พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๐ หน้าที่ ๗๖
ทุติยปัณณาสก์
สนิมิตตวรรคที่ ๓
ธรรมที่เป็นบาปอกุศล
[๓๒๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมที่เป็นบาปอกุศล มีนิมิตจึงเกิดขึ้น ไม่มี นิมิต ไม่เกิดขึ้น เพราะละนิมิตนั้นเสีย ธรรมที่เป็นบาปอกุศลเหล่านั้นจึงไม่มี ด้วยประการ ดังนี้
[๓๒๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมที่เป็นบาปอกุศล มีนิทานจึงเกิดขึ้นไม่มี นิทาน ไม่เกิดขึ้น เพราะละนิทานนั้นเสีย ธรรมที่เป็นบาปอกุศลเหล่านั้นจึงไม่มี ด้วยประการดังนี้
[๓๒๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมที่เป็นบาปอกุศล มีเหตุจึงเกิดขึ้น ไม่มีเหตุ ไม่เกิดขึ้น เพราะละเหตุนั้นเสีย รรมที่เป็นบาปอกุศลเหล่านั้นจึงไม่มี ด้วยประการดังนี้
[๓๒๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมที่เป็นบาปอกุศล มีเครื่องปรุงจึงเกิดขึ้น ไม่มี เครื่องปรุงไม่เกิดขึ้น เพราะละเครื่องปรุงนั้นเสีย ธรรมที่เป็นบาปอกุศล เหล่านั้น จึงไม่มี ด้วยประการดังนี้
[๓๒๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมที่เป็นบาปอกุศล มีปัจจัยจึงเกิดขึ้น ไม่มีปัจจัย ไม่เกิดขึ้น เพราะละปัจจัยนั้นเสีย ธรรมที่เป็นบาปอกุศลเหล่านั้น จึงไม่มี ด้วยประการ ดังนี้
[๓๒๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมที่เป็นบาปอกุศล มีรูปจึงเกิดขึ้น ไม่มีรูป ไม่เกิดขึ้น เพราะละรูปนั้นเสีย ธรรมที่เป็นบาปอกุศลเหล่านั้นจึงไม่มี ด้วยประการดังนี้
[๓๒๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมที่เป็นบาปอกุศล มีเวทนาจึงเกิดขึ้นไม่มี เวทนา ไม่เกิดขึ้น เพราะละเวทนานั้นเสีย ธรรมที่เป็นบาปอกุศลเหล่านั้นจึงไม่มี ด้วยประการดังนี้
[๓๒๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมที่เป็นบาปอกุศล มีสัญญาจึงเกิดขึ้น ไม่มี สัญญาไม่เกิดขึ้น เพราะละสัญญานั้นเสีย ธรรมที่เป็นบาปอกุศลเหล่านั้น จึงไม่มี ด้วยประการดังนี้
[๓๓๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมที่เป็นบาปอกุศล มีวิญญาณจึงเกิดขึ้น ไม่มี วิญญาณไม่เกิดขึ้น เพราะละวิญญาณนั้นเสีย ธรรมที่เป็นบาปอกุศลเหล่านั้น จึงไม่มี ด้วยประการดังนี้
[๓๓๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมที่เป็นบาปอกุศล มีสังขตธรรมเป็นอารมณ์ จึงเกิดขึ้น ไม่มีสังขตธรรมเป็นอารมณ์ไม่เกิดขึ้น เพราะละสังขตธรรมนั้นเสีย ธรรม ที่เป็นบาปอกุศลเหล่านั้นจึงไม่มี ด้วยประการดังนี้
-----------------------------------------------------------------------
ทุติยปัณณาสก์
ธรรมวรรคที่ ๔
ธรรม ๒ อย่าง เป็นไฉน
[๓๓๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๒ อย่างนี้
๒ อย่างเป็นไฉน คือ เจโตวิมุติ ๑ ปัญญาวิมุติ ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๒ อย่างนี้แล
[๓๓๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๒ อย่างนี้
๒ อย่างเป็นไฉน คือ ความเพียร ๑
ความไม่ฟุ้งซ่าน ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๒ อย่างนี้แล
[๓๓๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๒ อย่างนี้
๒ อย่างเป็นไฉน คือ
นาม ๑
รูป ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๒ อย่างนี้แล
[๓๓๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๒ อย่างนี้
๒ อย่างเป็นไฉน คือ วิชชา ๑ วิมุตติ ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๒ อย่างนี้แล
[๓๓๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๒ อย่างนี้
๒ อย่างเป็นไฉน คือ ภวทิฏฐิ ๑ วิภวทิฏฐิ ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๒ อย่างนี้แล
[๓๓๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๒ อย่างนี้
๒ อย่างเป็นไฉน คือ ความไม่ละอาย ๑ ความไม่เกรงกลัว ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๒ อย่างนี้แล
[๓๓๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๒ อย่างนี้
๒ อย่างเป็นไฉน คือ หิริ ๑ โอตตัปปะ ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๒ อย่างนี้แล
[๓๓๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๒ อย่างนี้
๒ อย่างเป็นไฉน คือ ความเป็นคนว่ายาก ๑ ความเป็นผู้มีมิตรชั่ว ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๒ อย่างนี้แล
[๓๔๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๒ อย่างนี้
๒ อย่างเป็นไฉน คือ ความเป็นคนว่าง่าย ๑ ความเป็นผู้มีมิตรดี ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๒ อย่างนี้แล
[๓๔๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๒ อย่างนี้
๒ อย่างเป็นไฉน คือ ความเป็นผู้ฉลาดในธาตุ ๑ ความเป็นผู้ฉลาดในมนสิการ ๑ ดูกรภิกษุทั้งหลายธรรม ๒ อย่างนี้แล
[๓๔๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๒ อย่างนี้
๒ อย่าง เป็นไฉน คือ ความเป็นผู้ฉลาดในอาบัติ ๑ ความเป็นผู้ฉลาดในการออกจากอาบัติ ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๒ อย่างนี้แล
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ทุติยปัณณาสก์
พาลวรรคที่ ๕
(คนพาล ๒ จำพวก บัณฑิต ๒ จำพวก)
[๓๔๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพาล ๒ จำพวกนี้
๒ จำพวกเป็นไฉน คือ
คนที่นำเอาภาระที่ยังไม่มาถึงไป ๑
คนที่ไม่นำเอาภาระที่มาถึงไป ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพาล ๒ จำพวกนี้แล
[๓๔๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บัณฑิต ๒ จำพวกนี้
๒ จำพวกเป็นไฉน คือ
คนที่นำภาระที่มาถึงไป ๑
คนที่ไม่นำเอาภาระที่ยังไม่มาถึงไป ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บัณฑิต ๒ จำพวกนี้แล
----------------------------------------------------------------------------------
[๓๔๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพาล ๒ จำพวก
๒ จำพวกเป็นไฉน คือ
คนที่เข้าใจว่าควรในของที่ไม่ควร ๑
คนที่เข้าใจว่าไม่ควรในของที่ควร ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพาล ๒จำพวกนี้แล
[๓๔๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บัณฑิต ๒ จำพวกนี้
๒ จำพวกเป็นไฉน คือ
คนที่เข้าใจว่าไม่ควรในของที่ไม่ควร ๑
คนที่เข้าใจว่าควรในของที่ควร ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บัณฑิต ๒จำพวกนี้แล
----------------------------------------------------------------------------------
[๓๔๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพาล ๒ จำพวกนี้
๒ จำพวก เป็นไฉน คือ
คนที่เข้าใจว่าเป็นอาบัติในข้อที่ไม่เป็นอาบัติ ๑
คนที่เข้าใจว่าไม่เป็นอาบัติในข้อที่เป็นอาบัติ ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพาล ๒ จำพวกนี้แล
[๓๔๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บัณฑิต ๒ จำพวกนี้
๒ จำพวกเป็นไฉน คือ
คนที่เข้าใจว่าไม่เป็นอาบัติในข้อที่ไม่เป็นอาบัติ ๑
คนที่เข้าใจว่าเป็นอาบัติข้อที่เป็นอาบัติ ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บัณฑิต ๒ จำพวกนี้แล
----------------------------------------------------------------------------------
[๓๔๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพาล ๒ จำพวกนี้
๒ จำพวกเป็นไฉน คือ
คนที่เข้าใจว่าเป็นธรรมในข้อที่ไม่เป็นธรรม ๑
คนที่เข้าใจว่าไม่เป็นธรรมในข้อที่เป็นธรรม ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพาล ๒ จำพวกนี้แล
[๓๕๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บัณฑิต ๒ จำพวกนี้
๒ จำพวกเป็นไฉน คือ
คนที่เข้าใจว่าไม่เป็นธรรมในข้อที่ไม่เป็นธรรม ๑
คนที่เข้าใจว่าเป็นธรรมในข้อที่เป็นธรรม ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บัณฑิต ๒ จำพวกนี้แล
----------------------------------------------------------------------------------
[๓๕๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพาล ๒ จำพวกนี้
๒ จำพวกเป็นไฉน คือ
คนที่เข้าใจว่าเป็นวินัยในข้อที่ไม่เป็นวินัย ๑ คนที่เข้าใจว่าไม่เป็นวินัยในข้อที่เป็นวินัย ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนพาล ๒ จำพวกนี้แล
[๓๕๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บัณฑิต ๒ จำพวกนี้
๒ จำพวกเป็นไฉน คือ
คนที่เข้าใจว่าไม่เป็นวินัยในข้อที่ไม่เป็นวินัย ๑
คนที่เข้าใจว่าเป็นวินัยในข้อที่เป็นวินัย ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
บัณฑิต ๒ จำพวกนี้แล
----------------------------------------------------------------------------------
[๓๕๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อาสวะย่อมเจริญแก่คน ๒ จำพวก
๒ จำพวกเป็นไฉน คือ
ผู้ที่รังเกียจสิ่งที่ไม่น่ารังเกียจ ๑
ผู้ที่ไม่รังเกียจสิ่งที่น่ารังเกียจ ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อาสวะย่อมเจริญแก่คน ๒ จำพวกนี้แล
[๓๕๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อาสวะย่อมไม่เจริญแก่คน ๒ จำพวก
๒ จำพวกเป็นไฉน คือ
ผู้ที่ไม่รังเกียจสิ่งที่ไม่น่ารังเกียจ ๑
ผู้ที่รังเกียจสิ่งที่น่ารังเกียจ ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อาสวะย่อมไม่เจริญแก่คน ๒ จำพวกนี้แล
----------------------------------------------------------------------------------
[๓๕๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อาสวะย่อมเจริญแก่คน ๒ จำพวก
๒ จำพวกเป็นไฉนคือ
ผู้ที่เข้าใจว่าควรในของที่ไม่ควร ๑
ผู้ที่เข้าใจว่าไม่ควรในของที่ควร ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลายอาสวะย่อมเจริญแก่คน ๒ จำพวกนี้แล
[๓๕๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อาสวะย่อมไม่เจริญแก่คน ๒ จำพวก
๒ จำพวกเป็นไฉน คือ
ผู้ที่เข้าใจว่าไม่ควรในของที่ไม่ควร ๑
ผู้ที่เข้าใจว่าควรในของที่ควร ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลายอาสวะย่อมไม่เจริญแก่คน ๒ จำพวกนี้แล
----------------------------------------------------------------------------------
[๓๕๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อาสวะย่อมเจริญแก่คน ๒ จำพวก
๒ จำพวกเป็นไฉนคือ
ผู้ที่เข้าใจว่าเป็นอาบัติในข้อที่ไม่เป็นอาบัติ ๑ ผู้ที่เข้าใจว่าไม่เป็นอาบัติในข้อที่เป็นอาบัติ ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อาสวะย่อมเจริญแก่คน ๒ จำพวกนี้แล
[๓๕๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อาสวะย่อมไม่เจริญแก่คน ๒ จำพวก
๒ จำพวกเป็นไฉนคือ
ผู้ที่เข้าใจว่าไม่เป็นอาบัติในข้อที่ไม่เป็นอาบัติ ๑
ผู้ที่เข้าใจว่าเป็นอาบัติในข้อที่เป็นอาบัติ ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อาสวะย่อมไม่เจริญแก่คน ๒ จำพวกนี้แล
----------------------------------------------------------------------------------
[๓๕๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อาสวะย่อมเจริญแก่คน ๒ จำพวก
๒ จำพวกเป็นไฉนคือ
ผู้ที่เข้าใจว่าเป็นธรรมในข้อที่ไม่เป็นธรรม ๑
ผู้ที่เข้าใจว่าไม่เป็นธรรมในข้อที่เป็นธรรม ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อาสวะย่อมเจริญแก่คน ๒ จำพวกนี้แล
[๓๖๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อาสวะย่อมไม่เจริญแก่คน ๒ จำพวก
๒ จำพวกเป็นไฉนคือ
ผู้ที่เข้าใจว่าไม่เป็นธรรมในข้อที่ไม่เป็นธรรม ๑
ผู้ที่เข้าใจว่าเป็นธรรมในข้อที่เป็นธรรม ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อาสวะย่อมไม่เจริญแก่คน๒ จำพวกนี้แล
----------------------------------------------------------------------------------
[๓๖๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อาสวะย่อมเจริญแก่คน ๒ จำพวก
๒ จำพวกเป็นไฉน คือ
ผู้ที่เข้าใจว่าเป็นวินัยในข้อที่ไม่เป็นวินัย ๑
ผู้ที่เข้าใจว่าไม่เป็นวินัยในข้อที่เป็นวินัย ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อาสวะย่อมเจริญแก่คน ๒ จำพวกนี้แล
[๓๖๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อาสวะย่อมไม่เจริญแก่คน ๒ จำพวก
๒ จำพวกเป็นไฉน คือ
ผู้ที่เข้าใจว่าไม่เป็นวินัยในข้อที่ไม่เป็นวินัย ๑
ผู้ที่เข้าใจว่าเป็นวินัยในข้อที่เป็นวินัย ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อาสวะย่อมไม่เจริญแก่คน ๒ จำพวกนี้แล |