่พระผู้มีพระภาค ได้ทรงพยากรณ์ โกรักขัตติยอเจลก ไว้แก่ข้าพระองค์ มิใช่โดยประการอื่น

          ดูกรสุนักขัตตะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เมื่อเป็นเช่นนี้ อิทธิปาฏิหาริย์ ที่เป็นธรรมยอดเยี่ยมของมนุษย์ ชื่อว่าเป็นคุณอันเราได้แสดงไว้แล้ว หรือไม่ได้แสดงไว้

          ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เป็นอันทรงแสดงไว้แล้ว แน่นอน มิใช่ไม่ได้ทรง แสดงไว้

          ดูกรโมฆบุรุษ แม้เมื่อเป็นเช่นนี้ เธอยังจะกล่าวกะเรา ผู้แสดงอิทธิปาฏิหาริย์ ที่เป็นธรรมยอดเยี่ยมของมนุษย์ อย่างนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาค มิได้ทรงแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ ที่เป็นธรรมยอดเยี่ยมของมนุษย์ แก่ข้าพระองค์ดังนี้

          ดูกรโมฆบุรุษ เธอจงเห็นว่า ข้อนี้ เป็นความผิดของเธอเท่านั้น ดูกรภัคควะ โอรสเจ้าลิจฉวี ชื่อว่าสุนักขัตตะ ถูกเรากล่าวอยู่อย่างนี้ ได้หนีไปจากพระธรรมวินัยนี้ เหมือนสัตว์ผู้ควรเกิดในอบาย เหมือนสัตว์ผู้ควรเกิดในนรก ฉะนั้น

-----------------------------------------------------------------------------------------------------

(2)

พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๑ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๖


เรื่องนักบวชชีเปลือย ชื่อ กฬารมัชฌกะ

อเจลก ชื่อ กฬารมัชฌกะ (โกรักขัตติยะ เข้าใจผิดคิดว่าเป็นอรหันต์)
ชีเปลือย กฬารมัชฌกะ ถูกโกรักขัตติยะ ถามปัญหาแล้วตอบไม่ได้จึงเกิดโทสะ ต่อมา กฬารมัชฌกะ กลับมานุ่งผ้า มีภรรยา ล่วงเกินเจดีย์ที่มีอยู่ในเมืองเวสาลีทั้งหมด กลายเป็น คนเสื่อมยศ แล้วตายไป

          [๕] ดูกรภัคควะ สมัยหนึ่ง เราอยู่ที่กูฏาคารศาลา ในป่ามหาวัน เขตเมือง เวสาลี สมัยนั้น อเจลก คนหนึ่งชื่อ กฬารมัชฌกะอาศัยอยู่ที่วัชชีคาม เขตเมือง เวสาลี เป็นผู้เลิศด้วยลาภและยศ เขาได้ยึดถือสมาทานข้อวัตรทั้ง ๗ คือ:
๑. เราพึงเปลือยกาย ไม่นุ่งห่มผ้าตลอดชีวิต ฯ
๒. เราพึงประพฤติพรหมจรรย์ไม่เสพเมถุนธรรมตลอดชีวิต ฯ
๓. เราพึงเลี้ยงชีวิตด้วยการดื่มสุราและกินเนื้อสัตว์ ไม่กินข้าวและขนม ตลอดชีวิต ฯ
๔. เราพึงไม่ล่วงเกินอุเทนเจดีย์ ซึ่งอยู่ทิศบูรพาแห่งเมืองเวสาลี ฯ
๕. เราพึงไม่ล่วงเกินโคตมเจดีย์ ซึ่งอยู่ทิศทักษิณแห่งเมืองเวสาลี ฯ
๖. เราพึงไม่ล่วงเกินสัตตัมพเจดีย์ ซึ่งอยู่ที่ทิศประจิมแห่งเมืองเวสาลี ฯ
๗. เราพึงไม่ล่วงเกินพหุปุตตกเจดีย์ ซึ่งอยู่ทิศอุดรแห่งเมืองเวสาลี ฯ

          เพราะการสมาทานข้อวัตรทั้ง ๗ นี้ เขาจึงเป็นผู้เลิศด้วยลาภและยศ อยู่ที่ วัชชีคาม ครั้งนั้นโอรสเจ้าลิจฉวี ชื่อสุนักขัตตะได้เข้าไปหาอเจลก ชื่อกฬารมัชฌกะ แล้วถามปัญหากะเขา เขาไม่สามารถแก้ปัญหาของโอรสเจ้าลิจฉวี ชื่อสุนักขัตตะ ให้ถูกต้องได้ จึงแสดงความโกรธ โทสะและความโทมนัสให้ปรากฏ

          ครั้งนั้นโอรสเจ้าลิจฉวี ชื่อสุนักขัตตะ ได้คิดว่า ตนได้รุกรานสมณะผู้เป็น พระอรหันต์ที่ดี ข้อนั้นอย่าได้มีแก่เราเพื่อไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล และเพื่อทุกข์ สิ้นกาลนานครั้งนั้น โอรสเจ้าลิจฉวีชื่อสุนักขัตตะ ได้เข้ามาหาเราถวายอภิวาทแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งเรา ได้กล่าวกะเขาผู้นั่งเรียบร้อยแล้วว่า ดูกรโมฆบุรุษ แม้คน เช่นเธอ ก็ยังจักปฏิญาณตนเป็นศากยบุตรอยู่หรือ

          ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ไฉนพระผู้มีพระภาค จึงตรัสกะข้าพระองค์อย่างนี้ว่า ดูกรโมฆบุรุษ แม้คนเช่นเธอ ก็ยังจักปฏิญาณตนเป็นศากยบุตรอยู่หรือ

          ดูกรสุนักขัตตะ เธอได้เข้าไปหาอเจลก ชื่อกฬารมัชฌกะ แล้วถามปัญหา กะเขา เขาไม่สามารถแก้ปัญหาของเธอให้ถูกต้องได้ จึงได้แสดงความโกรธ โทสะ และความโทมนัส ให้ปรากฏเธอจึงได้คิดว่า ตนได้รุกรานสมณะผู้เป็นพระอรหันต์ ที่ดี ข้อนั้นอย่าได้มีแก่เราเพื่อไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล และเพื่อทุกข์สิ้นกาลนาน ดังนี้ มิใช่หรือ

          ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็เมื่อเป็นเช่นนี้ พระผู้มีพระภาค ก็ยังทรงหวงพระอรหัต อยู่หรือ

          ดูกรโมฆบุรุษ เรามิได้หวงพระอรหัต แต่ว่าเธอได้เกิดทิฐิลามก เธอจง ละ มันเสียทิฐิอันลามกนี้ อย่าได้เกิดแก่เธอ เพื่อไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูล และเพื่อทุกข์ สิ้นกาลนาน อนึ่งเธอย่อมเข้าใจอเจลก ชื่อ กฬารมัชฌกะ ว่าเป็นสมณะผู้เป็น พระอรหันต์ ที่ดีผู้หนึ่ง ต่อไปไม่นานเขาจักกลับนุ่งห่มผ้า มีภรรยา กินข้าวและขนม ล่วงเกินเจดีย์ที่มีอยู่ในเมืองเวสาลีทั้งหมด กลายเป็นคนเสื่อมยศ แล้วตายไป

          ดูกรภัคควะ ต่อมาไม่นาน อเจลก ชื่อ กฬารมัชฌกะ ก็กลับนุ่งห่มผ้า มีภรรยา กินข้าวและขนม ล่วงเกินเจดีย์ที่มีอยู่ในเมืองเวสาลีทั้งหมด กลายเป็นคนเสื่อมยศ แล้วตายไป โอรสเจ้าลิจฉวี ชื่อสุนักขัตตะได้ทราบข่าวว่า อเจลกชื่อกฬารมัชฌกะ กลับนุ่งห่มผ้า มีภรรยากินข้าวและขนม ล่วงเกินเจดีย์ที่มีอยู่ในเมืองเวสาลีทั้งหมด กลายเป็นคนเสื่อมยศ แล้วตายไปจึงได้เข้ามาหาเรา ถวายอภิวาทแล้วนั่ง ณ ที่ควร ส่วนข้างหนึ่ง เราจึงกล่าวกะเขาผู้นั่งเรียบร้อยแล้วว่า

          สุนักขัตตะ เธอ จะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน วิบากนั้น ได้มีแล้วเหมือน ดังที่เราได้พยากรณ์ อเจลก ชื่อกฬารมัชฌกะไว้แก่เธอ มิใช่โดยประการอื่น ฯ

          ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ วิบากนั้นได้มีแล้ว เหมือนดังที่พระผู้มีพระภาค ได้ทรงพยากรณ์ อเจลกชื่อกฬารมัชฌกะ ไว้แก่ข้าพระองค์ มิใช่โดยประการอื่น ฯ

          ดูกรสุนักขัตตะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เมื่อเป็นเช่นนี้ อิทธิปาฏิหาริย์ ที่เป็นธรรมยอดเยี่ยมของมนุษย์ ชื่อว่าเป็นคุณอันเราได้แสดงไว้แล้ว หรือมิใช่ ฯ

          ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เป็นอันทรงแสดงแล้วแน่นอน มิใช่ไม่ทรง แสดง ฯ

          ดูกรโมฆบุรุษ แม้เมื่อเป็นเช่นนี้ เธอยังจะกล่าวกะเรา ผู้แสดงอิทธิปาฏิหาริย์ ที่เป็น ธรรมยอดเยี่ยมของมนุษย์อย่างนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาค มิได้ทรง แสดงอิทธิปาฏิหาริย์ ที่เป็นธรรมยอดเยี่ยมของมนุษย์แก่ข้าพระองค์ ดังนี้

          ดูกรโมฆบุรุษ เธอจงเห็นว่า ข้อนี้เป็นความผิดของเธอเท่านั้น ดูกรภัคควะ โอรสเจ้าลิจฉวี ชื่อสุนักขัตตะ ถูกเรากล่าวอยู่อย่างนี้ ได้หนีไปจากพระธรรมวินัยนี้ เหมือนสัตว์ผู้ควรเกิดในอบาย เหมือนสัตว์ผู้ควรเกิดในนรก ฉะนั้น

-----------------------------------------------------------------------------------------------------

(3)
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๑ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๘

เรื่องนักบวชชีเปลือย ชื่อ ปาฏิกบุตร

อเจลก ชื่อ ปาฏิกบุตร (โกรักขัตติยะ เข้าใจผิดคิดว่าเป็นอรหันต์)
อเจลกปาฏิกบุตร ท้าทายพระพุทธเจ้าว่า หากเจอกันแล้ว ก็จะทำปาฏิหาริย์ให้มากกว่าเป็น สองเท่า ครั้นพวกพราหมณ์มหาศาล และพวกเจ้าลิจฉวี พากันมามากมาย กลับซบ ศีรษะ อยู่ในที่นั้น และไม่อาจลุกขึ้นจากอาสนะได้ เพราะตะโพกติดกับที่นั่ง อเจลกชื่อปาฏิกบุตรนี้ เป็นผู้แพ้แล้ว เพราะเขาไม่ละวาจา จิต และสละคืนทิฐิเช่นนั้น จึงไม่สามารถที่จะมาพบเห็น เราได้

          [๖] ดูกรภัคควะ สมัยหนึ่ง เราอยู่ที่กูฏาคารศาลาในป่ามหาวัน เขตเมือง เวสาลีนั้นเอง สมัยนั้น อเจลก ชื่อ ปาฏิกบุตร อาศัยอยู่ที่วัชชีคาม เขตเมืองเวสาลี เป็นผู้เลิศด้วยลาภและยศ เขากล่าววาจาในบริษัท ที่เมืองเวสาลีอย่างนี้ว่า แม้ พระ สมณโคดมก็เป็นญาณวาท แม้เราก็เป็นญาณวาท ก็ผู้ที่เป็นญาณวาท ย่อมควรแสดง อิทธิปาฏิหาริย์ ที่เป็นธรรมยอดเยี่ยมของมนุษย์กับผู้ที่เป็นญาณวาท พระสมณโคดม พึงเสด็จไปกึ่งหนทาง

    แม้เราก็พึงไปกึ่งหนทาง ในที่พบกันนั้น แม้เรา ทั้ง ๒ พึงกระทำอิทธิปาฏิหาริย์ ที่เป็นธรรมยอดเยี่ยมของมนุษย์
    ถ้าพระสมณโคดมจักทรงกระทำอิทธิปาฏิหาริย์ ที่เป็นธรรมยอดเยี่ยมของมนุษย์ ๑ อย่าง เราจักกระทำ ๒ อย่าง
   ถ้าพระสมณโคดม จักทรงกระทำ ๒ อย่าง เราจักกระทำ ๔ อย่าง
   ถ้าสมณโคดมจักทรงกระทำ๔ อย่าง เราจักกระทำ ๘ อย่าง
   พระสมณโคดมจักทรงกระทำเท่าใดๆ เราก็จักกระทำให้มากกว่านั้นเป็นทวีคูณๆ

           โอรสเจ้าลิจฉวีชื่อ สุนักขัตตะทราบข่าวนั้น จึงเข้ามาหาเราถวาย อภิวาท แล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้วจึงกล่าวกะเราว่า

          ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อเจลกชื่อปาฏิกบุตร อาศัยอยู่ที่วัชชีคามเขตเมือง เวสาลี เป็นผู้เลิศด้วยลาภและยศ เขากล่าววาจาในบริษัทที่เมืองเวสาลีอย่างนี้ว่า แม้พระสมณโคดมก็เป็นญาณวาท แม้เราก็เป็นญาณวาท ก็ผู้ที่เป็นญาณวาท ย่อมควร แสดงอิทธิปาฏิหาริย์ ที่เป็นธรรมยอดเยี่ยมของมนุษย์ กับผู้ที่เป็นญาณวาท พระสมณโคดม พึงเสด็จไปกึ่ง หนทาง แม้เราก็พึงไปกึ่งหนทาง ในที่พบกันนั้น

          แม้เราทั้ง ๒ พึงกระทำอิทธิปาฏิหาริย์ ที่เป็นธรรมยอดเยี่ยมของมนุษย์ ถ้าพระสมณโคดม จักทรงกระทำอิทธิปาฏิหาริย์ ที่เป็นธรรมยอดเยี่ยมของ มนุษย์ ๑ อย่าง เราจักกระทำ ๒ อย่าง ถ้าพระสมณโคดมจักทรงทำ ๒ อย่าง เราจักกระทำ ๔ อย่าง ถ้าพระสมณโคดมจักกระทำ ๔ อย่าง เราจักกระทำ ๘ อย่างพระสมณโคดม จักทรงกระทำเท่าใดๆ เราจักกระทำให้มากกว่านั้นเป็นทวีคูณๆ

          เมื่อโอรสเจ้าลิจฉวีชื่อสุนักขัตตะ กล่าวอย่างนี้ เราได้กล่าวกะเขาว่า สุนักขัตตะ อเจลก ชื่อปาฏิกบุตร เมื่อไม่ละวาจาจิต และสละคืนทิฐิเช่นนั้น ก็ไม่สามารถที่จะมาพบเห็นเราได้

          แม้ถ้าเขาพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่าเราไม่ละวาจา จิต และสละคืนทิฐิเช่นนั้น ก็พึงไปพบเห็นพระสมณโคดมได้ ดังนี้ แม้ศีรษะเขาจะพึงแตกออก ฯ

          ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงรักษาพระวาจานั้น ขอพระสุคต จงทรงรักษาพระวาจานั้น

          ดูกรสุนักขัตตะ ก็ไฉนเธอจึงกล่าวกะเราอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาค จงทรงรักษาพระวาจานั้น ขอพระสุคต จงทรงรักษาพระวาจานั้น

          ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เพราะพระผู้มีพระภาค ตรัสวาจาโดยแน่นอนว่า อเจลก ชื่อปาฏิกบุตรเมื่อไม่ละวาจา จิต และสละคืนทิฐิเช่นนั้น ก็ไม่สามารถจะมาพบเห็น เราได้ แม้ถ้าเขาพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า เราไม่ละวาจา จิต และสละคืน ทิฐิเช่นนั้น ก็พึงไปพบเห็นพระสมณโคดมได้ดังนี้ แม้ศีรษะเขาจะพึงแตกออก ดังนี้

           ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็อเจลกชื่อปาฏิกบุตร อาจแปลงรูปมาพบเห็นพระผู้มี พระภาคก็ได้ ในคราวนั้น พระดำรัสของพระผู้มีพระภาคก็พึงเป็นมุสา

          ดูกรสุนักขัตตะ ตถาคตเคยกล่าววาจาที่เป็น ๒ ไว้บ้างหรือ(พระศาสดา จะกล่าวครั้งเดียวถือเป็นสัจจะถูกต้อง จะไม่กล่าวครั้งที่ ๒)

          ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็พระผู้มีพระภาค ทรงทราบ อเจลก ชื่อ ปาฏิกบุตร โดยแจ้งชัดด้วยพระหฤทัยว่า เขาเมื่อไม่ละวาจา จิต และสละคืนทิฐิเช่นนั้น ก็ไม่สามารถที่จะมาพบเห็นเราได้ แม้ถ้าเขาพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า เราไม่ละวาจา จิต และสละคืนทิฐิเช่นนั้นก็พึงไปพบเห็นพระสมณโคดมได้ ดังนี้ แม้ศีรษะเขาจะพึง แตกออก หรือเทวดา มาทูลความนั้นแด่พระผู้มีพระภาคว่า เขาเมื่อไม่ละวาจา จิต และสละคืนทิฐิเช่นนั้น ก็ไม่สามารถที่จะมาพบเห็นพระองค์ได้ แม้ถ้าเขาพึงคิดเห็น อย่างนี้ว่า เราไม่ละวาจา จิต และสละคืนทิฐิเช่นนั้นก็พึงไปพบเห็น พระสมณโคดมได้ ดังนี้ แม้ศีรษะเขาจะพึงแตกออก ฯ

          ดูกรสุนักขัตตะ เราทราบอเจลก ชื่อปาฏิกบุตร โดยแจ้งชัดด้วยใจของเรา ว่า เขาไม่ละวาจา จิต และสละคืนทิฐิเช่นนั้น จึงไม่สามารถที่จะมาพบเห็นเราได้ แม้ ถ้าเขาพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า เราไม่ละวาจา จิต และสละคืนทิฐิเช่นนั้น ก็พึงไปพบเห็น สมณโคดมได้ดังนี้ แม้ศีรษะเขาจะพึงแตกออก

          แม้เทวดา ก็ได้บอกความ นั้นแก่เรา ว่าเขาเมื่อไม่ละวาจา จิตและสละคืน ทิฐิ เช่นนั้น ก็ไม่สามารถจะมา พบเห็นพระองค์ได้ ถ้าแม้เขาพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า เราไม่ละ วาจา จิต และสละคืน ทิฐิเช่นนั้น ก็พึงไปพบเห็นสมณโคดมได้ ดังนี้ แม้ศีรษะเขาจะ พึงแตกออก

          แม้เสนาบดี แห่งเจ้าลิจฉวี ชื่ออชิตะ ซึ่งได้ตายไปแล้วเมื่อเร็วๆ นี้ ได้เข้าถึง พวกเทวดาชั้นดาวดึงส์ ก็ได้เข้ามาบอกเรา อย่างนี้ว่า อเจลกชื่อ ปาฏิกบุตร เป็นคน ไม่ละอาย ชอบกล่าวมุสา ทั้งได้พยากรณ์ข้าพระองค์ว่า เสนาบดี แห่งเจ้าลิจฉวี ชื่อ อชิตะ ในวัชชีคามเข้าถึงมหานรก แต่ข้าพระองค์มิได้เข้าถึงมหานรก ได้เข้า ถึงพวก เทวดาชั้นดาวดึงส์ เขาไม่ละอายชอบกล่าวมุสา เขาเมื่อไม่ละวาจา จิต และสละคืน ทิฐิเช่นนั้น ก็ไม่สามารถจะมาพบเห็นพระองค์ได้

          แม้ถ้าเขาพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า เราไม่ละวาจา จิต และสละคืนทิฐิเช่นนั้น ก็พึงไปพบเห็นพระสมณโคดมได้ ดังนี้ แม้ศีรษะเขาจะพึงแตกออก แม้เพราะเหตุนี้แล สุนักขัตต ะเราทราบ อเจลกชื่อปาฏิกบุตร โดยแจ้งชัดด้วยใจของเราว่า เขาไม่ละวาจา จิต สละคืนทิฐิเช่นนั้น ไม่ควรมาพบเห็นเรา แม้ถ้าเขาพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า เราไม่ละ วาจา จิต และ สละคืนทิฐิเช่นนั้น ก็พึงไปพบเห็นพระสมณโคดมได้ ดังนี้ ศีรษะเขาจะพึงแตกออก

          แม้เทวดาก็บอกความนี้แก่เราว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อเจลกชื่อ ปาฏิกบุตร ไม่ละวาจา จิต และสละคืนทิฐิเช่นนั้น ไม่ควรมาพบเห็นพระผู้มี พระภาค ถ้าแม้เขา พึงมี ความคิดเห็นอย่างนี้ว่าเราไม่ละวาจา จิต และสละคืนทิฐิ เช่นนั้น พึงไปพบเห็น สมณโคดมได้ ดังนี้ แม้ศีรษะของเขาจะพึงแตกออก

          ดูกรสุนักขัตตะ เรานี้แล เที่ยวไปบิณฑบาตที่เมืองเวสาลี กลับจากบิณฑบาต ในเวลาปัจฉาภัต แล้วเข้าไปยังอารามของ อเจลก ชื่อปาฏิกบุตร เพื่อพักผ่อนกลางวัน บัดนี้ ถ้าเธอปรารถนาก็จงไปบอกเขาเถิด

          [๗] ดูกรภัคควะ ครั้งนั้นเป็นเวลาเช้า เรานุ่งแล้ว ถือบาตรและจีวร เข้าไป บิณฑบาตที่เมืองเวสาลี กลับจากบิณฑบาตในเวลาปัจฉาภัต แล้วเข้าไปยังอาราม ของอเจลก ชื่อปาฏิกบุตร เพื่อพักผ่อนกลางวัน ครั้งนั้น โอรสเจ้าลิจฉวี ชื่อสุนักขัตตะ รีบเข้าไปเมืองเวสาลี แล้วเข้าไปหาพวกเจ้าลิจฉวี ที่มีชื่อเสียงบอกว่า ท่านผู้เจริญ พระผู้มีพระภาค เสด็จเข้าไปบิณฑบาตที่เมืองเวสาลี กลับจากบิณฑบาต ในเวลา ปัจฉาภัต แล้วเสด็จเข้าไปยังอารามของอเจลก ชื่อปาฏิกบุตรเพื่อทรงพักผ่อน กลางวัน ขอพวกท่านจงรีบออกไป จักมีการแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ที่เป็นธรรมยอดเยี่ยมของมนุษย์ ของพวกสมณะที่ดี

          ครั้งนั้น พวกเจ้าลิจฉวี ผู้มีชื่อเสียงได้คิดกันว่า ท่านผู้เจริญทราบข่าวว่า จักมีการแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ ที่เป็นธรรมยอดเยี่ยมของมนุษย์ ของพวกสมณะที่ดี ฉะนั้น เชิญพวกเราไปกันและโอรสเจ้าลิจฉวี ชื่อสุนักขัตตะ เข้าไปหาพวก พราหมณ์ มหาศาล คฤหบดีผู้มั่งคั่ง เหล่าเดียรถีย์ต่างๆ และสมณพราหมณ์ผู้มีชื่อเสียง แล้วบอกว่าท่านผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคเสด็จเข้าไปบิณฑบาตที่เมืองเวสาลี กลับจาก บิณฑบาต ในเวลาปัจฉาภัตแล้ว เสด็จเข้าไปยังอารามของอเจลก ชื่อปาฏิกบุตร เพื่อทรงพักผ่อนกลางวัน ขอพวกท่านจงรีบออกไป จักมีการแสดง อิทธิปาฏิหาริย์ที่ เป็นธรรมยอดเยี่ยมของมนุษย์ ของพวกสมณะที่ดี

          ครั้งนั้น พวกพราหมณ์มหาศาล คฤหบดีผู้มั่งคั่ง เหล่าเดียรถีย์ต่างๆ และสมณพราหมณ์ผู้มีชื่อเสียง ได้คิดกันว่าท่านผู้เจริญ ทราบข่าวว่า จักมีการแสดง อิทธิปาฏิหาริย์ ที่เป็นธรรมยอดเยี่ยม ของพวกสมณะที่ดี ฉะนั้น เชิญพวกเราไปกัน

          ครั้งนั้น พวกเจ้าลิจฉวีผู้มีชื่อเสียง และพราหมณ์มหาศาล คฤหบดีผู้มั่งคั่ง เหล่าเดียรถีย์ต่างๆ และสมณพราหมณ์ผู้มีชื่อเสียง ได้เข้าไปยังอารามของอเจลก ชื่อปาฏิกบุตร ดูกรภัคควะ บริษัทนั้นๆ มีหลายร้อย หลายพันคน

          อเจลกชื่อ ปาฏิกบุตรได้ทราบข่าวว่า บรรดาเจ้าลิจฉวีผู้มีชื่อเสียงและ พราหมณ์มหาศาล คฤหบดีผู้มั่งคั่ง เหล่าเดียรถีย์ต่างๆ และสมณพราหมณ์ผู้มี ชื่อเสียง ได้พากันออกมาแล้ว แม้พระสมณโคดม ก็ทรงนั่งพักผ่อนกลางวันที่อารามของเรา ครั้นแล้ว จึงเกิดความกลัว ความหวาดเสียว ขนพองสยองเกล้า ครั้งนั้นอเจลก ชื่อ ปาฏิกบุตร เมื่อกลัว หวาดเสียว ขนพองสยองเกล้า จึงเข้าไปยังอารามของปริพาชก ชื่อติณฑุกขานุ บริษัทนั้นได้ทราบข่าวว่า อเจลกชื่อปาฏิกบุตรกลัวหวาดเสียว ขนพอง สยองเกล้า เข้าไปยังอารามของ ปริพาชก ชื่อ ติณฑุกขานุ

          ครั้งนั้น บริษัทนั้นได้เรียกบุรุษคนหนึ่งมาสั่งว่า บุรุษผู้เจริญ ท่านจงไปหา อเจลก ชื่อปาฏิกบุตร ที่อารามของปริพาชกชื่อติณฑุกขานุ แล้วจงบอกกะเขาอย่างนี้ว่า ท่านปาฏิกบุตรท่านจงกลับไป บรรดาเจ้าลิจฉวีผู้มีชื่อเสียง และพราหมณ์มหาศาล คฤหบดีผู้มั่งคั่ง เหล่าเดียรถีย์ต่างๆและสมณพราหมณ์ผู้มีชื่อเสียงได้พากันออกมาแล้ว แม้สมณโคดม ก็ประทับนั่งพักผ่อนกลางวันที่อารามของท่าน

          อนึ่ง ท่านได้กล่าววาจา ในบริษัทที่เมืองเวสาลีอย่างนี้ว่า แม้พระสมณโคดม ก็เป็นญาณวาทแม้เราก็เป็นญาณวาท ก็ผู้ที่เป็นญาณวาทย่อมควรแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ ที่เป็นธรรมยอดเยี่ยมของมนุษย์ กับผู้ที่เป็นญาณวาท พระสมณโคดมพึงเสด็จมา กึ่งหนทาง แม้เราก็พึงไปกึ่ง หนทาง ในที่พบกันนั้น

          แม้เราทั้ง ๒ พึงกระทำอิทธิปาฏิหาริย์ ที่เป็นธรรมยอดเยี่ยมของมนุษย์ ถ้าพระสมณโคดม จักทรงกระทำอิทธิปาฏิหาริย์ที่ เป็นธรรมยอดเยี่ยมของมนุษย์ ๑ อย่าง เราจักกระทำ ๒ อย่าง ถ้าพระสมณโคดมจักทรงกระทำ ๒ อย่าง เราจักกระทำ ๔ อย่าง

          ถ้าพระสมณโคดม จักทรงกระทำ๔ อย่าง เราจักกระทำ ๘ อย่าง พระสมณ โคดม จักทรงกระทำเท่าใดๆ เราก็จักกระทำให้มากกว่านั้น เป็นทวีคูณๆ ดังนี้ ท่านปาฏิกบุตร ท่านจงออกไปกึ่งหนทาง พระสมณโคดม เสด็จมาก่อนคน ทั้งปวง ทีเดียว ประทับนั่งพักผ่อนกลางวันที่อาราม ของท่าน

          ดูกรภัคควะ บุรุษนั้นรับคำสั่งบริษัทนั้นแล้ว จึงเข้าไปหาอเจลก ชื่อปาฏิกบุตร ที่อารามของปริพาชกชื่อติณฑุกขานุ แล้วบอกกะเขาอย่างนี้ว่า ท่านปาฏิกบุตร ท่านจงกลับไป พวกเจ้าลิจฉวีผู้มีชื่อเสียง และพราหมณ์มหาศาลคฤหบดี ผู้มั่งคั่ง เหล่าเดียรถีย์ต่างๆ และสมณพราหมณ์ ผู้มีชื่อเสียง ได้พากันออกมาแล้ว

          แม้พระสมณโคดม ก็ประทับนั่งพักผ่อนกลางวันที่อารามของท่าน อนึ่ง ท่านได้กล่าววาจาในที่บริษัท ที่เมืองเวสาลี อย่างนี้ว่า แม้พระสมณโคดมก็เป็น ญาณวาท แม้เราก็ เป็นญาณวาท ก็ผู้ที่เป็นญาณวาท ย่อมควรแสดงอิทธิปาฏิหาริย์ ที่เป็นธรรมยอดเยี่ยมของมนุษย์กับผู้ที่ เป็นญาณวาท พระสมณโคดมพึงเสด็จมา กึ่งหนทาง

          แม้เราก็พึงไปกึ่งหนทาง ในที่พบกันนั้น แม้เราทั้ง ๒ พึงกระทำอิทธิปาฏิหาริย์ ที่เป็นธรรมยอดเยี่ยมของมนุษย์ ถ้าพระสมณโคดมจักทรงกระทำ อิทธิปาฏิหาริย์ ที่เป็นธรรมยอดเยี่ยมของมนุษย์ ๑ อย่าง เราจักกระทำ ๒ อย่าง ถ้าพระสมณโคดม จักทรงกระทำ ๒ อย่าง เราจักกระทำ ๔ อย่าง ถ้าพระสมณโคดมจักทรงกระทำ ๔ อย่าง เราจักกระทำ ๘ อย่าง พระสมณโคดมจักทรงกระทำเท่าใดๆ เราจักกระทำ ให้มากกว่านั้นเป็นทวีคูณๆ ดังนี้

          ท่านปาฏิกบุตร ท่านจงออกไปกึ่งหนทาง พระสมณโคดมเสด็จมาก่อน คนทั้งปวงทีเดียว ประทับนั่งพักผ่อนกลางวัน ที่อารามของท่าน เมื่อบุรุษนั้น กล่าวอย่างนี้แล้ว อเจลกชื่อปาฏิกบุตรจึงกล่าวว่าเราจะไปๆ แล้ว ซบศีรษะ อยู่ในที่นั้นเอง ไม่อาจลุกขึ้นจากอาสนะได้

          ครั้งนั้น บุรุษนั้นได้กล่าวกะเขาว่า ท่านปาฏิกบุตร ไฉนท่านจึงเป็นอย่างนี้ ตะโพกของท่านติดกับที่นั่ง หรือว่าที่นั่งติดกับตะโพกของท่าน ท่านกล่าวว่า เราจะ ไปๆ แต่กลับซบศีรษะอยู่ในที่นั้นเอง ไม่อาจลุกขึ้นจากอาสนะได้

          ดูกรภัคควะ อเจลกชื่อปาฏิกบุตร แม้ถูกกล่าวอยู่อย่างนี้ ก็ยังกล่าวว่า เราจะไปๆ แล้วก็ซบศีรษะอยู่ในที่นั้นเอง ไม่อาจลุกขึ้นจากอาสนะได้ เมื่อบุรุษนั้น ได้ทราบว่า อเจลก ชื่อปาฏิกบุตรนี้เป็นผู้แพ้แล้ว ก็ยังกล่าวว่า เราจะไปๆแล้ว ก็ซบศีรษะอยู่ในที่นั้นเอง ไม่อาจลุกขึ้นจากอาสนะได้ จึงกลับมาหาบริษัทนั้น แล้วบอกว่า ท่านผู้เจริญ อเจลกชื่อปาฏิกบุตรนี้ เป็นผู้แพ้แล้ว ก็ยังกล่าวว่า เราจะไปๆ แล้วก็ซบศีรษะอยู่ในที่นั้นเอง ไม่อาจลุกขึ้นจากอาสนะได้

          ดูกรภัคควะ เมื่อบุรุษนั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว เราจึงได้กล่าวกะบริษัทนั้นว่า ท่านทั้งหลาย อเจลก ชื่อปาฏิกบุตร เมื่อไม่ละวาจา จิต และสละคืนทิฐิเช่นนั้น ก็ไม่สามารถที่จะมาพบเห็นเราได้ แม้ถ้าเขาพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า เราไม่ละวาจา จิต และสละคืนทิฐิเช่นนั้น ก็พึงไปพบเห็นพระสมณโคดมได้ ดังนี้ แม้ศีรษะเขา จะพึงแตกออก

จบ ภาณวาร ที่หนึ่ง


(ภาณวาร ที่สอง)

          [๘] ดูกรภัคควะ ครั้งนั้น มหาอำมาตย์ แห่งเจ้าลิจฉวีคนหนึ่ง ลุกขึ้นยืนกล่าวกะ บริษัทนั้นว่า ท่านผู้เจริญ ถ้าเช่นนั้น ขอให้พวกท่าน จงรอคอยสักครู่หนึ่ง พอให้ ข้าพเจ้าไป บางทีข้าพเจ้าอาจนำเอาอเจลก ชื่อปาฏิกบุตรมาสู่บริษัทนี้ได้

          ครั้งนั้นมหาอำมาตย์ แห่งเจ้าลิจฉวีคนนั้น จึงเข้าไปหาอเจลก ชื่อปาฏิกบุตร ที่อารามของปริพาชก ชื่อติณฑุกขานุ แล้วจึงกล่าวว่า ท่านปาฏิกบุตร ท่านจงกลับไป การกลับไปของท่านเป็นการดี พวกเจ้าลิจฉวีผู้มีชื่อเสียง และพราหมณ์มหาศาล คฤหบดีผู้มั่งคั่ง เหล่าเดียรถีย์ต่างๆ และสมณพราหมณ์ผู้มีชื่อเสียง ได้พากันออกมาแล้ว แม้พระสมณโคดมก็ประทับ นั่งพักผ่อนกลางวัน ที่อารามของท่าน

          อนึ่ง ท่านได้กล่าววาจาในบริษัท ที่เมืองเวสาลีอย่างนี้ว่า แม้พระสมณโคดม ก็เป็นญาณวาท แม้เราก็เป็นญาณวาท ก็ผู้ที่เป็นญาณวาท ย่อมควรแสดง อิทธิปาฏิหาริย์ ที่เป็นธรรมยอดเยี่ยมของมนุษย์ กับผู้ที่เป็นญาณวาท พระสมณโคดม พึงเสด็จมากึ่งหนทาง แม้เราก็พึงไปกึ่งหนทาง ในที่พบกันนั้น แม้เราทั้ง ๒ พึงกระทำ อิทธิปาฏิหาริย์ ที่เป็นธรรมยอดเยี่ยมของมนุษย์

          ถ้าพระสมณโคดม จักทรงกระทำอิทธิปาฏิหาริย์ ที่เป็นธรรมยอดเยี่ยมของ มนุษย์ ๑ อย่าง เราจักกระทำ ๒ อย่าง ถ้าพระสมณโคดม จักทรงกระทำ ๒ อย่าง เราจักกระทำ ๔ อย่าง

          ถ้าพระสมณโคดมจักทรงกระทำ ๔ อย่างเราจักกระทำ ๘ อย่าง พระสมณโคดม จักทรงกระทำเท่าใดๆ เราจักกระทำให้มากกว่านั้น เป็นทวีคูณๆ ดังนี้

          ท่านปาฏิกบุตร ท่านจงออกไปกึ่งหนทาง พระสมณโคดม เสด็จมาก่อนคน ทั้งปวง ทีเดียว ประทับนั่งพักผ่อนกลางวัน ที่อารามของท่านอนึ่ง พระสมณโคดม ได้ตรัสวาจาในบริษัทว่า อเจลกชื่อปาฏิกบุตร เมื่อไม่ละวาจาจิต และสละคืนทิฐิเช่นนั้น ก็ไม่สามารถที่จะมาพบเห็นเราได้ แม้ถ้าเขาพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า เราไม่ละวาจา จิต และสละคืนทิฐิเช่นนั้น ก็พึงไปพบเห็นพระสมณโคดมได้ ดังนี้ แม้ศีรษะของเขาจะพึง แตกออก ดังนี้ ท่านปาฏิกบุตร ท่านจงกลับไปด้วยการกลับไปนั่นแหละ พวกข้าพเจ้า จักให้ชัยชนะแก่ท่าน จักให้ความปราชัยแก่พระสมณโคดม

          ดูกรภัคควะ เมื่อมหาอำมาตย์ แห่งเจ้าลิจฉวี กล่าวแล้วอย่างนี้ อเจลกชื่อ ปาฏิกบุตร จึงกล่าวว่า เราจะไปๆ แล้วกลับซบศีรษะ อยู่ในที่นั้นเอง ไม่อาจลุกขึ้นจาก อาสนะได้ ครั้งนั้น มหาอำมาตย์แห่งเจ้าลิจฉวี จึงกล่าวกะเขาว่า ท่านปาฏิกบุตร ท่านเป็นอย่างไรไปเล่า ตะโพกของท่านติดกับที่นั่ง หรือว่าที่นั่งติดกับตะโพกของท่าน ท่านกล่าวว่า เราจะไปๆ แล้วกลับซบศีรษะอยู่ในที่นั้นเอง ไม่อาจลุกขึ้นจากอาสนะได้

          เมื่อมหาอำมาตย์ แห่งเจ้าลิจฉวีนั้น ได้ทราบว่า อเจลก ชื่อปาฏิกบุตร นี้เป็นผู้แพ้แล้ว ก็ยังกล่าวว่า เราจะไปๆ แล้วกลับซบศีรษะอยู่ในที่นั้นเอง ไม่อาจลุกขึ้น จากอาสนะได้ จึงมาหาบริษัทนั้น แล้วบอกว่า ดังนี้ ท่านผู้เจริญ อเจลกชื่อปาฏิกบุตรนี้ เป็นผู้แพ้แล้ว ก็ยังกล่าวว่า เราจะไปๆ แล้วกลับซบศีรษะ อยู่ในที่นั้นเอง ไม่อาจลุกขึ้น จาก อาสนะได้

          ดูกรภัคควะ เมื่อมหาอำมาตย์ แห่งเจ้าลิจฉวีนั้น กล่าวอย่างนี้แล้ว เราจึงกล่าว กะบริษัท นั้นว่า ท่านทั้งหลาย อเจลกชื่อปาฏิกบุตร เมื่อไม่ละวาจา จิต และสละคืนทิฐิ เช่นนั้น ก็ไม่สามารถที่จะมาพบเห็นเราได้ แม้ถ้าเขาพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า เราไม่ละวาจา จิต และสละทิฐิเช่นนั้น ก็พึงไปพบเห็นพระสมณโคดมได้ ดังนี้

          แม้ศีรษะของเขา จะพึงแตกออก แม้ถ้าพวกเจ้าลิจฉวี พึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า พวกเราจักเอาเชือกมัดอเจลก ชื่อปาฏิกบุตร แล้วจึงฉุดมาด้วยคู่โคมากคู่ เชือก เหล่านั้น หรืออเจลกชื่อปาฏิกบุตรพึงขาดออก ก็อเจลกชื่อปาฏิกบุตร เมื่อไม่ละวาจา จิตและสละคืนทิฐิเช่นนั้น ก็ไม่สามารถที่จะมาพบเห็นเราได้ แม้ถ้าเขาพึงคิดเห็น อย่างนี้ว่า เราไม่ละวาจา จิต และสละคืนทิฐิเช่นนั้น ก็พึงไปพบเห็นพระสมณโคดมได้ ดังนี้ แม้ศีรษะของเขาจะพึงแตกออก

          [๙] ดูกรภัคควะ ครั้งนั้น ศิษย์ช่างกลึงบาตรไม้ ชื่อชาลิยะลุกขึ้นยืน กล่าวกะ บริษัท นั้นว่า ท่านผู้เจริญ ถ้าเช่นนั้น ขอให้พวกท่านจงรอคอยสักครู่หนึ่ง พอให้ ข้าพเจ้าไป บางทีข้าพเจ้า อาจนำเอาอเจลก ชื่อปาฏิกบุตรมาสู่บริษัทนี้ได้

          ครั้งนั้นศิษย์ช่างกลึงบาตรไม้ ชื่อชาลิยะ จึงเข้าไปหาอเจลก ชื่อปาฏิกบุตร ที่อารามของปริพาชก ชื่อติณฑุกขานุ แล้วจึงกล่าวว่า ท่านปาฏิกบุตร ท่านจงกลับไป การกลับของท่านเป็นการดี พวกเจ้าลิจฉวีผู้มีชื่อเสียง และพราหมณ์มหาศาล คฤหบดี ผู้มั่งคั่ง เหล่าเดียรถีย์ต่างๆ และสมณพราหมณ์ผู้มีชื่อเสียง ได้พากันออกมาแล้ว แม้พระสมณโคดมก็ประทับ นั่งพักผ่อนกลางวัน ที่อารามของท่าน

          อนึ่ง ท่านได้กล่าววาจาในบริษัท ที่เมืองเวสาลีอย่างนี้ว่า แม้พระสมณโคดม ก็เป็นญาณวาท แม้เราก็เป็นญาณวาท ก็ผู้ที่เป็นญาณวาท ย่อมควรแสดง อิทธิปาฏิหาริย์ ที่เป็นธรรมยอดเยี่ยมของมนุษย์ กับผู้ที่เป็นญาณวาท พระสมณโคดม พึงเสด็จมากึ่งหนทาง แม้เราก็พึงไปกึ่งหนทาง ในที่พบกันนั้น แม้เราทั้ง ๒ พึงกระทำ อิทธิปาฏิหาริย์ ที่เป็นธรรมยอดเยี่ยมของมนุษย์ ถ้าพระสมณโคดม จักทรงกระทำ อิทธิปาฏิหาริย์ ที่เป็นธรรมยอดเยี่ยมของมนุษย์ ๑ อย่าง เราจักกระทำ ๒ อย่าง ถ้าพระสมณโคดม จักทรงกระทำ ๒ อย่าง เราจักกระทำ ๔ อย่าง ถ้าพระสมณโคดม จักทรงกระทำ ๔ อย่างเราจักกระทำ ๘ อย่าง พระสมณโคดม จักทรงกระทำเท่าใดๆ เราจักกระทำให้มากกว่านั้นเป็นทวีคูณๆ ดังนี้

          ท่านปาฏิกบุตร ท่านจงออกไปกึ่งหนทาง พระสมณโคดม เสด็จมาก่อน คนทั้งปวง ทีเดียว ประทับนั่งพักผ่อนกลางวัน ที่อารามของท่าน อนึ่ง พระสมณโคดม ได้ตรัสวาจาในบริษัทว่า อเจลกชื่อปาฏิกบุตร เมื่อไม่ละวาจา จิต และสละคืนทิฐิเช่นนั้น ก็ไม่สามารถที่จะมาพบเห็นเรา ได้แม้ถ้าเขาพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า เราไม่ละวาจา จิต และสละคืนทิฐิเช่นนั้นก็พึงไปพบเห็น พระสมณโคดมได้ ดังนี้

          แม้ศีรษะของเขา จะพึงแตกออก แม้ถ้าพวกเจ้าลิจฉวี จะพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า พวกเราจักเอาเชือกมัดอเจลก ชื่อปาฏิกบุตรแล้ว จึงฉุดมาด้วยคู่โคมากคู่ เชือก เหล่านั้น หรือ อเจลกชื่อปาฏิกบุตร พึงขาดออกก็อเจลก ชื่อปาฏิกบุตร เมื่อไม่ละวาจา จิต และสละ คืน ทิฐิเช่นนั้น ก็ไม่สามารถที่จะมาพบเห็นเราได้ แม้ถ้าเขาพึงคิดเห็น อย่างนี้ว่า เรา ไม่ละ วาจา จิต และสละคืนทิฐิเช่นนั้น ก็พึงไปพบเห็นพระสมณโคดมได้ ดังนี้ แม้ศีรษะ ของเขาจะพึงแตกออก ดังนี้ ท่านปาฏิกบุตร ท่านจงกลับไป ด้วยการ กลับไปนั่นแหละ พวกข้าพเจ้าจักให้ชัยชนะแก่ท่าน จักให้ความปราชัยแก่ พระสมณโคดม

          ดูกรภัคควะ เมื่อศิษย์ช่างกลึงบาตรไม้ ชื่อชาลิยะกล่าวแล้วอย่างนี้ อเจลกชื่อ ปาฏิกบุตร กล่าวว่า เราจะไปๆ แล้วกลับซบศีรษะอยู่ในที่นั้นเอง ไม่อาจลุกขึ้นจาก อาสนะได้ ครั้งนั้น ศิษย์ช่างกลึงบาตรไม้ ชื่อชาลิยะจึงกล่าวกะเขาว่า ท่านปาฏิกบุตร ท่านเป็นอย่างไรไปเปล่า ตะโพกของท่านติดกับที่นั่ง หรือว่าที่นั่งติดกับตะโพก ของท่าน ท่านกล่าวว่า เราจะไปๆ แล้วกลับซบศีรษะอยู่ในที่นั้นเอง ไม่อาจลุกขึ้นจาก อาสนะได้ อเจลกชื่อปาฏิกบุตร แม้ถูกว่าอย่างนี้ ก็ยังกล่าวว่า เราจะไปๆ แล้วกลับซบ ศีรษะ อยู่ในที่นั้นเองไม้ อาจลุกขึ้นจากอาสนะได้ เมื่อศิษย์ช่างกลึงบาตรไม้ ชื่อชาลียะ ได้ทราบว่า อเจลกชื่อปาฏิกบุตรนี้ เป็นผู้แพ้แล้ว ก็ยังกล่าวว่า เราจะไปๆ แล้วกลับซบ ศีรษะอยู่ในที่นั้นเอง ไม่อาจลุกจากอาสนะได้จึงกล่าวกะเขาต่อไปว่า-

          ดูกรท่านปาฏิกบุตร เรื่องเคยมีมาแล้ว คือพญาสีหมิคราชได้คิดอย่างนี้ว่า ถ้ากระไร เราพึงอาศัยป่าทึบบางแห่งซ่อนอยู่ แล้วออกจากที่ซ่อนในเวลาเย็น ดัดกาย เหลียว ดูทิศ ทั้ง ๔ โดยรอบ แล้วบันลือสีหนาท ๓ ครั้ง จึงเที่ยวไปหากิน เราต้องฆ่าหมูเนื้อตัว ล่ำสัน กินเนื้อที่อ่อนนุ่มๆ แล้วกลับมาซ่อนตัวอยู่ตามเคย

          ครั้งนั้น พญาสีหมิคราชนั้น จึงอาศัยป่าทึบบางแห่งซ่อนอยู่ ออกจากที่ซ่อน ในเวลาเย็น ดัดกาย เหลียวดูทิศทั้ง ๔ โดยรอบ บันลือสีหนาท ๓ ครั้งเที่ยวไปหากิน มันฆ่าหมู เนื้อตัวล่ำสัน กินเนื้อที่อ่อนนุ่มๆ แล้วกลับมาซ่อนอยู่ตามเคย ท่านปาฏิกบุตร มีสุนัขจิ้งจอกแก่ตัวหนึ่ง กินเนื้อที่เป็นแดนของพญาสีหมิคราชตัวนั้น แล้วก็เจริญ อ้วนท้วน มีกำลัง

          ต่อมา สุนัขจิ้งจอกแก่ตัวนั้น จึงเกิดความคิดว่า เราคือใคร พญาสีหมิคราช คือใคร ถ้ากระไร เราพึงอาศัยป่าทึบบางแห่งซ่อนอยู่ ออกจากที่ซ่อนในเวลาเย็น ดัดกาย เหลียวดูทิศทั้ง ๔ โดยรอบบันลือสีหนาท ๓ ครั้ง เที่ยวไปหากิน เราต้องฆ่าหมูเนื้อ ตัวล่ำสัน กินเนื้ออ่อนนุ่มๆ แล้วก็กลับมาซ่อนอยู่ตามเคย

          ครั้งนั้น สุนัขจิ้งจอกแก่ตัวนั้น อาศัยป่าทึบบางแห่งซ่อนอยู่ ออกจากที่ซ่อน ในเวลาเย็น ดัดกาย เหลียวดูทิศทั้ง ๔โดยรอบ แล้วคิดว่า เราจักบันลือสีหนาท ๓ ครั้ง แต่กลับ บันลือ เสียงสุนัขจิ้งจอก อย่างน่ากลัวน่าเกลียด สุนัขจิ้งจอกตัวลามก เป็นอย่างไร และการบันลือของสีหะเป็นอย่างไร

          ดูกรท่านปาฏิกบุตร ท่านก็เป็นเช่นนั้น ดำรงชีพตามแบบพระสุคตบริโภคอาหาร ที่เป็น เดนพระสุคต ยังสำคัญการรุกรานพระตถาคต ผู้เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านปาฏิกบุตรเป็นอย่างไร การรุกรานพระตถาคต ผู้เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นอย่างไร

          ดูกรภัคควะ เมื่อศิษย์ช่างกลึงบาตรไม้ชื่อชาลิยะ ไม่สามารถที่จะให้อเจลก ชื่อ ปาฏิกบุตร เคลื่อนจากอาสนะนั้นได้ แม้ด้วยคำเปรียบเปรยเช่นนี้ จึงได้กล่าวคาถา ประพันธ์ดังนี้ว่าสุนัขจิ้งจอกเข้าใจว่า ตนเป็นสีหะจึงได้ถือตัวว่า เป็นมิคราช มันได้ บันลือ เสียง สุนัขจิ้งจอก เช่นนั้นสุนัขจิ้งจอกตัวลามก เป็นอย่างไรการบันลือ ของสีหะ เป็นอย่างไร

          [๑๐] ดูกรท่านปาฏิกบุตร ท่านก็เป็นเช่นนั้น ดำรงชีพตามแบบพระสุคต บริโภคอาหาร ที่เป็นเดนพระสุคต ยังสำคัญการรุกราน พระตถาคต ผู้เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านปาฏิกบุตรเป็นอย่างไร การรุกรานพระตถาคต ผู้เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นอย่างไร ดูกรภัคควะ เมื่อศิษย์ช่างกลึงบาตรไม้ ชื่อชาลิยะ ไม่สามารถ ที่จะให้ อเจลก ชื่อปาฏิกบุตรเ คลื่อนจากอาสนะนั้นได้ แม้ด้วยคำ เปรียบเปรย เช่นนี้ จึงได้กล่าวคาถาประพันธ์ดังนี้ว่า

          สุนัขจิ้งจอกจ้องดูเงาของตน ซึ่งปรากฏในน้ำที่บ่อไม่เห็น ตนตามความเป็นจริง จึงถือตัว ว่า เป็นสีหะ มันได้บันลือเสียงสุนัขจิ้งจอกเช่นนั้น เสียงสุนัขจิ้งจอกตัวลามก เป็นอย่างไรการบันลือของสีหะเป็นอย่างไร

          [๑๑] ดูกรท่านปาฏิกบุตร ท่านก็เป็นเช่นนั้น ดำรงชีพตามแบบพระสุคต บริโภคอาหาร ที่เป็นเดนพระสุคต ยังสำคัญการรุกรานพระตถาคต ผู้เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านปาฏิกบุตรเป็นอย่างไร การรุกรานพระตถาคต ผู้เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นอย่างไร ดูกรภัคควะ เมื่อศิษย์ช่างกลึงบาตรไม้ ชื่อชาลิยะ ไม่สามารถที่จะให้อเจลก ชื่อปาฏิกบุตร เคลื่อนจากอาสนะนั้นได้ แม้ด้วยคำเปรียบเปรย เช่นนี้ จึงได้กล่าวคาถา ประพันธ์ดังนี้ว่า

          สุนัขจิ้งจอกกินกบ [ตามบ่อ] และหนูตามลานข้าว ซากศพที่ทิ้งตามป่าช้า จึงอ้วนพีอยู่ ตามป่าใหญ่ ตามป่าที่ว่างเปล่า จึงได้ถือตัวว่าเป็นมิคราช มันได้บันลือ เสียงสุนัขจิ้งจอก เช่นนั้น สุนัขจิ้งจอก ตัวลามกเป็นอย่างไร การบันลือของสีหะ เป็นอย่างไร

          [๑๒] ดูกรท่านปาฏิกบุตร ท่านก็เป็นเช่นนั้น ดำรงชีพตามแบบพระสุคต บริโภคอาหาร ที่เป็นเดนพระสุคต ยังสำคัญการรุกราน พระตถาคตผู้เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านปาฏิกบุตรเป็นอย่างไร การรุกรานพระตถาคต ผู้เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นอย่างไร

          ดูกรภัคควะ เมื่อศิษย์ช่างกลึงบาตรไม้ ชื่อชาลิยะ ไม่สามารถที่จะให้อเจลกชื่อ ปาฏิกบุตร เคลื่อนจากอาสนะนั้นได้ แม้ด้วยคำเปรียบเปรยเช่นนี้ จึงกลับมาหา บริษัท นั้น แล้วบอกว่า ท่านผู้เจริญ อเจลกชื่อปาฏิกบุตรนี้ เป็นผู้แพ้แล้ว ก็ยังกล่าวว่า เราจะ ไปๆ แล้วกลับซบศีรษะอยู่ในที่นั้นเอง ไม่อาจลุกขึ้นจากอาสนะได้ ดูกรภัคควะ เมื่อศิษย์ ช่างกลึงบาตรไม้ชื่อชาลิยะนั้น กล่าวอย่างนี้แล้วเราจึงกล่าวกะบริษัทนั้นว่า ท่านทั้งหลาย

          อเจลกชื่อปาฏิกบุตร เมื่อไม่ละวาจา จิตและสละคืนทิฐิเช่นนั้น ก็ไม่สามารถ ที่จะมาพบ เห็นเราได้ แม้ถ้าเขาพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า เราไม่ละวาจา จิต และสละคืนทิฐิ เช่นนั้น ก็พึงไปพบเห็นพระสมณโคดมได้ ดังนี้ แม้ศีรษะของเขาจะพึงแตกออก แม้ถ้าพวกเจ้า ลิจฉวี จะพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า พวกเราจะเอาเชือกมัดอเจลก ชื่อ ปาฏิกบุตร แล้วจึง ฉุดมา ด้วยคู่โคมากคู่ เชือกเหล่านั้นหรืออเจลก ชื่อปาฏิกบุตร พึงขาดออก ก็อเจลก ชื่อปาฏิกบุตร เมื่อไม่ละวาจา จิต และสละคืนทิฐิเช่นนั้น ก็ไม่สามารถ ที่จะมาพบเห็น เรา ได้ แม้ถ้าเขาพึงคิดเห็นอย่างนี้ว่า เราไม่ละวาจา จิต และสละคืนทิฐิเช่นนั้น ก็พึงไปพบเห็นพระสมณโคดมได้ ดังนี้ แม้ศีรษะของเขาพึงแตกออก

          ดูกรภัคควะ ลำดับนั้น เราจึงยังบริษัทนั้น ให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้รื่นเริง ด้วยธรรมีกถา ทำให้พ้นจากเครื่องผูกใหญ่ ๑- รื้อถอนสัตว์ประมาณ ๘๔,๐๐๐ ขึ้นจากหล่มใหญ่ จึงเข้าเตโชธาตุกสิณ เหาะขึ้นสู่เวหาสสูงประมาณ ๗ ชั่วลำตาล นิรมิตไฟอื่นให้ลุกโพลง มีควันกลบ สูงประมาณ ๗ ชั่วลำตาล แล้วจึงกลับมาปรากฏ ที่กูฏาคารศาลาป่ามหาวัน

           ดูกรภัคควะ ครั้งนั้นโอรสเจ้าลิจฉวี ชื่อสุนักขัตตะ ได้เข้า มาหา เราถึงที่อยู่ ถวายอภิวาทแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง เราจึงได้กล่าวกะเขา ผู้นั่งเรียบร้อยแล้วว่า สุนักขัตตะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน วิบากนั้น ได้มีแล้ว เหมือนดังที่เรา ได้พยากรณ์ อเจลก ชื่อปาฏิกบุตรแก่เธอ มิใช่โดยประการอื่น

          ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ วิบากนั้น ได้มีแล้ว เหมือนดังที่พระผู้มีพระภาค ได้ทรง พยากรณ์ อเจลก ชื่อปาฏิกบุตร แก่ข้าพระองค์ มิใช่โดยประการอื่น

          ดูกรสุนักขัตตะ เธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เมื่อเป็นเช่นนี้ อิทธิปาฏิหาริย์ ที่เป็น ธรรม ยอดเยี่ยมของมนุษย์ ชื่อว่าเป็นคุณอันเราได้แสดงแล้ว หรือมิใช่

          ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เป็นอันทรงแสดงไว้แล้วแน่นอน มิใช่ไม่ทรงแสดง

ดูกรโมฆบุรุษ แม้เมื่อเป็นเช่นนี้ เธอยังจะกล่าวกะเรา ผู้แสดงอิทธิปาฏิหาริย์ ที่เป็นธรรม ยอดเยี่ยม ของมนุษย์อย่างนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระผู้มีพระภาคมิได้ทรงแสดง อิทธิปาฏิหาริย์ ที่เป็นธรรมยอดเยี่ยมของมนุษย์ แก่ข้าพระองค์ดังนี้ เธอจงเห็นว่า ข้อนี้ เป็นความผิดของเธอเท่านั้น

           ดูกรภัคควะ โอรสเจ้าลิจฉวีชื่อสุนักขัตตะ ถูกเรากล่าว อย่างนี้ ได้หนีไปจาก พระธรรมวินัยนี้ เหมือนสัตว์ผู้ควรเกิดในอบาย เหมือนสัตว์ผู้ควร เกิดในนรก ฉะนั้น

          [๑๓] ดูกรภัคควะ อนึ่ง เราย่อมทราบชัด ซึ่งสิ่งที่โลกสมมติว่าเลิศ ทั้งรู้ชัด ยิ่งกว่านั้น และไม่ยึดมั่นความรู้ชัดนั้นด้วย เมื่อไม่ยึดมั่น จึงทราบความดับได้เฉพาะตน ฉะนั้น ตถาคตจึงไม่ถึงทุกข์

          ดูกรภัคควะ มีสมณพราหมณ์ บางพวกบัญญัติ สิ่งที่โลกสมมติว่าเลิศ ว่าพระ อิศวรทำให้ ว่าพระพรหมทำให้ ตามลัทธิอาจารย์ เราจึงเข้าไปถามเขาอย่างนี้ว่า ได้ยินว่า ท่านทั้งหลาย บัญญัติ สิ่งที่โลกสมมติว่าเลิศ ว่าพระอิศวรทำให้ว่า พระพรหม ทำให้ ตามลัทธิอาจารย์จริงหรือ สมณพราหมณ์เหล่านั้น ถูกเราถามอย่างนี้ แล้วยืนยัน ว่า เป็นเช่นนั้น เราจึงถามต่อไปว่า พวกท่านบัญญัติ สิ่งที่โลกสมมติว่าเลิศ ว่าพระอิศวร ทำให้ ว่าพระพรหมทำให้ ตามลัทธิอาจารย์มีแบบอย่างไร

          สมณพราหมณ์เหล่านั้น ถูกเราถามอย่างนี้ เมื่อตอบไม่ถูก จึงย้อนถามเรา เราถูกถามแล้วจึงพยากรณ์ว่า ท่านทั้งหลาย มีสมัยบางครั้งบางคราว โดยระยะกาล ยืดยาวช้านาน ที่โลกนี้จะพินาศ เมื่อโลกกำลังพินาศอยู่ โดยมากเหล่าสัตว์ย่อมเกิด ในชั้นอาภัสสรพรหม สัตว์เหล่านั้น ได้สำเร็จทางใจ มีปีติเป็นอาหาร มีรัศมีซ่าน ออกจากกายตนเอง สัญจรไปได้ในอากาศ อยู่ในวิมานอันงาม สถิตอยู่ในภพนั้น สิ้นกาลยืดยาวช้านาน

          ดูกรท่านทั้งหลาย มีสมัยบางครั้งบางคราว โดยระยะกาลยืดยาวช้านาน ที่โลกนี้ จะกลับ เจริญ เมื่อโลกกำลังเจริญอยู่ วิมานของพรหมปรากฏ ว่าว่างเปล่าครั้งนั้น สัตว์ผู้ใดผู้หนึ่ง จุติจากชั้นอาภัสสรพรหม เพราะสิ้นอายุหรือสิ้นบุญ ย่อมเข้าถึงวิมาน พรหม ที่ว่างเปล่า แม้สัตว์ผู้นั้นก็ได้สำเร็จทางใจ มีปีติเป็นอาหารมีรัศมีซ่าน ออกจาก กายตนเอง สัญจรไปได้ในอากาศ อยู่ในวิมานอันงาม สถิตอยู่ในภพนั้น สิ้นกาลยืดยาว ช้านาน เพราะสัตว์นั้นอยู่แต่ผู้เดียวเป็นเวลานาน จึงเกิดความกระสันความดิ้นรนขึ้นว่า โอหนอ แม้สัตว์เหล่าอื่น ก็พึงมาเป็นอย่างนี้บ้าง

           ต่อมาสัตว์เหล่าอื่น ก็จุติจากชั้น อาภัสสรพรหม เพราะสิ้นอายุหรือเพราะสิ้นบุญ ย่อมเข้าถึงวิมานพรหมที่ว่าง เป็นสหาย ของสัตว์ผู้นั้น แม้สัตว์พวกนั้น ก็ได้สำเร็จ ทางใจ มีปีติเป็นอาหาร มีรัศมีซ่านออกจาก กายตนเอง สัญจรไปได้ในอากาศ อยู่ในวิมานอันงาม สถิตอยู่ในภพนั้นสิ้นกาล ยืดยาวช้านาน

          ดูกรท่านทั้งหลาย บรรดาสัตว์จำพวกนั้น ผู้ใดเกิดก่อน ผู้นั้นย่อมมีความคิดเห็น อย่างนี้ ว่า เราเป็นพรหม เราเป็นมหาพรหม เป็นใหญ่ไม่มีใครข่มได้ เห็นถ่องแท้ เป็นผู้กุมอำนาจ เป็นอิศวร เป็นผู้สร้าง เป็นผู้นิรมิต เป็นผู้ประเสริฐเป็นผู้บงการ เป็นผู้ทรงอำนาจ เป็นบิดาของหมู่สัตว์ ผู้เป็นแล้วและกำลังเป็น

          สัตว์เหล่านี้ เราเนรมิตขึ้น ข้อนั้นเพราะ เหตุไร เพราะว่า เราได้มีความคิด อย่างนี้ก่อน ว่าโอหนอแม้สัตว์เหล่าอื่น ก็พึงมาเป็น อย่างนี้บ้าง ความตั้งใจของเรา เป็นเช่นนี้ และสัตว์เหล่านี้ก็ได้มาเป็นอย่างนี้แล้ว แม้พวกสัตว์ที่เกิดภายหลัง ก็มีความคิดเห็น อย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญนี้แลเป็นพรหม เป็นมหาพรหม เป็นใหญ่ ไม่มีใครข่มได้ เห็น ถ่องแท้ เป็นผู้กุมอำนาจ เป็นอิศวร เป็นผู้สร้าง เป็นผู้นิรมิต เป็นผู้ ประเสริฐ เป็นผู้บงการ เป็นผู้ทรงอำนาจ เป็นบิดาของ หมู่สัตว์ ผู้เป็นแล้วและกำลังเป็น พวกเรา อันพระพรหมผู้เจริญ นี้นิรมิตแล้ว ข้อนั้น เพราะเหตุไร เพราะว่าพวกเรา ได้เห็นท่าน พรหมผู้นี้เกิดก่อน ส่วนพวกเราเกิดภายหลัง

          ดูกรท่านทั้งหลาย บรรดาสัตว์จำพวกนั้น สัตว์ใดเกิดก่อน สัตว์นั้นมีอายุยืนกว่า มีผิวพรรณงามกว่า มีศักดิ์มากกว่า ส่วนสัตว์ที่เกิดภายหลัง มีอายุน้อยกว่า มีผิวพรรณ ทรามกว่า มีศักดิ์น้อยกว่า

          ดูกรท่านทั้งหลาย ก็เป็นฐานะที่จะมีได้แล ที่สัตว์ผู้ใดผู้หนึ่ง จุติจากชั้นนั้น แล้วมาเป็น (มนุษย์) อย่างนี้ เมื่อมาเป็นอย่างนี้แล้ว จึงออกจากเรือน บวชเป็นบรรพชิต เมื่อบวช แล้ว อาศัยความเพียร เป็นเครื่องเผากิเลส อาศัยความเพียรที่ตั้งมั่น อาศัย ความประกอบ เนืองๆ อาศัยความไม่ประมาท อาศัยมนสิการโดยชอบ แล้วบรรลุ เจโตสมาธิ ที่เมื่อตั้งมั่นแล้ว ย่อมตามระลึกถึงขันธ์ ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อน นั้นได้

           หลังแต่นั้นไป ระลึกไม่ได้ เขาจึงกล่าวอย่างนี้ว่า ท่านผู้ใดแลเป็นพรหม เป็นมหาพรหม เป็นใหญ่ ไม่มีใครข่มได้ เห็นถ่องแท้ เป็นผู้กุมอำนาจ เป็นผู้สร้าง เป็นผู้นิรมิต เป็นผู้ประเสริฐ เป็นผู้บงการเป็นผู้ทรงอำนาจ เป็นบิดาของหมู่สัตว์ ผู้เป็นแล้วและกำลังเป็น

          พระพรหมผู้เจริญใด ที่นิรมิตพวกเรา พระพรหมผู้เจริญนั้น เป็นผู้เที่ยงยั่งยืน คงทน มีอายุยืน มีอันไม่แปรผันเป็นธรรมดา จักตั้งอยู่เที่ยงเสมอไป เช่นนั้นทีเดียว ส่วน พวกเรา ที่พระพรหมผู้เจริญนั้นนิรมิตแล้วนั้น เป็นผู้ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ไม่คงทน มีอายุน้อย ยังต้องจุติมาเป็นอย่างนี้ ก็พวกท่านบัญญัติ สิ่งที่โลกสมมติว่าเลิศ ว่าพระ อิศวร ทำให้ว่าพระพรหมทำให้ตามลัทธิอาจารย์ มีแบบเช่นนี้หรือมิใช่

           สมณพราหมณ์ เหล่านั้น ตอบอย่างนี้ว่า ท่านโคดม พวกข้าพเจ้าได้ทราบมา ดังที่ท่านโคดม ได้กล่าว มานี้แล

          ดูกรภัคควะ เราย่อมทราบชัด ซึ่งสิ่งที่โลกสมมติว่าเลิศ ทั้งรู้ชัดยิ่งกว่านั้น และไม่ยึดมั่น ความรู้ชัดนั้นด้วย เมื่อไม่ยึดมั่น จึงทราบความดับได้เฉพาะตนฉะนั้น ตถาคตจึงไม่ถึง ทุกข์

          [๑๔] ดูกรภัคควะ มีสมณพราหมณ์บางพวก บัญญัติสิ่งที่โลกสมมติว่าเลิศ ว่ามีมูลมา แต่เทวดา เหล่าขิฑฑาปโทสิกะ ตามลัทธิอาจารย์ เราจึงเข้าไปถาม อย่างนี้ว่า ทราบว่า ท่านทั้งหลาย บัญญัติสิ่งโลกสมมติว่าเลิศ ว่ามีมูลมาแต่เทวดา เหล่าขิฑฑาปโทสิกะ ตามลัทธิอาจารย์จริงหรือ

           สมณพราหมณ์เหล่านั้น ถูกเราถาม อย่างนี้แล้ว ยืนยันว่า เป็นเช่นนั้น เราจึงถามต่อไปว่า พวกท่านบัญญัติสิ่งที่โลกสมมต ิว่าเลิศ ว่ามีมูลมา แต่เทวดา เหล่าขิฑฑาปโทสิกะ ตามลัทธิอาจารย์ มีแบบอย่างไร สมณพราหมณ์ เหล่านั้น ถูกเราถามอย่างนี้แล้ว ตอบไม่ถูก เมื่อตอบไม่ถูก จึงย้อน ถามเรา เราถูกถาม แล้ว จึงพยากรณ์ว่า

          ดูกรท่านทั้งหลาย พวกเทวดา ชื่อว่าขิฑฑาปโทสิกะมีอยู่ พวกนั้นพากันหมกมุ่น อยู่แต่ ใน ความรื่นรมย์ คือการสรวลเส และการเล่นหัวจนเกินเวลา เมื่อพวกนั้นพากัน หมกมุ่น อยู่แต่ในความรื่นรมย์ คือการสรวลเสและการเล่นหัว จนเกินเวลาสติก็ย่อม หลงลืม เพราะสติหลงลืม จึงพากันจุติจากชั้นนั้น

          ดูกรท่านทั้งหลาย ก็เป็นฐานะที่จะมีได้แล ที่สัตว์ผู้ใดผู้หนึ่งจุติจากชั้นนั้น แล้วมาเป็นอย่างนี้ เมื่อมาเป็นอย่างนี้แล้ว จึงออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต เมื่อบวชแล้วอาศัย ความเพียรเป็นเครื่องเผากิเลส อาศัยความเพียรที่ตั้งมั่น อาศัยความประกอบเนืองๆ อาศัยความไม่ประมาท อาศัยมนสิการโดยชอบ แล้วบรรลุ เจโตสมาธิ ที่เมื่อตั้งมั่นแล้ว ย่อมตามระลึกถึงขันธ์ ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อน นั้นได้

          หลังแต่นั้นไประลึกไม่ได้เขา จึงกล่าวอย่างนี้ว่า ท่าน พวกเทวดาผู้มิใช่เหล่า ขิฑฑาป โทสิกะ ย่อมไม่พากันหมกมุ่นอยู่ แต่ในความรื่นรมย์ คือการสรวลเส และการ เล่นหัว จนเกินเวลา สติย่อมไม่หลงลืม เพราะสติไม่หลงลืม พวกเหล่านั้นจึงไม่จุติ จากชั้นนั้น เป็นผู้เที่ยงยั่งยืน คงทน มีอายุยืน มีอันไม่แปรผันเป็นธรรมดา จักตั้งอยู่ เที่ยงเสมอไป เช่นนั้นทีเดียว

          ส่วนพวกเราเหล่าขิฑฑาปโทสิกะ หมกมุ่นอยู่แต่ในความรื่นรมย์ คือการสรวลเส และ การเล่นหัวจนเกินเวลา สติย่อมหลงลืม เพราะสติหลงลืม พวกเราจึงพากันจุติจาก ชั้นนั้น เป็นผู้ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ไม่คงทน มีอายุน้อย ยังต้องจุติมาเป็นอย่างนี้ ก็พวก ท่าน บัญญัติ สิ่งที่โลกสมมติว่าเลิศ ว่ามีมูลมาแต่เทวดาเหล่าขิฑฑาปโทสิกะ ตาม ลัทธิอาจารย์ มีแบบเช่นนี้หรือมิใช่ สมณพราหมณ์เหล่านั้น ตอบอย่างนี้ว่า ท่านโคดม พวกข้าพเจ้าได้ทราบมา ดังที่ท่านโคดมได้กล่าวมานี้แล

          ดูกรภัคควะ เราย่อมทราบชัด ซึ่งสิ่งที่โลกสมมติว่าเลิศ ทั้งรู้ชัดยิ่งกว่านั้น และไม่ยึดมั่น ความรู้ชัดนั้นด้วย เมื่อไม่ยึดมั่น จึงทราบความดับเฉพาะตน ฉะนั้น ตถาคตจึงไม่ถึงทุกข์

          [๑๕] ดูกรภัคควะ มีสมณพราหมณ์บางจำพวก บัญญัติสิ่งที่โลกสมมติว่าเลิศ ว่ามีมูลม าแต่เทวดาเหล่ามโนปโทสิกะ ตามลัทธิอาจารย์ เราจึงเข้าไปถามเขา อย่างนี้ว่า ทราบว่า ท่านทั้งหลาย บัญญัติสิ่งที่โลกสมมติว่าเลิศ ว่ามีมูลมาแต่เทวดา เหล่า มโนปโทสิกะ ตามลัทธิอาจารย์จริงหรือ

          สมณพราหมณ์เหล่านั้นถูกเราถาม อย่างนี้แล้ว ยืนยันว่าเป็นเช่นนั้น เราจึงถาม ต่อไปว่า พวกท่านบัญญัติสิ่งที่โลกสมมติว่าเลิศ ว่า มีมูลมาแต่เทวดาเหล่า มโนปโทสิกะ ตามลัทธิอาจารย์ มีแบบอย่างไร สมณพราหมณ์ เหล่านั้นถูกเราถาม อย่างนี้แล้ว ตอบไม่ถูก เมื่อตอบไม่ถูกจึงย้อนถาม เรา เราถูกถาม แล้ว จึงพยากรณ์ว่า

          ดูกรท่านทั้งหลาย พวกเทวดา ชื่อมโนปโทสิกะมีอยู่ พวกนั้น มักเพ่งโทษกัน และกัน เกินควร เมื่อมัวเพ่งโทษกันและกัน เกินควร ย่อมคิดมุ่งร้ายกันและกัน เมื่อต่างคิด มุ่งร้ายกันและกัน จึงลำบากกายลำบากใจ พากันจุติจากชั้นนั้น

          ดูกรท่านทั้งหลาย ก็เป็นฐานะที่จะมีได้แล ที่สัตว์ผู้ใดผู้หนึ่ง จุติจากชั้นนั้นแล้ว มาเป็น อย่างนี้ เมื่อมาเป็นอย่างนี้แล้ว จึงออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต เมื่อบวชแล้ว อาศัย ความเพียรเป็นเครื่องเผากิเลส อาศัยความเพียรที่ตั้งมั่น อาศัยความประกอบ เนืองๆ อาศัยความไม่ประมาท อาศัยมนสิการโดยชอบ แล้วบรรลุเจโตสมาธิ ที่เมื่อ ตั้งมั่นแล้ว ย่อมตามระลึกถึงขันธ์ ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนนั้นได้ หลังแต่นั้นไประลึก ไม่ได้

          เขาจึงกล่าวอย่างนี้ว่า ท่านพวกเทวดา ผู้มิใช่เหล่ามโนปโทสิกะ ย่อมไม่มัว เพ่งโทษกัน และกันเกินควร เมื่อไม่มัวเพ่งโทษกันและกัน เกินควร ก็ไม่คิดมุ่งร้ายกัน และกัน เมื่อ ต่างไม่คิดมุ่งร้ายกันและกันแล้ว ก็ไม่ลำบากกายไม่ลำบากใจ พวกนั้น จึงไม่จุติจาก ชั้นนั้น เป็นผู้เที่ยง ยั่งยืน คงทน มีอายุยืนมีอันไม่แปรผัน เป็นธรรมดา จักตั้งอยู่เที่ยง เสมอไป เช่นนั้นทีเดียว

          ส่วนพวกเราเหล่ามโนปโทสิกะ มัวเพ่งโทษกันและกันเกินควร เมื่อมัวเพ่งโทษ กัน และ กันเกินควร ก็คิดมุ่งร้ายกันและกัน เมื่อต่างคิดมุ่งร้ายกันและกัน จึงพากัน ลำบากกาย ลำบากใจ พวกเราจึงพากันจุติจากชั้นนั้น เป็นผู้ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ไม่คงทน มีอายุน้อย ยังต้องจุติมาเป็นอย่างนี้ ก็พวกท่านบัญญัติ สิ่งที่โลกสมมติว่าเลิศ ว่ามีมูล มาแต่เทวดา เหล่ามโนปโทสิกะ ตามลัทธิอาจารย์ มีแบบเช่นนี้ หรือมิใช่

          สมณพราหมณ์เหล่านั้น ตอบอย่างนี้ว่า ท่านโคดม พวกข้าพเจ้าได้ทราบมา ดังที่ท่าน โคดม ได้กล่าวมานี้แล ดูกรภัคควะ เราย่อมทราบชัด ซึ่งสิ่งที่โลกสมมติว่า เลิศทั้งรู้ชัด ยิ่งกว่านั้น แต่เราไม่ยึดมั่นความรู้ชัดนั้นด้วย เมื่อไม่ยึดมั่น จึงทราบความดับ เฉพาะตน ฉะนั้น ตถาคตจึงไม่ถึงทุกข์

          [๑๖] ดูกรภัคควะ มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง บัญญัติสิ่งที่โลกสมมติว่าเลิศ ถือกันว่า เกิดขึ้นลอยๆ ตามลัทธิอาจารย์ เราจึงเข้าไปถามเขาอย่างนี้ว่าทราบว่า ท่านทั้งหลาย บัญญัติ สิ่งที่โลกสมมติว่าเลิศ ถือกันว่าเกิดขึ้นลอยๆ ตามลัทธิอาจารย์ จริงหรือ

           สมณพราหมณ์เหล่านั้น ถูกเราถามอย่างนี้แล้ว ยืนยันว่าเป็นเช่นนั้น เราจึงถาม ต่อไปว่า พวกท่านบัญญัติ สิ่งที่โลกสมมติว่าเลิศ ถือกันว่าเกิดขึ้นลอยๆ ตามลัทธิ อาจารย์ มีแบบ อย่างไร สมณพราหมณ์เหล่านั้น ถูกเราถามอย่างนี้แล้ว ตอบไม่ถูก เมื่อตอบไม่ถูก จึงย้อนถามเรา เราถูกถามแล้ว จึงพยากรณ์ว่า

          ดูกรท่านทั้งหลาย มีเทวดาเหล่าอสัญญีสัตว์ ก็แลเทวดาเหล่านั้น ย่อมจุติ จากชั้นนั้น เพราะความเกิดขึ้นแห่งสัญญา ดูกรท่านทั้งหลาย ก็เป็นฐานะที่จะมีได้แล ที่สัตว์ผู้ใดผู้หนึ่ง จุติจากชั้นนั้นแล้วมาเป็นอย่างนี้ เมื่อมาเป็นอย่างนี้แล้ว จึงออกจากเรือน บวชเป็นบรรพชิต เมื่อบวชแล้ว อาศัยความเพียรเป็นเครื่องเผากิเลส อาศัยความเพียร เป็นที่ตั้งมั่น อาศัยความประกอบเนืองๆ อาศัยความไม่ประมาท อาศัยมนสิการโดยชอบ แล้วบรรลุเจโตสมาธิ ที่เมื่อตั้งมั่นแล้ว ย่อมตามระลึกถึง ความเกิดขึ้นแห่งสัญญานั้นได้ หลังแต่นั้นไประลึกไม่ได้ เขาจึงกล่าวอย่างนี้ว่า อัตตา และโลกเกิดขึ้นลอยๆ ข้อนั้น เป็นเพราะเหตุไร

          เพราะว่า เมื่อก่อนข้าพเจ้าไม่ได้มีแล้ว[ไม่ได้มีสัญญา] เดี๋ยวนี้ข้าพเจ้านั้นไม่มี เพราะ น้อมไป เพื่อความเป็นผู้สงบแล้ว ก็พวกท่านบัญญัติ สิ่งที่โลกสมมติว่าเลิศ ถือกันว่า เกิดขึ้นลอยๆ ตามลัทธิอาจารย์ มีแบบเช่นนี้หรือ สมณพราหมณ์เหล่านั้น ตอบอย่าง นี้ว่า ท่านโคดม พวกข้าพเจ้าก็ได้ทราบมาดัง ที่ท่านโคดมได้กล่าวมานี้แล

          ดูกรภัคควะเราย่อมทราบชัดซึ่งสิ่งที่โลกสมมติว่าเลิศ ทั้งรู้ชัดยิ่งกว่านั้น และไม่ยึดมั่น ความรู้ชัดนั้นด้วย เมื่อไม่ยึดมั่น จึงทราบความดับเฉพาะตน ฉะนั้น ตถาคตจึงไม่ถึงทุกข์

          [๑๗] ดูกรภัคควะ สมณพราหมณ์บางจำพวก กล่าวตู่เรา ผู้กล่าวอยู่อย่างนี้ เห็นอยู่ อย่างนี้ ด้วยคำที่ไม่มีจริง ด้วยคำเปล่า ด้วยคำมุสา ด้วยคำที่ไม่เป็นจริงว่า พระสมณ โคดม และพวกภิกษุวิปริตไปแล้ว เพราะพระสมณโคดม ตรัสอย่างนี้ว่า สมัยใด พระโยคาวจร เข้าสุภวิโมกข์อยู่ สมัยนั้น ย่อมทราบชัดซึ่งสิ่งทั้งปวงว่าไม่งาม

          ดูกรภัคควะ ก็เราไม่ได้กล่าวอย่างนี้เลยว่า สมัยใด พระโยคาวจร ย่อมเข้า สุภวิโมกข ์อยู่ สมัยนั้น ย่อมทราบชัดซึ่งสิ่งทั้งปวงว่า ไม่งาม แต่เราย่อมกล่าว อย่างนี้ว่า สมัยใด พระโยคาวจร ย่อมเข้าสุภวิโมกข์อยู่ สมัยนั้น ย่อมทราบชัดแต่สิ่ง ที่งามเท่านั้น และผู้ที่ชื่อว่าวิปริตไปแล้ว ก็คือผู้ที่กล่าวร้ายพระผู้มีพระภาค และพวก ภิกษุ เพราะตนวิปริตไปเองว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เลื่อมใสในพระผู้มี พระภาค อย่างนี้ พระผู้มีพระภาค ทรงสามารถแสดงธรรมให้ข้าพระองค์ เข้าถึง สุภวิโมกข์อยู่

          ดูกรภัคควะ การที่ท่านผู้มีความเห็นไปทางหนึ่ง มีความพอใจไปทางหนึ่ง มีความชอบใจไปทางหนึ่ง ไม่มีความเพียรเป็นเครื่องประกอบ ไม่มีลัทธิอาจารย์ จะเข้าถึงสุภวิโมกข์อยู่ เป็นของยากมาก ขอให้ท่านจงพยายามรักษาความเลื่อมใส ในเราเท่าที่ท่านมีอยู่ให้ดีก็พอ

          ปริพาชกชื่อภัคควโคตร จึงกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าว่าการที่ ข้าพระองค์ ผู้มีความเห็นไปทางหนึ่ง มีความพอใจไปทางหนึ่ง มีความชอบใจ ไปทางหนึ่ง ไม่มีความเพียรเป็นเครื่องประกอบ ไม่มีลัทธิอาจารย์เข้าถึงสุภวิโมกข์อยู่ เป็นของยาก ไซร้ ข้าพระองค์ ก็จักพยายามรักษาความเลื่อมใส ในพระผู้มีพระภาค เท่าที่ข้าพระองค์ มีอยู่ให้ดี

          พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสพุทธพจน์นี้แล้ว ปริพาชกชื่อภัคควโคตร ยินดี ชื่นชม เพลิดเพลินพระภาษิตของพระผู้มีพระภาค แล้วแล

จบ ปาฏิกสูตร ที่ ๑










 





พุทธวจน : อ่านคำสอนพระศาสดา อ่านแบบสบายตา โดยคัดลอกหนังสือทั้งเล่มมาจัดทำเป็นเว็บเพจ (คลิกอ่านพร้อมดาวน์โหลดไฟล์ pdf)
90 90 90 90
พุทธประวัติ ขุมทรัพย์ อริยสัจ
ภาคต้น
อริยสัจ
ภาคปลาย
ปฏิจจ ปฐมธรรม ตถาคต อนาคามี อินทรีย์
สังวร
สัตว์
สัตตานัง
ทาน
สกทาคามี
ฆราวาส
ชั้นเลิศ
มรรควิธี
ที่ง่าย
อริยวินัย เดรัจฉานวิชา กรรม สมถะ
วิปัสสนา
โสดาบัน นา
ปานสติ
จิต มโน
วิญญาณ
ก้าวย่าง
อย่างพุทธะ
ตามรอย
ธรรม
ภพ ภูมิ
พุทธวจน
สาธยาย
ธรรม
สังโยชน์