เว็บไซต์ อนาคามี เผยแพร่ พุทธวจน คำสอนของพระศาสดา คำสอนตถาคต รวมพระสูตรสำคัญ อนาคามี เว็บไซต์เผยแพร่คำสอนของพระพุทธเจ้า
ค้นหาคำที่ต้องการ            

 
ท่านพระสารีบุตร กับ ท่านพระมหาโกฏฐิตะ สนทนาเรื่องปฏิจจสมุปบาท 1449
 

(โดยย่อ)

ท่านพระมหาโกฏฐิตะ (ถาม)
ดูก่อนท่านสารีบุตร ชรามรณะ เป็นสิ่งที่บุคคล กระทำเองหรือหนอ?

ท่านพระสารีบุตร (ตอบ)
- ชรามรณะ เป็นสิ่งที่บุคคล กระทำเอง ก็ไม่ใช่
- ชรามรณะ เป็นสิ่งที่บุคคลอื่น กระทำ ก็ไม่ใช่
- ชรามรณะ เป็นสิ่งที่บุคคลกระทำเองด้วย บุคคลอื่นกระทำด้วย ก็ไม่ใช่
- ทั้งชรามรณะ จะเป็นสิ่งที่ไม่ใช่บุคคลกระทำเอง หรือบุคคลอื่นกระทำก็เกิดขึ้นได้ ก็ไม่ใช่
- แต่ว่าเพราะมีชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรามรณะ
- ชาติ อุปาทาน ตัณหา เวทนา ผัสสะ สฬายตนะ นามรูป วิญญาณ พระสารีบุตร ก็ตอบทำนองเดียว กับ ชรามรณะ

เปรียบเหมือนไม้อ้อสองกำ จะพึงตั้งอยู่ได้ ก็เพราะอาศัยซึ่งกันและกันฉันใด ข้อนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกัน
  เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ
  เพราะมีวิญญาณเป็นปัจจัยจึงมีนามรูป
  เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัยจึงมีสฬายตนะ
  ฯลฯ

ไม้อ้อสองกำนั้นถ้าบุคคล ดึงเอาออกเสียกำหนึ่ง อีกกำหนึ่งก็พึงล้มไปฉันใด ข้อนี้ก็ฉันนั้น คือ
  เพราะความดับแห่งนามรูป จึงมีความดับแห่งวิญญาณ
  เพราะมีความดับแห่งวิญญาณ จึงมีความดับแห่งนามรูป
  เพราะมีความดับแห่งนามรูป จึงมีความดับแห่งสฬายตนะ
  ฯลฯ
-------------------------------------------------------------------------------------------------
ถ้าภิกษุเป็นผู้ปฏิบิติแล้ว เพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อความคลายกำหนัด เพื่อความดับไม่เหลือ แห่งชรา และมรณะ...ฯลฯ อยู่ไซร้ ก็เป็นการสมควรเพื่อจะเรียกภิกษุนั้นว่า 
  -ภิกษุผู้ปฏิบัติสมควรแก่ธรรมแล้ว
  -ภิกษุธรรมกถึก
  -ภิกษุผู้บรรลุแล้วซึ่งนิพพานในทิฏฐธรรม


เรื่องสำคัญของพระพุทธเจ้า
การบำเพ็ญบารมีในอดีตชาติ
การประสูติ แสงสว่าง แผ่นดินไหว
แสวงหาสัจจะบำเพ็ญทุกรกิริยา
ปัญจวัคคีย์หลีก สิ่งที่ตรัสรู้
ตรัสรู้ แสดงเทศนาปัญจวัคคีย์
ปลงสังขาร ปรินิพพาน
ลำดับขั้นการปรินิพพาน
เทวดาแสดงฤทธิ์ขณะถวายเพลิง
แบ่งพระสรีระออกเป็น ๘ ส่วน
รวมพระสูตร
พระโมคคัลลานะ
พระสารีบุตร
พระเทวทัต
นิครนถ์ปริพาชก
พระมหากัปปินะ
(ดูทั้งหมด)

 


ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ์ หน้า514

การสนทนาของพระมหาสาวก (เรื่องปฏิจจสมุปบาท)



           ครั้งนั้น ท่านพระสารีบุตร กับ ท่านพระมหาโกฏฐิตะ อยู่ ณ ป่าอิสะปตน มฤคทายวัน ใกล้เมือง พาราณสี. ครั้งนั้น ท่านพระมหาโกฏฐิตะออกจาก ที่หลีกเร้น ในเวลาเย็น เข้าไปหาพระสารีบุตร ถึงที่อยู่แล้วได้กล่าวคำนี้กะท่าน พระสารีบุตรว่า

           ดูก่อนท่านสารีบุตร ชรามรณะ เป็นสิ่งที่บุคคล กระทำเองหรือหนอ? หรือว่าชรามรณะ เป็นสิ่งที่บุคคลอื่นกระทำ? ชรามรณะเป็นสิ่งที่บุคคลกระทำเองด้วย บุคคลอื่นกระทำ ด้วยหรือ? หรือว่าชรามรณะ เป็นสิ่งที่ไม่ใช่บุคคลกระทำเอง หรือ บุคคลอื่นกระทำ ก็เกิดขึ้นได้เล่า?

           ท่านพระสารีบุตร ได้ตอบว่า ดูก่อนท่านโกฏฐิตะ
ชรามรณะเป็นสิ่งที่บุคคลกระทำเอง ก็ไม่ใช่
ชรามรณะเป็นสิ่งที่บุคคลอื่นกระทำ ก็ไม่ใช่
ชรามรณะเป็นสิ่งที่บุคคลกระทำเองด้วย บุคคลอื่นกระทำด้วย ก็ไม่ใช่ ทั้งชรามรณะจะเป็นสิ่งที่ไม่ใช่บุคคลกระทำเอง หรือบุคคลอื่นกระทำก็เกิดขึ้นได้ ก็ ไม่ใช่ แต่ว่า เพราะมีชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรามรณะ

           ท่านพระมหาโกฏฐิตะ ได้ถามอีกว่า ดูก่อนท่านสารีบุตร ชาติ เป็นสิ่งที่บุคคล กระทำเอง หรือ หนอ? หรือว่าชาติเป็นสิ่งที่บุคคลอื่นกระทำ? ชาติเป็นสิ่งที่บุคคล กระทำเอง ด้วย บุคคลอื่นกระทำ ด้วยหรือ? หรือว่าชาติเป็นสิ่งที่ไม่ใช่บุคคล กระทำเอง หรือ บุคคลอื่นกระทำก็เกิดขึ้นได้เล่า?

           ท่านพระสารีบุตร ได้ตอบว่า ดูก่อนท่านโกฏฐิตะ ชาติเป็นสิ่งที่บุคคลกระทำ เอง ก็ไม่ใช่ ชาติ เป็นสิ่งที่บุคคลอื่นกระทำ ก็ไม่ใช่ ชาติ เป็นสิ่งที่บุคคลกระทำเอง ด้วย บุคคลอื่นกระทำด้วย ก็ไม่ใช่ ทั้งชาติ จะเป็นสิ่งที่ไม่ใช่บุคคลกระทำเอง หรือ บุคคลอื่น กระทำก็เกิดขึ้นได้ ก็ไม่ใช่ แต่ว่า เพราะมีภพเป็นปัจจัยจึงมีชาติ

           ท่านพระมหาโกฏฐิตะ ได้ถามอีกว่า ดูก่อนท่านสารีบุตร ภพ เป็นสิ่งที่บุคคล กระทำเอง หรือ หนอ? หรือว่าภพ เป็นสิ่งที่บุคคลอื่นกระทำ? ภพ เป็นสิ่งที่บุคคล กระทำเองด้วย บุคคลอื่นกระทำ ด้วยหรือ? หรือว่าภพ เป็นสิ่งที่ไม่ใช่บุคคลกระทำเอง หรือบุคคลอื่น กระทำ ก็เกิดขึ้นได้ เล่า?

           ท่านพระสารีบุตร ได้ตอบว่า ดูก่อนท่านโกฏฐิตะ ภพเป็นสิ่งที่บุคคล กระทำเอง ก็ไม่ใช่ ภพ เป็นสิ่งที่บุคคลอื่นกระทำ ก็ไม่ใช่ ภพ เป็นสิ่งที่บุคคล

กระทำเองด้วย บุคคลอื่นกระทำด้วย ก็ไม่ใช่ ทั้งภพ จะเป็นสิ่งที่ไม่ใช่บุคคลกระทำ เอง หรือ บุคคลอื่นกระทำก็เกิดขึ้นได้ ก็ไม่ใช่ แต่ว่า เพราะมีอุปทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ

           ท่านพระมหาโกฏฐิตะ ได้ถามอีกว่า ดูก่อนท่านสารีบุตร อุปาทาน เป็นสิ่งที่ บุคคล กระทำเอง หรือ? หรือว่า เป็นสิ่งที่บุคคลอื่นกระทำ? อุปาทาน เป็นสิ่งที่บุคคล กระทำ เองด้วย บุคคลอื่น กระทำด้วยหรือ? หรือว่าเป็นสิ่งที่ไม่ใช่บุคคลกระทำเอง หรือ บุคคลอื่น กระทำก็เกิดขึ้นได้ เล่า?

           ท่านพระสารีบุตร ได้ตอบว่า ดูก่อนท่านโกฏฐิตะ อุปาทานเป็นสิ่งที่บุคคล กระทำเอง ก็ไม่ใช่เป็นสิ่งที่บุคคลอื่นกระทำ ก็ไม่ใช่ อุปาทาน เป็นสิ่งที่บุคคล กระทำเองด้วย บุคคลอื่นกระ ทำด้วย ก็ไม่ใช่ ทั้งจะเป็นสิ่งที่ไม่ใช่บุคคลกระทำเอง หรือบุคคลอื่นกระทำก็เกิดขึ้นได้ ก็ไม่ใช่ แต่ว่า เพราะมีตัณหาเป็นปัจจัย จึงมี อุปาทาน

           ท่านพระมหาโกฏฐิตะ ได้ถามอีกว่า ดูก่อนท่านสารีบุตร ตัณหา เป็นสิ่งที่ บุคคลกระทำ เองหรือ? หรือว่า เป็นสิ่งที่บุคคลอื่นกระทำ? ตัณหา เป็นสิ่งที่บุคคล กระทำเองด้วย บุคคลอื่นกระทำ ด้วย หรือ? หรือว่าเป็นสิ่งที่ไม่ใช่บุคคลกระทำเอง หรือบุคคลอื่น กระทำ ก็เกิดขึ้นได้ เล่า?

           ท่านพระสารีบุตร ได้ตอบว่า ดูก่อนท่านโกฏฐิตะ ตัณหาเป็นสิ่งที่บุคคล กระทำเอง ก็ไม่ใช่ เป็นสิ่ง ที่บุคคลอื่นกระทำ ก็ไม่ใช่ ตัณหา เป็นสิ่งที่บุคคล กระทำเองด้วย บุคคลอื่นกระทำด้วย ก็ไม่ใช่ ทั้งจะเป็นสิ่งที่ไม่ใช่บุคคลกระทำเอง หรือบุคคลอื่น กระทำ ก็เกิดขึ้นได้ ก็ไม่ใช่ แต่ว่า เพราะมี เวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา

           พระมหาโกฏฐิตะ ได้ถามอีกว่า ดูก่อนท่านสารีบุตร เวทนา เป็นสิ่งที่บุคคล กระทำเอง หรือ? หรือว่า เป็นสิ่งที่บุคคลอื่นกระทำ? เวทนา เป็นสิ่งที่บุคคล กระทำเอง ด้วย บุคคลอื่นกระทำ ด้วยหรือ? หรือว่าเป็นสิ่งที่ไม่ใช่บุคคลกระทำเอง หรือบุคคลอื่น กระทำ ก็เกิดขึ้นได้ เล่า?

           พระสารีบุตร ได้ตอบว่า ดูก่อนท่านโกฏฐิตะ เวทนา เป็นสิ่งที่บุคคลกระทำ เอง ก็ไม่ใช่ เป็นสิ่ง ที่บุคคลอื่นกระทำ ก็ไม่ใช่ เวทนา เป็นสิ่งที่บุคคลกระทำเองด้วย บุคคลอื่น กระทำด้วย ก็ไม่ใช่ ทั้งจะเป็นสิ่งที่ไม่ใช่บุคคลกระทำเอง หรือบุคคลอื่น กระทำ ก็เกิดขึ้นได้ ก็ไม่ใช่ แต่ว่าเพราะมี ผัสสะเป็นปัจจัย จึงมี เวทนา

พระมหาโกฏฐิตะ ได้ถามอีกว่า ดูก่อนท่านสารีบุตร ผัสสะ เป็นสิ่งที่บุคคลกระทำเอง หรือ? หรือว่า เป็นสิ่งที่บุคคลอื่นกระทำ? เป็นสิ่งที่บุคคลกระทำเองด้วยบุคคลอื่น กระทำด้วยหรือ? หรือว่าเป็นสิ่งที่ไม่ใช่บุคคลกระทำเอง หรือกระทำ ก็เกิดขึ้นได้ เล่า?

           พระสารีบุตร ได้ตอบว่า ดูก่อนท่านโกฏฐิตะ ผัสสะเป็นสิ่งที่บุคคล กระทำเอง ก็ไม่ใช่ เป็นสิ่ง ที่บุคคลอื่นกระทำ ก็ไม่ใช่ เป็นสิ่งที่บุคคลกระทำเองด้วย บุคคลอื่น กระทำ ด้วย ก็ไม่ใช่ ทั้งจะ เป็นสิ่งที่ไม่ใช่บุคคลกระทำเอง หรือบุคคลอื่นกระทำ ก็เกิดขึ้นได้ ก็ไม่ใช่ แต่ว่า เพราะมี สฬายตนะ เป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ

           พระมหาโกฏฐิตะ ได้ถามอีกว่า ดูก่อนท่านสารีบุตร สฬายตนะ เป็นสิ่งที่ บุคคลกระทำเอง หรือ? หรือว่า เป็นสิ่งที่บุคคลอื่นกระทำ? เป็นสิ่งที่บุคคลกระทำเอง ด้วยบุคคลอื่น กระทำด้วย หรือ? หรือว่าเป็นสิ่งที่ไม่ใช่บุคคลกระทำเอง หรือ บุคคลอื่น กระทำ ก็เกิดขึ้นได้ เล่า?

           พระสารีบุตร ได้ตอบว่า ดูก่อนท่านโกฏฐิตะ สฬายตนะเป็นสิ่งที่บุคคล กระทำเอง ก็ไม่ใช่เป็นสิ่งที่บุคคลอื่นกระทำ ก็ไม่ใช่ เป็นสิ่งที่บุคคลกระทำเอง ด้วยบุคคลอื่น กระทำด้วย ก็ไม่ใช่ ทั้งจะเป็นสิ่งที่ไม่ใช่บุคคลกระทำเอง หรือ บุคคลอื่นกระทำ ก็เกิดขึ้นได้ ก็ไม่ใช่ แต่ว่า เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ

           พระมหาโกฏฐิตะ ได้ถามอีกว่า ดูก่อนท่านสารีบุตร นามรูป เป็นสิ่งที่บุคคล กระทำ เองหรือ? หรือว่า เป็นสิ่งที่บุคคลอื่นกระทำ? เป็นสิ่งที่บุคคลกระทำเองด้วย บุคคลอื่น กระทำด้วยหรือ? หรือว่าเป็นสิ่งที่ไม่ใช่บุคคลกระทำเอง หรือบุคคลอื่น กระทำ ก็เกิดขึ้นได้ เล่า?

           พระสารีบุตร ได้ตอบว่า ดูก่อนท่านโกฏฐิตะ นามรูปเป็นสิ่งที่บุคคลกระทำ เอง ก็ไม่ใช่ เป็นสิ่งที่บุคคลอื่นกระทำ ก็ไม่ใช่ เป็นสิ่งที่บุคคลกระทำเอง ด้วยบุคคล อื่น กระทำด้วย ก็ ไม่ใช่ ทั้งจะเป็นสิ่งที่ไม่ใช่บุคคลกระทำเอง หรือ บุคคลอื่น กระทำก็เกิดขึ้นได้ ก็ไม่ใช่ แต่ว่า เพราะมีวิญญาณ เป็นปัจจัย จึงมีนามรูป

           พระมหาโกฏฐิตะ ได้ถามอีกว่า ดูก่อนท่านสารีบุตร วิญญาณ เป็นสิ่งที่บุคคล กระทำ เองหรือ? หรือว่าเป็นสิ่งที่บุคคลอื่นกระทำ? เป็นสิ่งที่บุคคล กระทำเอง ด้วยบุคคลอื่น กระทำด้วยหรือ? หรือว่าเป็นสิ่งที่ไม่ใช่บุคคลกระทำเอง หรือบุคคลอื่น กระทำ ก็เกิดขึ้นได้เล่า?

           พระสารีบุตร ได้ตอบว่า ดูก่อนท่านโกฏฐิตะ วิญญาณเป็นสิ่งที่บุคคลกระทำ เองก็ไม่ใช่ เป็นสิ่งที่บุคคลอื่นกระทำก็ไม่ใช่ เป็นสิ่งที่บุคคลกระทำเองด้วยบุคคลอื่น กระทำด้วยก็ไม่ใช่ ทั้งจะเป็นสิ่งที่ไม่ใช่บุคคลกระทำเอง หรือ บุคคลอื่น กระทำ ก็เกิดขึ้นได้ก็ไม่ใช่ แต่ว่า เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ

           ท่านพระมหาโกฏฐิตะ ได้กล่าวกะท่านพระสารีบุตรต่อไปว่า เราทั้งหลาย
ย่อมรู้ทั่วถึง ภาษิตของท่านสารีบุตรเดี๋ยวนี้เองอย่างนี้ว่าดูก่อนท่านโกฏฐิตะ นามรูป เป็นสิ่งที่ บุคคลกระทำเอง ก็ไม่ใช่ เป็นสิ่งที่บุคคลอื่นกระทำก็ไม่ใช่ เป็นสิ่งที่บุคคล กระทำเอง ด้วยบุคคลอื่นกระทำด้วยก็ไม่ใช่ ทั้งจะเป็นสิ่งที่ไม่ใช่บุคคลกระทำเอง หรือบุคคลอื่น กระทำก็เกิดขึ้นได้ก็ไม่ใช่ แต่ว่าเพราะมี วิญญาณเป็นปัจจัย จึงมี นามรูป.

           อนึ่ง เราทั้งหลาย ย่อมรู้ทั่วถึงภาษิตของ ท่านสารีบุตรเดี๋ยวนี้ อีกเหมือนกัน อย่างนี้ว่า

           ดูก่อนท่านโกฏฐิตะ วิญญาณ เป็นสิ่งที่บุคคลกระทำเอง ก็ไม่ใช่ เป็นสิ่งที่ บุคคลอื่นกระทำ ก็ไม่ใช่ เป็นสิ่งที่บุคคลกระทำเองด้วยบุคคลอื่น กระทำด้วยก็ไม่ใช่ ทั้งจะเป็นสิ่งที่ไม่ใช่ บุคคลกระทำเอง หรือ บุคคลอื่นกระทำก็เกิดขึ้นได้ก็ไม่ใช่ แต่ว่าเพราะมี นามรูปเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ

           ดูก่อนท่านสารีบุตร ก็เนื้อความแห่งภาษิตนี้อันเราทั้งหลาย จะพึงเห็น ได้อย่างไร? ท่านพระสารีบุตร ได้กล่าวว่า ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ถ้าอย่างนั้นผมจักกระทำ อุปมา ให้ท่านฟัง. วิญญูชนทั้งหลายบางพวกในโลกนี้ ย่อมรู้ทั่วถึงเนื้อความ แห่ง ภาษิตได้ แม้ด้วยอุปมา.

           ดูก่อนท่านผู้มีอายุ เปรียบเหมือนไม้อ้อสองกำ จะพึงตั้งอยู่ได้ ก็เพราะ อาศัยซึ่งกันและกัน ข้อนี้ฉันใด

           ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ข้อนี้ก็ฉันนั้นเหมือนกันกล่าวคือ
เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ
พราะมีวิญญาณเป็นปัจจัยจึงมีนามรูป
เพราะมีนามรูปเป็นปัจจัยจึงมีสฬายตนะ
เพราะมีสฬายตนะเป็นปัจจัยจึงมีผัสสะ
เพราะมีผัสสะเป็นปัจจัยจึงมีเวทนา
เพราะมีเวทนาเป็นปัจจัยจึงมีตัณหา
เพราะมีตัณหาเป็นปัจจัยจึงมีอุปาทาน
เพราะมีอุปาทานเป็นปัจจัยจึงมีภพ
เพราะมีภพเป็นปัจจัยจึงมีชาติ เพราะมีชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะโสกะปริเหาะทุกขะโทมนัส
อุปายาสทั้งหลายจึงเกิดขึ้นครบถ้วน
ความเกิดขึ้นพร้อมแห่งกองทุกข์ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้.

           ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ไม้อ้อสองกำนั้นถ้าบุคคล ดึงเอาออกเสียกำหนึ่งไซร้ อีกกำหนึ่งก็พึงล้มไป ถ้าบุคคลดึงเอากำอื่นอีกออกไปไซร้กำอื่นอีก ก็พึงล้มไป ข้อนี้ ฉันใด ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ข้อนี้ ก็ฉันนั้นเหมือนกันคือ
เพราะความดับแห่งนามรูป จึงมีความดับแห่งวิญญาณ
เพราะมีความดับแห่งวิญญาณ จึงมีความดับแห่งนามรูป
เพราะมีความดับแห่งนามรูป จึงมีความดับแห่งสฬายตนะ
เพราะมีความดับแห่งสฬายตนะ จึงมีความดับแห่งผัสสะ
เพราะมีความดับแห่งผัสสะ จึงมีความดับแห่งเวทนา
เพราะมีความดับแห่งเวทนา จึงมีความดับแห่งตัณหา
เพราะมีความดับแห่งตัณหา จึงมีความดับแห่งอุปาทาน
เพราะมีความดับแห่งอุปาทาน จึงมีความดับแห่งภพ
เพราะมีความดับแห่งภพ จึงมีความดับแห่งชาติ
จึงมีความดับแห่งชาติเพราะมีความดับแห่งชาตินั้นแล ชรามรณะโสกะปริเทวะทุกขะ โทมนัสอุปายาส ทั้งหลายจึงดับสิ้น ความดับลงแห่งกองทุกข์ ทั้งสิ้นนี้ ย่อมมีด้วยอาการอย่างนี้

           ท่านพระมหาโกฏฐิตะ ได้กล่าวว่า น่าอัศจรรย์ท่านสารีบุตร ไม่เคยมีแล้ว ท่านสารีบุตร เท่าที่ท่านสารีบุตรกล่าวมานี้นับว่าเป็นการกล่าวดีแล้ว. ก็แลเราทั้งหลาย ขออนุโมทนายินดี ต่อคำเป็นสุภาษิตของท่านสารีบุตร นี้ด้วยวัตถุ ๓๖ เรื่อง เหล่านี้คือ
---------------------------------------------------------------------------------------
(ชรามรณะ)

ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ถ้าภิกษุแสดงธรรม เพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อความคลาย กำหนัด เพื่อความดับไม่เหลือแห่งชราและมรณะ อยู่ไซร้ ก็เป็นการสมควรเพื่อ จะเรียก ภิกษุนั้นว่า ภิกษุธรรมกถึก

ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ถ้าภิกษุเป็นผู้ปฏิบิติแล้ว เพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อความคลาย กำหนัด เพื่อความดับไม่เหลือแห่งชราและมรณะอยู่ไซร้ ก็เป็นการสมควรเพื่อจะเรียก ภิกษุนั้นว่า ภิกษุผู้ปฏิบัติสมควรแก่ธรรมแล้ว

ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ถ้าภิกษุเป็นผู้หลุดพ้นแล้ว เพราะความเบื่อหน่าย เพราะความ คลาย กำหนัด เพราะความดับไม่เหลือแห่งชราและมรณะ ด้วยความเป็นผู้ไม่ยึดมั่น ถือมั่นอยู่แล้วไซร้ ก็เป็นการสมควรเพื่อจะเรียกภิกษุนั้น ว่า ภิกษุผู้บรรลุแล้วซึ่ง นิพพานในทิฏฐธรรม
---------------------------------------------------------------------------------------

(ชาติ)
ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ถ้าภิกษุแสดงธรรมเพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อความคลาย กำหนัด เพื่อความดับ ไม่เหลือแห่งชาติ อยู่แล้วไซร้ ก็เป็นการสมควร เพื่อจะเรียก ภิกษุนั้นว่า ภิกษุธรรมกถึก

ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ถ้าภิกษุเป็นผู้ปฏิบัติแล้วเพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อความคลาย กำหนัด เพื่อความดับไม่เหลือแห่งชาติ อยู่แล้วไซร้ ก็เป็นการสมควรเพื่อจะเรียก ภิกษุนั้นว่า ภิกษุผู้ปฏิบัติ ธรรมสมควรแก่ธรรมแล้ว

ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ถ้าภิกษุเป็นผู้หลุดพ้นแล้ว เพราะความเบื่อหน่าย เพราะความ คลายกำหนัด เพราะความดับไม่เหลือแห่งชาติ ด้วยความเป็นผู้ไม่ยึดมั่นถือมั่น อยู่แล้วไซร้ ก็เป็นการ สมควรเพื่อจะเรียกภิกษุนั้นว่า ภิกษุผู้บรรลุแล้วซึ่งนิพพาน ในทิฏฐธรรม
---------------------------------------------------------------------------------------

(ภพ)
ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ถ้าภิกษุแสดงธรรมเพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อความคลาย กำหนัด เพื่อความดับไม่เหลือ แห่งภพ อยู่ไซร้ ก็เป็นการสมควรเพื่อจะเรียกภิกษุนั้น ว่า ภิกษุธรรมกถึก

ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ถ้าภิกษุเป็นผู้ปฏิบัติแล้วเพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อความคลาย กำหนัด เพื่อความดับไม่เหลือแห่งภพอยู่ไซร้ ก็เป็นการสมควรเพื่อจะเรียกภิกษุนั้น ว่า ภิกษุผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมแล้ว

ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ถ้าภิกษุเป็นผู้หลุดพ้นแล้ว เพราะความเบื่อหน่าย เพราะความ คลายกำหนัด เพราะความดับไม่เหลือแห่งภพ ด้วยความเป็นผู้ไม่ยึดมั่นถือมั่นอยู่แล้ว ไซร้ ก็เป็นการสมควร เพื่อจะเรียกภิกษุนั้นว่า  ภิกษุผู้บรรลุแล้วซึ่งนิพพานใน ทิฏฐธรรม
---------------------------------------------------------------------------------------

(อุปาทาน)
ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ถ้าภิกษุแสดงธรรม เพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อความคลาย กำหนัด เพื่อความดับไม่เหลือแห่งอุปาทาน อยู่ไซร้ ก็เป็นการสมควรเพื่อจะเรียก ภิกษุนั้นว่า ภิกษุธรรมกถึก

ดูก่อนท่านผู้มีอายุถ้าภิกษุเป็นผู้ปฏิบัติแล้ว เพื่อความเบื่อหน่ายเพื่อความ คลายกำหนัด เพื่อความดับไม่เหลือ แห่งอุปาทานอยู่ไซร้ ก็เป็นการสมควรเพื่อจะ เรียกภิกษุนั้นว่า ภิกษุผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมแล้ว

ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ถ้าภิกษุเป็นผู้หลุดพ้นแล้ว เพราะความเบื่อหน่าย เพราะ ความคลาย กำหนัดเพราะความดับไม่เหลือ แห่งอุปาทาน ด้วยความเป็นผู้ไม่มีความ ยึดมั่นถือมั่นอยู่แล้วไซร้ ก็เป็นการสมควรเพื่อจะเรียกภิกษุนั้นว่า  ภิกษุผู้บรรลุแล้ว ซึ่งนิพพานในทิฏฐธรรม
---------------------------------------------------------------------------------------

(ตัณหา)
ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ถ้าภิกษุแสดงธรรมเพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อความคลายกำหนัด
เพื่อความดับไม่เหลือแห่งตัณหา อยู่ไซร้ ก็เป็นการสมควรเพื่อจะเรียกภิกษุ นั้นว่า ภิกษุธรรมกถึก

ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ถ้าภิกษุเป็นผู้ปฏิบัติแล้ว เพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อความ คลายกำหนัด เพื่อความดับไม่เหลือแห่งตัณหาอยู่ไซร้ ก็เป็นการสมควรเพื่อจะเรียก ภิกษุนั้นว่า ภิกษุผู้ปฏิบัติ ธรรม สมควรแก่ธรรมแล้ว

ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ถ้าภิกษุเป็นผู้หลุดพ้นแล้ว เพราะความเบื่อหน่าย เพราะ ความคลายกำหนัด เพราะความดับไม่เหลือแห่งตัณหา ด้วยความเป็นผู้ไม่มีความ ยึดมั่นถือมั่น อยู่แล้วไซร้ ก็เป็นการสมควรเพื่อจะเรียกภิกษุนั้นว่า ภิกษุผู้บรรลุแล้ว ซึ่งนิพพานในทิฏฐธรรม
---------------------------------------------------------------------------------------

(เวทนา)

ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ถ้าภิกษุแสดงธรรม เพื่อความเบื่อหน่ายเพื่อความคลาย กำหนัด เพื่อความดับไม่เหลือแห่งเวทนา อยู่ไซร้ ก็เป็นการสมควรเพื่อจะเรียกภิกษุ นั้นว่า ภิกษุธรรมกถึก

ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ถ้าภิกษุเป็นผู้ปฏิบัติแล้ว เพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อความคลาย กำหนัด เพื่อความดับไม่เหลือแห่งเวทนาอยู่ไซร้ ก็เป็นการสมควรเพื่อจะเรียก ภิกษุนั้นว่า ภิกษุผู้ปฏิบัติ ธรรม สมควรแก่ธรรมแล้ว

ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ถ้าภิกษุเป็นผู้หลุดพ้นแล้ว เพราะความเบื่อหน่าย เพราะ ความคลาย กำหนัด เพราะความดับไม่เหลือแห่งเวทนา ด้วยความเป็นผู้ไม่ยึดมั่น ถือมั่นอยู่แล้วไซร้ ก็เป็นการสมควรเพื่อจะเรียกภิกษุนั้นว่า  ภิกษุผู้บบรรลุแล้วซึ่ง นิพพานในทิฏฐธรรม
---------------------------------------------------------------------------------------

(ผัสสะ)
ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ถ้าภิกษุแสดงธรรมเพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อความคลาย กำหนัด เพื่อความดับไม่เหลือแห่งผัสสะ อยู่ไซร้ ก็เป็นการสมควรเพื่อจะเรียก ภิกษุนั้น ว่า ภิกษุธรรมกถึก

ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ถ้าภิกษุเป็นผู้ปฏิบัติแล้วเพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อความคลาย กำหนัด เพื่อความดับไม่เหลือแห่งผัสสะอยู่ไซร้ ก็เป็นการสมควรเพื่อจะเรียกภิกษุนั้น ว่า ภิกษุผู้ปฏิบัติ ธรรมสมควรแก่ธรรมแล้ว

ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ถ้าภิกษุเป็นผู้หลุดพ้นแล้ว เพราะความเบื่อหน่าย เพราะ ความคลายกำหนัด เพราะความดับไม่เหลือแห่งผัสสะ ด้วยความเป็นผู้ไม่มีความ ยึดมั่นถือมั่นอยู่แล้วไซร้ ก็เป็นการสมควรเพื่อจะเรียกภิกษุนั้นว่า  ภิกษุผู้บรรลุแล้ว ซึ่งนิพพานในทิฏฐธรรม
---------------------------------------------------------------------------------------

(สฬายตนะ)
ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ถ้าภิกษุแสดงธรรมเพื่อความเบื่อหน่ายเพื่อความคลาย กำหนัด เพื่อ ความดับไม่เหลือแห่งสฬายตนะ อยู่ไซร้ ก็เป็นการสมควรเพื่อจะเรียก ภิกษุนั้นว่า ภิกษุธรรมกถึก

ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ถ้าภิกษุเป็นผู้ปฏิบัติแล้วเพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อความคลาย กำหนัด เพื่อความดับไม่เหลือแห่งสฬายตนะอยู่ไซร้ ก็เป็นการสมควรเพื่อจะเรียก ภิกษุนั้นว่า ภิกษุผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมแล้ว

ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ถ้าภิกษุเป็นผู้หลุดพ้นแล้ว เพราะความเบื่อหน่าย เพราะความ คลายกำหนัดเพราะความดับไม่เหลือ แห่งสฬายตนะ ด้วยความไม่ยึดมั่นถือมั่น อยู่แล้วไซร้ ก็เป็นการสมควรเพื่อจะเรียกภิกษุนั้นว่า  ภิกษุผู้บรรลุแล้วซึ่งนิพพาน ในทิฏฐธรรม
---------------------------------------------------------------------------------------

(นามรูป)
ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ถ้าภิกษุแสดงธรรมเพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อความคลาย กำหนัด พื่อความดับไม่เหลือแห่งนามรูป อยู่ไซร้ ก็เป็นการสมควรเพื่อจะเรียก ภิกษุนั้นว่า ภิกษุธรรมกถึก

ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ถ้าภิกษุเป็นผู้ปฏิบัติแล้ว เพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อความ คลายกำหนัด เพื่อความดับไม่เหลือแห่งนามรูปอยู่ไซร้ ก็เป็นการสมควรเพื่อจะเรียก ภิกษุนั้นว่า ภิกษุผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมแล้ว

ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ถ้าภิกษุเป็นผู้หลุดพ้นแล้ว เพราะความเบื่อหน่าย เพราะความ ลายกำหนัด เพราะความดับไม่เหลือแห่งนามรูป ด้วยความไม่ยึดมั่นถือมั่น อยู่แล้วไซร้ ก็เป็นการ สมควร พื่อจะเรียกภิกษุนั้นว่า  ภิกษุผู้บรรลุแล้วซึ่งนิพพาน ในทิฏฐธรรม
---------------------------------------------------------------------------------------

(วิญญาณ)
ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ถ้าภิกษุแสดงธรรม เพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อความคลาย กำหนัด เพื่อความดับไม่เหลือแห่งวิญญาณ อยู่ไซร้ ก็เป็นการสมควร เพื่อจะเรียกภิกษุ นั้นว่า ภิกษุธรรมกถึก

ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ถ้าภิกษุเป็นผู้ปฏิบัติแล้วเพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อความ คลายกำหนัด เพื่อความดับไม่เหลือแห่งวิญญาณอยู่ไซร้ ก็เป็นการสมควร เพื่อจะ เรียกภิกษุนั้นว่า ภิกษุผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมแล้ว

ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ถ้าภิกษุเป็นผู้หลุดพ้นแล้ว เพราะความเบื่อหน่าย เพราะความ คลายกำหนัด เพราะความดับไม่เหลือแห่งวิญญาณ ด้วยความไม่ยึดมั่นถือมั่น อยู่แล้วไซร้ ก็เป็นการสมควร เพื่อจะเรียกภิกษุนั้นว่า  ภิกษุผู้บรรลุแล้วซึ่งนิพพาน ในทิฏฐธรรม
---------------------------------------------------------------------------------------

(สังขาร)
ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ถ้าภิกษุแสดงธรรม เพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อความคลาย กำหนัด เพื่อความดับไม่เหลือแห่งสังขาร อยู่ไซร้ ก็เป็นการสมควร เพื่อจะเรียกภิกษุ นั้นว่า ภิกษุธรรมกถึก

ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ถ้าภิกษุเป็นผู้ปฏิบัติแล้ว เพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อความ คลาย กำหนัด เพื่อความดับไม่เหลือ แห่งสังขารอยู่ไซร้ ก็เป็นการสมควรเพื่อจะเรียก
ภิกษุนั้น ว่า ภิกษุผู้ปฏิบัติ ธรรมสมควรแก่ธรรมแล้ว

ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ถ้าภิกษุเป็นผู้หลุดพ้นแล้ว เพราะความเบื่อหน่าย เพราะ ความ คลายกำหนัด เพราะความดับไม่เหลือแห่งสังขาร ด้วยความไม่ยึดมั่นถือมั่น อยู่แล้วไซร้ ก็เป็นการ สมควรเพื่อจะเรียกภิกษุนั้นว่า  ภิกษุผู้บรรลุแล้วซึ่งนิพพาน ในทิฏฐธรรม
---------------------------------------------------------------------------------------

(อวิชชา)
ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ถ้าภิกษุแสดงธรรม เพื่อความเบื่อหน่ายเพื่อความคลาย กำหนัด เพื่อ ความดับไม่เหลือแห่งอวิชชา อยู่ไซร้ ก็เป็นการสมควรเพื่อจะเรียกภิกษุนั้นว่า ภิกษุธรรมกถึก

ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ถ้าภิกษุเป็นผู้ปฏิบัติแล้ว เพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อความคลาย กำหนัด เพื่อความดับไม่เหลือแห่ง อวิชชาอยู่ไซร้ ก็เป็นการสมควรเพื่อจะเรียก ภิกษุนั้น ว่า ภิกษุผู้ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรมแล้ว

ดูก่อนท่านผู้มีอายุ ถ้าภิกษุเป็นผู้หลุดพ้นแล้ว เพราะความเบื่อหน่าย เพราะ ความคลายกำหนัด เพราะความดับไม่เหลือแห่งอวิชชา ด้วยความไม่ยึดมั่นถือมั่น อยู่แล้วไซร้ ก็เป็นการ สมควรเพื่อจะเรียกภิกษุนั้นว่า ภิกษุผู้บรรลุแล้ว ซึ่งนิพพาน ในทิฏฐธรรม ดังนี้แล







พุทธวจน : อ่านคำสอนพระศาสดา อ่านแบบสบายตา โดยคัดลอกหนังสือทั้งเล่มมาจัดทำเป็นเว็บเพจ (คลิกอ่านพร้อมดาวน์โหลดไฟล์ pdf)
90 90 90 90
พุทธประวัติ ขุมทรัพย์ อริยสัจ
ภาคต้น
อริยสัจ
ภาคปลาย
ปฏิจจ ปฐมธรรม ตถาคต อนาคามี อินทรีย์
สังวร
สัตว์
สัตตานัง
ทาน
สกทาคามี
ฆราวาส
ชั้นเลิศ
มรรควิธี
ที่ง่าย
อริยวินัย เดรัจฉานวิชา กรรม สมถะ
วิปัสสนา
โสดาบัน นา
ปานสติ
จิต มโน
วิญญาณ
ก้าวย่าง
อย่างพุทธะ
ตามรอย
ธรรม
ภพ ภูมิ
พุทธวจน
สาธยาย
ธรรม
สังโยชน์