เว็บไซต์ อนาคามี เผยแพร่ พุทธวจน คำสอนของพระศาสดา คำสอนตถาคต รวมพระสูตรสำคัญ อนาคามี เว็บไซต์เผยแพร่คำสอนของพระพุทธเจ้า
ค้นหาคำที่ต้องการ            

 
ยมกภิกษุ คิดว่าพระขีณาสพตายแล้วสูญ... นี่เป็นทิฐิลามก 1500
 

(โดยย่อ)

ยมกสูตร พระขีณาสพ(อรหันต์) ตายแล้วสูญหรือไม่
ยมกภิกษุ คิดว่าตนเองรู้ธรรมทั่วถึง คิดว่าพระขีณาสพ (พระอรหันต์) เมื่อตายไปแล้ว ย่อมขาดสูญ ย่อมไม่เกิดอีกจริง ภิกษุทั้งหลายที่ได้ยิน ยมก เกิดทิฐิลามกเช่นนั้นจึงกล่าวว่า

ภิกษุ ท. ดูกรอาวุโสยมกะ ท่านอย่าพูดอย่างนั้น เพราะพระองค์ ไม่ตรัสอย่างนี้
แต่ ยมกภิกษุ ก็ยืนยันความเชื่อนั้นอยู่ จึงพากันไปหาพระสารีบุตร

สา. ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน รูปเที่ยง หรือไม่เที่ยง?
ย. ไม่เที่ยง..
(เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็ไม่เที่ยงเช่นกัน)
—---------------------------------------------------------
สา. ท่านเห็นรูป ว่าเป็นสัตว์ เป็นบุคคลหรือ?
ย. ไม่ใช่อย่างนั้น ท่าน.
(เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็ไม่เป็นสัตว์เป็นบุคคลเช่นกัน)
—---------------------------------------------------------
สา. ท่านเห็นว่า สัตว์บุคคล มีในรูปหรือ?
ย. ไม่ใช่อย่างนั้น ท่าน
(เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็ไม่มีในรูปเช่นกัน)
—------------------------------------------------------
สา. โดยที่แท้ ท่านจะค้นหา สัตว์บุคคล ในขันธ์ ๕ เหล่านี้ ในปัจจุบันไม่ได้เลย
ควรแล้วหรือที่ท่านจะยืนยันว่ารู้ทั่วถึงธรรม ว่าพระขีณาสพเมื่อตายไป ย่อมขาดสูญ ย่อมไม่เกิดอีก
ย. เมื่อก่อนผมไม่รู้อย่างนี้ แต่เดี๋ยวนี้ผมก็ได้บรรลุธรรมแล้ว เพราะฟังธรรมของท่านพระสารีบุตร
—-------------------------------------------------------
สา. ถ้าท่านถูกถามว่า พระอรหันตขีณาสพ เมื่อตายไปแล้วย่อมเป็นอะไร ท่านจะแก้ว่าอย่างไร ?
ย.พึงกล่าวว่า
รูป
ไม่เที่ยง
สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์
สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นดับไปแล้ว ถึงแล้วซึ่งการตั้งอยู่ไม่ได้
สา. ดีละๆ ยมกะ
—------------------------------------------------
ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ย่อม…
ย่อมเห็นรูป โดยความเป็นตน
ย่อมเห็นตน มีรูป
ย่อมเห็นรูป ในตน
ย่อมเห็นตน ในรูป
(เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็เช่นกัน)

เขาย่อมไม่รู้ชัด ตามความเป็นจริง ซึ่งรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันไม่เที่ยงว่า
ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา อันปัจจัยแต่ง
อันเป็นผู้ฆ่า ว่าเป็นผู้ฆ่า ว่าเป็นตัวตนของเรา

อุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้ อันปุถุชนนั้นเข้าไปถือมั่น ยึดมั่นแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อสิ่งมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล เพื่อทุกข์ตลอดกาลนาน

ส่วนปุถุชนผู้ได้สดับ ย่อม เห็นตรงกันข้ามกับที่กว่าวมา… คือ
- ไม่เห็นรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ โดยความเป็นตน
- รู้ชัดตามความเป็นจริงซึ่ง รูป เวทนา… ว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา …

อุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้ อันอริยสาวกนั้น ไม่เข้าไปถือมั่น ยึดมั่นแล้ว ย่อมเป็นไป เพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อสุขตลอดกาลนาน

เรื่องสำคัญของพระพุทธเจ้า
การบำเพ็ญบารมีในอดีตชาติ
การประสูติ แสงสว่าง แผ่นดินไหว
แสวงหาสัจจะบำเพ็ญทุกรกิริยา
ปัญจวัคคีย์หลีก สิ่งที่ตรัสรู้
ตรัสรู้ แสดงเทศนาปัญจวัคคีย์
ปลงสังขาร ปรินิพพาน
ลำดับขั้นการปรินิพพาน
เทวดาแสดงฤทธิ์ขณะถวายเพลิง
แบ่งพระสรีระออกเป็น ๘ ส่วน
รวมพระสูตร
พระโมคคัลลานะ
พระสารีบุตร
พระเทวทัต
นิครนถ์ปริพาชก
พระมหากัปปินะ
(ดูทั้งหมด)

 

พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๗ หน้าที่ ๑๐๖

๓. ยมกสูตร
ว่าด้วยพระขีณาสพตายแล้วสูญหรือไม่

             [๑๙๘] สมัยหนึ่ง ท่านพระสารีบุตร อยู่ที่พระวิหารเชตวัน อารามของ ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี. ก็โดยสมัยนั้นแล ยมกภิกษุ เกิดทิฏฐิ อันชั่วช้าเห็นปานนี้ว่าเราย่อมรู้ทั่วถึงธรรม ตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้วว่า พระขีณาสพเมื่อตายไปแล้วย่อมขาดสูญ ย่อมพินาศ ย่อมไม่เกิดอีก

             ภิกษุหลายรูป ได้ฟังแล้วว่า ได้ยินว่า ยมกภิกษุ เกิดทิฏฐิอันชั่วช้า เป็นปานนี้ว่า เรารู้ทั่วถึงธรรม ตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้วว่า พระขีณาสพ เมื่อตายไปแล้ว ย่อมขาดสูญ ย่อมพินาศ ย่อมไม่เกิดอีก

             ครั้งนั้นภิกษุเหล่านั้น จึงพากันเข้าไปหาท่านยมกภิกษุถึงที่อยู่ ได้สนทนา ปราศรัย กับท่านยมกภิกษุ ครั้นผ่านการสนทนาปราศรัยชวนให้ระลึก ถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.

              ครั้นแล้ว จึงถามท่านยมกภิกษุว่าดูกรท่านยมกะ ทราบว่า ท่านเกิดทิฏฐิ อันชั่วช้า เห็นปานนี้ว่า เรารู้ว่าทั่วถึงธรรม ตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้วว่า พระขีณาสพเมื่อตายไปแล้ว ย่อมขาดสูญ ย่อมพินาศ ย่อมไม่เกิดอีกจริง หรือ? ท่านยมกะกล่าวว่า อย่างนั้น อาวุโส

             ภิ. ดูกรอาวุโสยมกะ ท่านอย่าได้พูดอย่างนั้น อย่าได้กล่าวตู่ พระผู้มี พระภาค เพราะการกล่าวตู่พระผู้มีพระภาคไม่ดีเลย เพราะพระผู้มีพระภาคไม่พึง ตรัสอย่างนี้ ว่าพระขีณาสพเมื่อตายไปแล้ว ย่อมขาดสูญ ย่อมพินาศ ย่อมไม่เกิดอีก

             ท่านยมกะ เมื่อถูกภิกษุเหล่านั้นกล่าวแม้อย่างนี้ ยังขืนกล่าวถือทิฏฐิ อันชั่วช้านั้น อย่างหนักแน่นอย่างนั้นว่า เรารู้ทั่วถึงธรรม ตามที่พระผู้มีพระภาค ทรงแสดงแล้วว่า พระขีณาสพเมื่อตายไปแล้ว ย่อมขาดสูญ ย่อมพินาศ ย่อมไม่เกิดอีก

             ภิกษุเหล่านั้น ย่อมไม่อาจเพื่อจะยังท่านยมกะ ให้ถอนทิฏฐิอันชั่วช้านั้นได้ จึงลุกจากอาสนะ เข้าไปหาท่านพระสารีบุตรจนถึงที่อยู่ ครั้นแล้ว จึงกล่าวกะท่าน พระสารีบุตรว่า ข้าแต่ท่านสารีบุตร ยมกภิกษุเกิดทิฏฐิอันชั่วช้าเห็นปานนี้ว่า เรารู้ทั่ว ถึงธรรม ตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้วว่า พระขีณาสพเมื่อตายไปแล้ว ย่อม ขาดสูญ ย่อมพินาศ ย่อมไม่เกิดอีก ขอโอกาสนิมนต์ท่านพระสารีบุตร ไปหายมก ภิกษุถึงที่อยู่ เพื่ออนุเคราะห์เถิด. ท่านพระสารีบุตรรับนิมนต์โดยดุษณีภาพ

             [๑๙๙] ครั้งนั้น เวลาเย็น ท่านพระสารีบุตร ออกจากที่พักผ่อนแล้ว เข้าไปหาท่านยมกะถึงที่อยู่ ได้สนทนาปราศรัยกับท่านยมกะ ครั้นผ่านการสนทนา ปราศรัย พอให้ระลึกถึงกันไปแล้วจึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้ถามท่าน ยมกะว่า

             ดูกรอาวุโสยมกะ ทราบว่า ท่านเกิดทิฏฐิอันชั่วช้าเห็นปานนี้ว่า เรารู้ทั่วถึง ธรรม ตามที่พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้วว่า พระขีณาสพเมื่อตายไปแล้ว ย่อม ขาดสูญ ย่อมพินาศ ย่อมไม่เกิดอีก ดังนี้ จริงหรือ? ท่านยมกะตอบว่าอย่างนั้นแล ท่านสารีบุตร.

       สา. ดูกรท่านยมกะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน รูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง?
       ย. ไม่เที่ยง ท่าน ฯลฯ

       สา. เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เที่ยงหรือไม่เที่ยง?
       ย. ไม่เที่ยง ท่าน ฯลฯ

      สา. เพราะเหตุนี้นั้นแล ยมกะ พระอริยสาวกผู้ใดสดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ฯลฯ รู้ชัดว่า ฯลฯ กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มีอีก

             [๒๐๐] สา. ดูกรท่านยมกะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ท่านเห็นรูป ว่าเป็นสัตว์เป็นบุคคลหรือ?
      ย. ไม่ใช่อย่างนั้น ท่าน.

      สา. ท่านเห็นเวทนาว่าสัตว์เป็นบุคคลหรือ?
      ย. ไม่ใช่อย่างนั้น ท่าน.

      สา. ท่านเห็นสัญญาว่าเป็นสัตว์เป็นบุคคลหรือ?
      ย. ไม่ใช่อย่างนั้น ท่าน.

      สา. ท่านเห็นสังขารว่าเป็นสัตว์เป็นบุคคลหรือ?
      ย. ไม่ใช่อย่างนั้น ท่าน.

      สา. ท่านเห็นวิญญาณว่าเป็นสัตว์เป็นบุคคลหรือ?
      ย. ไม่ใช่อย่างนั้น ท่าน.

             [๒๐๑] สา. ดูกรท่านยมกะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ท่านเห็นว่า สัตว์บุคคลมีในรูปหรือ?
      ย. ไม่ใช่อย่างนั้น ท่าน.
      สา. ท่านเห็นว่าสัตว์บุคคลอื่นจากรูปหรือ?
      ย. ไม่ใช่อย่างนั้น ท่าน.

      สา. ท่านเห็นว่าสัตว์บุคคลมีในเวทนาหรือ?
      ย. ไม่ใช่อย่างนั้น ท่าน.
      สา. ท่านเห็นว่าสัตว์บุคคลอื่นจากเวทนาหรือ?
      ย. ไม่ใช่อย่างนั้น ท่าน.

      สา. ท่านเห็นว่าสัตว์บุคคลมีในสัญญาหรือ?
      ย. ไม่ใช่อย่างนั้น ท่าน.
      สา. ท่านเห็นว่าสัตว์บุคคลมีในสังขารหรือ?
      ย. ไม่ใช่อย่างนั้น ท่าน.

      สา. ท่านเห็นว่าสัตว์บุคคลอื่นจากสังขารหรือ?
      ย. ไม่ใช่อย่างนั้น ท่าน.

      สา. ท่านเห็นว่าสัตว์บุคคลมีในวิญญาณหรือ?
      ย. ไม่ใช่อย่างนั้น ท่าน.
      สา. ท่านเห็นว่าสัตว์บุคคลอื่นจากวิญญาณหรือ?
      ย. ไม่ใช่อย่างนั้น ท่าน.

-------------------------------------------------------------------------------------------------

             [๒๐๒] สา. ดูกรยมกะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ท่านเห็นรูป เวทนาสัญญา สังขาร วิญญาณ ว่าเป็นสัตว์บุคคลหรือ?
       ย. ไม่ใช่อย่างนั้น ท่าน.

             [๒๐๓] สา. ดูกรท่านยมกะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ท่านเห็น ว่าสัตว์บุคคลนี้นั้นไม่มีรูป ไม่มีเวทนา ไม่มีสัญญา ไม่มีสังขาร ไม่มีวิญญาณ หรือ?
       ย. ไม่ใช่อย่างนั้น ท่าน.

             สา. ดูกรท่านยมกะ ก็โดยที่จริง โดยที่แท้ ท่านจะค้นหาสัตว์บุคคล ใน ขันธ์ ๕ เหล่านี้ในปัจจุบันไม่ได้เลย ควรแลหรือ ที่ท่านจะยืนยันว่า เรารู้ทั่วถึง ธรรม ตามที่ พระผู้มีพระภาคทรงแสดงแล้วว่า พระขีณาสพเมื่อตายไปแล้ว ย่อม ขาดสูญ ย่อมพินาศ ย่อมไม่เกิดอีก.

             ย. ข้าแต่ท่านพระสารีบุตร เมื่อก่อนผมไม่รู้อย่างนี้ จึงได้เกิดทิฏฐิอันชั่วช้า อย่างนั้น แต่เดี๋ยวนี้ ผมละทิฏฐิอันชั่วช้านั้นได้แล้ว และผมก็ได้บรรลุธรรมแล้ว เพราะฟังธรรมเทศนานี้ ของท่านพระสารีบุตร.

             [๒๐๔] สา. ดูกรท่านยมกะ ถ้าชนทั้งหลาย พึงถามท่านอย่างนี้ว่า ท่านยมกะ ภิกษุผู้ที่เป็นพระอรหันตขีณาสพ เมื่อตายไปแล้ว ย่อมเป็นอะไร ท่านถูกถามอย่างนั้น จะพึงกล่าวแก้ว่าอย่างไร ?

             ย. ข้าแต่ท่านสารีบุตร ถ้าเขาถามอย่างนั้น ผมพึงกล่าวแก้อย่างนี้ว่า รูปแลไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นดับไปแล้ว ถึงแล้วซึ่งการตั้งอยู่ไม่ได้ เวทนาสัญญา สังขาร วิญญาณไม่เที่ยง สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์ สิ่งนั้นดับไปแล้ว ถึงแล้วซึ่งการตั้งอยู่ไม่ได้ ข้าแต่ท่านสารีบุตร ผมถูกเขาถามอย่างนั้น พึงกล่าวแก้อย่างนี้

             [๒๐๕] สา. ดีละๆ ยมกะ ถ้าอย่างนั้น เราจักอุปมาให้ท่านฟัง เพื่อหยั่งรู้ ความข้อนั้นให้ยิ่งๆ ขึ้น. ดูกรท่านยมกะ เปรียบเหมือนคฤหบดี หรือบุตรของคฤหบดี ผู้มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก และเขารักษาตัวกวดขัน เกิดมีบุรุษคนหนึ่ง ประสงค์ความพินาศ ประสงค์ความไม่เป็นประโยชน์ ประสงค์ความไม่ปลอดภัย อยากจะปลงชีวิตเขาเสีย เขาพึงมีความคิดอย่างนี้ว่าคฤหบดีและบุตรคฤหบดีนี้ เป็นคนมั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคะมาก และเขามีการรักษาอย่างกวดขัน การที่จะ อุกอาจปลงชีวิตนี้ ไม่ใช่เป็นการทำได้ง่ายเลย อย่ากระนั้นเลย เราพึงใช้อุบาย ปลงชีวิต.

              บุรุษนั้น พึงเข้าไปหาคฤหบดีหรือบุตรคฤหบดีนั้นแล้ว พึงกล่าวอย่างนี้ว่า ผมขอเป็นคนรับใช้ท่าน.

             คฤหบดีหรือบุตรคฤหบดีนั้น พึงรับบุรุษนั้นไว้ใช้ เขาพึงรับใช้เรียบร้อยดี ทุกประการคือ มีปรกติตื่นก่อน นอนภายหลัง คอยฟังคำสั่ง ประพฤติให้เป็นที่พอใจ กล่าวแต่วาจาเป็นที่รักใคร่ คฤหบดีหรือบุตรคฤหบดีนั้น เชื่อเขาโดยความเป็นมิตร โดยความเป็นสหาย และถึงความไว้วางใจในเขา.

             เมื่อใด บุรุษนั้นพึงคิดว่า คฤหบดีหรือบุตรคฤหบดี ไว้ใจเราดีแล้ว เมื่อนั้น บุรุษนั้นรู้ว่า คฤหบดีหรือบุตรคฤหบดีอยู่ในที่ลับ พึงปลงชีวิตเสียด้วยศาตราอันคม.

             ท่านยมกะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ในกาลใด บุรุษนั้นเข้าไป หาคฤหบดี หรือบุตรคฤหบดีโน้นแล้ว กล่าวอย่างนี้ว่า ผมขอรับใช้ท่านแม้ในกาลนั้น เขาก็ชื่อว่าเป็นผู้ฆ่าอยู่แล้ว ก็แต่คฤหบดีหรือบุตรคฤหบดีนั้น หารู้จักบุรุษผู้ฆ่าว่า เป็นผู้ฆ่าเราไม่.

             ในกาลใด บุรุษนั้นตื่นก่อน นอนภายหลังคอยฟังคำสั่ง ประพฤติให้เป็น ที่พอใจ กล่าวแต่วาจาเป็นที่รักใคร่ แม้ในกาลนั้น เขาก็ชื่อว่าเป็นผู้ฆ่าอยู่แล้ว ก็แต่ คฤหบดี หรือบุตรคฤหบดีนั้น หารู้จักบุรุษผู้ฆ่านั้นว่า เป็นผู้ฆ่าเราไม่.

              และในกาลใด บุรุษนั้นรู้ว่า คฤหบดีหรือบุตรคฤหบดีนั้นอยู่ในที่ลับ จึงปลงชีวิตเสีย ด้วยศาตราอันคมแม้ในกาลนั้น เขาเป็นผู้ฆ่านั่นเอง ก็แต่คฤหบดี หรือบุตรคฤหบดีนั้น หารู้จักบุรุษนั้นว่าเป็นผู้ฆ่าเราไม่.

ย. อย่างนั้น ท่าน.

             [๒๐๖] สา. ดูกรท่านยมกะ ข้ออุปมานี้ฉันใด ปุถุชนผู้มิได้สดับ ไม่ได้เห็น พระอริยะทั้งหลาย ไม่ฉลาดในอริยธรรม ไม่ได้รับแนะนำในอริยธรรม ไม่ได้เห็น สัตบุรุษ ทั้งหลาย ไม่ฉลาดในสัปปุริสธรรม ไม่ได้รับแนะนำในสัปปุริสธรรม ก็ฉันนั้นเหมือนกัน
ย่อมเห็นรูป โดยความเป็นตน
ย่อมเห็นตนมีรูป
ย่อมเห็นรูปในตน หรือ
ย่อมเห็นตนในรูป
ย่อมเห็นเวทนาโดยความเป็นตน ฯลฯ
ย่อมเห็นสัญญา โดยความเป็นตน ฯลฯ
ย่อมเห็นสังขาร โดยความเป็นตน ฯลฯ
ย่อมเห็นวิญญาณ โดยความเป็นตน
ย่อมเห็นตนมีวิญญาณ
ย่อมเห็นวิญญาณในตน หรือ
ย่อมเห็นตนในวิญญาณ.

             เขาย่อมไม่รู้ชัด ตามความเป็นจริงซึ่งรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันไม่เที่ยงว่า ไม่เที่ยง
              ย่อมไม่รู้ชัดตามความเป็นจริงซึ่งรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันเป็นทุกข์ว่า เป็นทุกข์
              ย่อมไม่รู้ชัดตามความเป็นจริงซึ่งรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันเป็นอนัตตาว่า เป็นอนัตตา
              ย่อมไม่รู้ชัดตามความเป็นจริงซึ่งรูป เวทนา สัญญา สังขารวิญญาณ อันปัจจัยปรุงแต่งว่า อันปัจจัยแต่ง
              ย่อมไม่รู้ชัดตามความเป็นจริงซึ่งรูป เวทนา สัญญาสังขาร วิญญาณ อันเป็นผู้ฆ่า ว่าเป็นผู้ฆ่า.

             เขาย่อมเข้าไปถือมั่น ยึดมั่น ซึ่งรูป เวทนา สัญญาสังขาร วิญญาณว่า เป็นตัวตนของเรา.

             อุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้ อันปุถุชนนั้นเข้าไปถือมั่น ยึดมั่นแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อสิ่งมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล เพื่อทุกข์ตลอดกาลนาน

             [๒๐๗] ดูกรท่านยมกะ ส่วนพระอริยสาวกผู้สดับแล้ว ได้เห็นพระอริยะ ทั้งหลาย ฉลาดในอริยธรรม ได้รับแนะนำในอริยธรรมดีแล้ว ได้เห็นสัตบุรุษทั้งหลาย ฉลาดในสัปปุริสธรรมได้รับแนะนำในสัปปุริสธรรมดีแล้ว
ย่อมไม่เห็นรูป โดยความเป็นตน
ย่อมไม่เห็นตน มีรูป
ย่อมไม่เห็นรูป ในตน หรือ
ย่อมไม่เห็นตน ในรูป
ย่อมไม่เห็นเวทนา โดยความเป็นตน ฯลฯ
ย่อมไม่เห็นสัญญา โดยความเป็นตน ฯลฯ
ย่อมไม่เห็นสังขาร โดยความเป็นตน ฯลฯ
ย่อมไม่เห็นวิญญาณ โดยความเป็นตน
ย่อมไม่เห็นตน มีวิญญาณ
ย่อมไม่เห็นวิญญาณ ในตน
หรือย่อมไม่เห็นตน ในวิญญาณ.

             เขาย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงซึ่งรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อัน ไม่เที่ยงว่าไม่เที่ยง.
             ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงซึ่งรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อัน เป็นทุกข์ ว่าเป็นทุกข์.
             ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงซึ่งรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อันเป็น อนัตตาว่า เป็นอนัตตา.
             ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงซึ่งรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อัน ปัจจัยปรุงแต่ง ว่าปัจจัยปรุงแต่ง.
             ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงซึ่งรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ อัน เป็นผู้ฆ่า ว่าเป็นผู้ฆ่า.
             เขาย่อมไม่เข้าไปถือมั่น ยึดมั่น ซึ่งรูป เวทนา สัญญา สังขารวิญญาณว่า เป็นตัวตนของเรา.

             อุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้ อันอริยสาวกนั้น ไม่เข้าไปถือมั่น ยึดมั่นแล้ว ย่อมเป็นไป เพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อสุขตลอดกาลนาน.

             ย. ข้าแต่ท่านสารีบุตร ข้อที่เพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย ของท่านผู้มีอายุ ทั้งหลาย ผู้เช่นนั้น เป็นผู้อนุเคราะห์ ใคร่ประโยชน์ เป็นผู้ว่ากล่าวพร่ำสอน ย่อมเป็นอย่างนั้นแท้ ก็แลจิตของผมหลุดพ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย ไม่ถือมั่น เพราะได้ฟังธรรมเทศนานี้ของท่านสารีบุตร.

 






พุทธวจน : อ่านคำสอนพระศาสดา อ่านแบบสบายตา โดยคัดลอกหนังสือทั้งเล่มมาจัดทำเป็นเว็บเพจ (คลิกอ่านพร้อมดาวน์โหลดไฟล์ pdf)
90 90 90 90
พุทธประวัติ ขุมทรัพย์ อริยสัจ
ภาคต้น
อริยสัจ
ภาคปลาย
ปฏิจจ ปฐมธรรม ตถาคต อนาคามี อินทรีย์
สังวร
สัตว์
สัตตานัง
ทาน
สกทาคามี
ฆราวาส
ชั้นเลิศ
มรรควิธี
ที่ง่าย
อริยวินัย เดรัจฉานวิชา กรรม สมถะ
วิปัสสนา
โสดาบัน นา
ปานสติ
จิต มโน
วิญญาณ
ก้าวย่าง
อย่างพุทธะ
ตามรอย
ธรรม
ภพ ภูมิ
พุทธวจน
สาธยาย
ธรรม
สังโยชน์