พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๓ หน้าที่ ๔๒๒
๓. อัสสลายนสูตร
ทรงโปรดอัสสลายนมาณพ
(ตรัสเรื่อง วรรณะของพราหมณ์)
[๖๑๓] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้:
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถ บิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี. ก็สมัยนั้นแล พราหมณ์ผู้มาจากแคว้นต่างๆ ประมาณ ๕๐๐ คนพักอาศัยอยู่ในพระนครสาวัตถีด้วยกรณียกิจบางอย่าง.
ครั้งนั้นพราหมณ์เหล่านั้นไ ด้คิดกันว่าพระสมณโคดมนี้ ทรงบัญญัติความ บริสุทธิ์ ทั่วไปแก่วรรณะทั้ง ๔ ใครหนอพอจะสามารถเจรจาโต้ตอบ กับพระสมณ โคดมในคำนั้นได้.
ก็สมัยนั้นแล มาณพชื่อว่า อัสสลายนะ อาศัยอยู่ในพระนครสาวัตถี ยังเป็นเด็ก โกนศีรษะมีอายุ ๑๖ ปีนับแต่เกิดมา เป็นผู้รู้จบไตรเพท พร้อมทั้ง คัมภีร์นิมัณฑุ และ คัมภีร์เกฏุภะ พร้อมทั้งประเภทอักษร มีคัมภีร์อิติหาสะเป็นที่ ๕ เป็นผู้เข้าใจตัวบท เข้าใจไวยากรณ์ ชำนาญในคัมภีร์โลกายตะ และตำราทำนาย มหาปุริสลักษณะ.
ครั้งนั้น พราหมณ์เหล่านั้น คิดกันว่า อัสสลายนมาณพผู้นี้อาศัยอยู่ใน พระนคร สาวัตถี ยังเป็นเด็ก ฯลฯ ชำนาญในคัมภีร์โลกายตะ และตำราทำนายลักษณะ เขาคงสามารถจะเจรจาโต้ตอบ กับพระสมณโคดมในคำนั้นได้.
[๖๑๔] ลำดับนั้นแล พราหมณ์เหล่านั้น พากันเข้าไปหา อัสสลายนมาณพ ถึงที่อยู่ ครั้นแล้วได้กล่าวกะ อัสสลายนมาณพว่า พ่ออัสสลายนมาณพผู้เจริญ พระสมณโคดมนี้ ทรงบัญญัติความบริสุทธิ์ทั่วไปแก่ วรรณะทั้ง ๔ พ่อผู้เจริญ จงเข้าไปเจรจาโต้ตอบ กับพระสมณโคดมในคำนั้น เมื่อพราหมณ์ทั้งหลาย กล่าวแล้วอย่างนี้.
อัสสลายนมาณพ ได้กล่าวกะพราหมณ์เหล่านั้นว่า ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ได้ทราบว่า พระสมณโคดม เป็นธรรมวาที ก็อันบุคคลผู้เป็นธรรมวาที ย่อมเป็น ผู้อันใครๆ จะพึงเจรจาโต้ตอบได้โดยยาก ข้าพเจ้าไม่สามารถจะเจรจาโต้ตอบกับ พระสมณโคดมในคำนั้นได้.
แม้ครั้งที่ ๒ พราหมณ์เหล่านั้นได้กล่าวกะอัสสลายนมาณพว่า พ่ออัสสลายนะ ผู้เจริญพระสมณโคดมนี้ ทรงบัญญัติความบริสุทธิ์ทั่วไป แก่วรรณะทั้ง ๔ พ่อผู้เจริญ จงเข้าไปเ จรจาโต้ตอบกับพระสมณโคดมในคำนั้น.
แม้ครั้งที่ ๒ อัสสลายนมาณพ ได้กล่าวกะพราหมณ์เหล่านั้น ว่าท่านผู้เจริญ ทั้งหลาย ได้ทราบว่า พระสมณโคดมเป็นธรรมวาที ก็อันบุคคลผู้เป็นธรรมวาที ย่อมเป็นผู้อันใครๆ จะพึงเจรจาโต้ตอบได้โดยยาก ข้าพเจ้าไม่สามารถ จะเจรจา โต้ตอบกับพระสมณโคดมในคำนั้นได้.
แม้ครั้งที่ ๓ พราหมณ์เหล่านั้น ก็ได้กล่าวกะ อัสสลายนมาณพว่า พ่อ อัสสลายนะผู้เจริญ พระสมณโคดมนี้ ทรงบัญญัติความบริสุทธิ์ทั่วไปแก่วรรณะทั้ง ๔ พ่อผู้เจริญจงเข้าไปเจรจาโต้ตอบ กับพระสมณโคดมในคำนั้น ก็พ่ออัสสลายนะ ผู้เจริญได้ประพฤติวิธีบรรพชา ของปริพาชกมาแล้ว พ่ออัสสลายนะ อย่ากลัวแพ้ ซึ่งยังไม่ทันรบเลย.
เมื่อพราหมณ์เหล่านั้น กล่าวอย่างนี้แล้ว อัสสลายนมาณพได้กล่าวกะ พราหมณ์ เหล่านั้นว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญทั้งหลาย ข้าพเจ้ายอมไม่ได้แน่ ได้ทราบว่า พระสมณโคดม เป็นธรรมวาที ก็อันบุคคลผู้เป็นธรรมวาที ย่อมเป็นผู้อันใครๆ จะพึง เจรจาโต้ตอบได้โดยยาก ข้าพเจ้าจะไม่สามารถจะเจรจาโต้ตอบ กับ พระสมณโคดม ในคำนั้นได้ ก็แต่ว่า ข้าพเจ้าจักไปตามคำของท่านทั้งหลาย.
เรื่องวรรณะ ๔
[๖๑๕] ลำดับนั้น อัสสลายนมาณพ พร้อมด้วยคณะพราหมณ์หมู่ใหญ่ พากัน เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ได้ปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค ครั้นผ่านการ ปราศรัย พอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.
ครั้นแล้ว อัสสลายนมาณพ ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่ท่านพระโคดม พราหมณ์ทั้งหลายกล่าวอย่างนี้ว่า
พราหมณ์เท่านั้นเป็นวรรณะประเสริฐ วรรณะอื่นเลว
พราหมณ์เท่านั้น เป็นวรรณะขาว วรรณะอื่นดำ
พราหมณ์เท่านั้นย่อมบริสุทธิ์ คนที่มิใช่พราหมณ์ไม่บริสุทธิ์
พราหมณ์เท่านั้นเป็นบุตรพรหม เป็นโอรสพรหม เกิดแต่ปากของพรหม เกิดแต่พรหม อันพรหมนิรมิต เป็นทายาทของพรหม ในเรื่องนี้ ท่านพระโคดมจะตรัสว่าอย่างไร?
[๖๑๖] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรอัสสลายนะ ก็นางพราหมณีของ พราหมณ์ ทั้งหลาย มีระดูบ้าง มีครรภ์บ้าง คลอดบุตรบ้าง ให้บุตรดื่มนมบ้าง ปรากฎอยู่ ก็พราหมณ์ เหล่านั้นเป็นผู้เกิดจากช่องคลอดเหมือนกัน ยังกล่าวอย่างนี้ว่า พราหมณ์เท่านั้นเป็นวรรณะประเสริฐ วรรณะอื่นเลว ... อันพรหมนิรมิต เป็นทายาท ของพรหม.
อ. ท่านพระโคดมตรัสอย่างนี้ก็จริง แต่ในเรื่องนี้ พราหมณ์ทั้งหลายก็ยังเข้าใจอยู่ อย่างนี้ว่า พราหมณ์เท่านั้นเป็นวรรณะประเสริฐ ฯลฯ เป็นทายาทของพรหม.
[๖๑๗] พ. ดูกรอัสสลายนะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ท่านได้ฟังมา แล้วหรือว่า ในแคว้นโยนก แคว้นกัมโพช และในปัจจันตชนบทอื่นๆ มีวรรณะอยู่ ๒ วรรณะเท่านั้น คือ เจ้า และ ทาส เป็นเจ้าแล้ว กลับเป็นทาส เป็นทาสแล้วกลับ เป็นเจ้า?
อ. ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าได้ฟังมาแล้วอย่างนั้นว่า ในแคว้นโยนก แคว้น กัมโพช และในปัจจันตชนบทอื่นๆ มีวรรณะอยู่ ๒ วรรณะเท่านั้น คือ เจ้า และทาส เป็นเจ้าแล้วกลับเป็นทาส เป็นทาสแล้วกลับเป็นเจ้า.
พ. ดูกรอัสสลายนะ ในเรื่องนี้ อะไรเป็นกำลัง อะไรเป็นความยินดีของพราหมณ์ ทั้งหลาย ผู้กล่าวอย่างนี้ว่า พราหมณ์เท่านั้น เป็นวรรณะประเสริฐ ฯลฯ เป็นทายาท ของพรหม?
อ. ท่านพระโคดมตรัสอย่างนั้นก็จริง แต่ในเรื่องนี้ พราหมณ์ทั้งหลายก็ยังเข้าใจ อยู่อย่างนี้ว่า พราหมณ์เท่านั้น เป็นวรรณะประเสริฐ ฯลฯ เป็นทายาทของพรหม.
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
[๖๑๘] พ. ดูกรอัสสลายนะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน กษัตริย์เท่านั้น หรือเป็นผู้มีปกติฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ โลภมาก มีจิตพยาบาท มีความเห็นผิด เมื่อตายไป พึงเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาตนรก พราหมณ์ไม่เป็นอย่างนั้น แพศย์เท่านั้นหรือ ... ศูทรเท่านั้นหรือ เป็นผู้มีปกติฆ่าสัตว์ลักทรัพย์ ประพฤติผิด ในกาม พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดคำหยาบ พูดเพ้อเจ้อ โลภมากมีจิตพยาบาท มีความเห็นผิด เมื่อตายไป พึงเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก พราหมณ์ไม่เป็น อย่างนั้น?
อ. ไม่ใช่เช่นนั้น ท่านพระโคดม ข้าแต่ท่านพระโคดม แม้กษัตริย์ ผู้มีปกติฆ่าสัตว์ ...มีความเห็นผิด เมื่อตายไป ก็พึงเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ข้าแต่ท่านพระ โคดม แม้ พราหมณ์ ... แม้แพศย์ ... แม้ศูทร ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ความจริง แม้วรรณะ ๔ ผู้มีปกติฆ่าสัตว์ ... มีความเห็นผิด เมื่อตายไป ก็พึงเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรกทั้งหมด.
พ. ดูกรอัสสลายนะ ในเรื่องนี้ อะไรเป็นกำลัง อะไรเป็นความยินดีของพราหมณ์ ทั้งหลาย ผู้กล่าวอย่างนี้ว่า พราหมณ์เท่านั้น เป็นวรรณะประเสริฐ ฯลฯ เป็นทายาท ของพรหม?
อ. ท่านพระโคดมตรัสอย่างนั้นก็จริง แต่ในเรื่องนี้ พราหมณ์ทั้งหลายก็ยังเข้าใจ อย่างนี้ว่า พราหมณ์เท่านั้น เป็นวรรณะประเสริฐ ฯลฯ เป็นทายาทของพรหม.
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
[๖๑๙] พ. ดูกรอัสสลายนะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน พราหมณ์ เท่านั้น หรือหนอ ผู้งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ จากการลักทรัพย์ จากการประพฤติผิด ในกาม จากการพูดเท็จ จากการพูดส่อเสียด จากการพูดคำหยาบ จากการพูด เพ้อเจ้อ ไม่โลภมาก มีจิตพยาบาท มีความเห็นชอบ เมื่อตายไป พึงเข้าถึงสุคติ โลกสวรรค์ กษัตริย์ไม่พึงเป็นเช่นนั้น แพศย์ไม่พึงเป็นเช่นนั้นศูทร ไม่พึงเป็นเช่นนั้น?
อ. ไม่ใช่เช่นนั้น ท่านพระโคดม ข้าแต่ท่านพระโคดม แม้กษัตริย์ผู้งดเว้นจาก การฆ่าสัตว์ ... มีความเห็นชอบ เมื่อตายไป ก็พึงเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ ข้าแต่ท่าน พระโคดมแม้พราหมณ์ ... แม้แพศย์ ... แม้ศูทร ... ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ความจริง แม้วรรณะ ๔ ผู้งดเว้นจากการฆ่าสัตว์ ... มีความเห็นชอบ เมื่อตายไป ก็พึงเข้าถึง สุคติ โลกสวรรค์ทั้งหมด.
พ. ดูกรอัสสลายนะ ในเรื่องนี้ อะไรเป็นกำลัง อะไรเป็นความยินดีของ พราหมณ์ ผู้กล่าวอย่างนี้ว่า พราหมณ์เท่านั้น เป็นวรรณะประเสริฐ ฯลฯ เป็นทายาทของพรหม?
อ. ท่านพระโคดมตรัสอย่างนี้ก็จริง แต่ในเรื่องนี้ พราหมณ์ก็ยังเข้าใจอย่างนี้ว่า พราหมณ์เท่านั้น เป็นวรรณะประเสริฐ ฯลฯ เป็นทายาทของพรหม.
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
[๖๒๐] พ. ดูกรอัสสลายนะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ในประเทศนั้น พราหมณ์เท่านั้น หรือหนอ ย่อมสามารถเจริญเมตตาจิตอันไม่มีเวร ไม่มีความ เบียดเบียน (ส่วน) กษัตริย์ไม่สามารถ แพศย์ไม่สามารถ ศูทรไม่สามารถ?
อ. ไม่ใช่เช่นนั้น ท่านพระโคดม ข้าแต่ท่านพระโคดม ในประเทศนั้น แม้กษัตริย์ ก็สามารถเจริญเมตตาจิต อันไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียน ข้าแต่ท่านพระโคดม แม้พราหมณ์ ... แม้แพศย์ ... แม้ศูทร ... ข้าแต่ท่านพระโคดมผู้เจริญ ความจริง ในประเทศนั้น แม้วรรณะ ๔ ก็สามารถเจริญเมตตาจิต อันไม่มีเวร ไม่มีความ เบียดเบียนได้ทั้งหมด.
พ. ดูกรอัสสลายนะ ในเรื่องนี้ อะไรเป็นกำลัง อะไรเป็นความยินดีของพราหมณ์ ทั้งหลาย ผู้กล่าวอย่างนี้ พราหมณ์เท่านั้น เป็นวรรณะอันประเสริฐ ฯลฯ เป็นทายาท ของพรหม?
อ. ท่านพระโคดมตรัสอย่างนั้นก็จริง แต่ในเรื่องนี้ พราหมณ์ทั้งหลายก็ยังเข้าใจ อย่างนี้ว่าพราหมณ์เท่านั้น เป็นวรรณะประเสริฐ ฯลฯ เป็นทายาทของพรหม.
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
[๖๒๑] พ. ดูกรอัสสลายนะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน พราหมณ์ เท่านั้น หรือหนอ ย่อมสามารถถือเอา เครื่องสีตัวสำหรับอาบน้ำ แล้วลอยละออง และ ธุลีได้ กษัตริย์ไม่สามารถ แพศย์ไม่สามารถ ศูทรไม่สามารถ?
อ. ไม่ใช่เช่นนั้น ท่านพระโคดม ข้าแต่ท่านพระโคดม แม้กษัตริย์ก็ย่อมสามารถ ถือเอา เครื่องสีตัวสำหรับอาบน้ำ แล้วลอยละอองและธุลีได้ ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ แม้พราหมณ์ ...แม้แพศย์ ... แม้ศูทร ... ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ความจริง แม้วรรณะ ๔ ก็ย่อมสามารถถือเอา เครื่องสีตัวสำหรับอาบน้ำ แล้วลอยละออง และธุลีได้ ทั้งหมด.
พ. ดูกรอัสสลายนะ ในเรื่องนี้ อะไรเป็นกำลัง อะไรเป็นความยินดีของพราหมณ์ ทั้งหลาย ผู้กล่าวอย่างนี้ว่า พราหมณ์เท่านั้นเป็นวรรณะประเสริฐ ฯลฯ เป็นทายาท ของพรหม?
อ. ท่านพระโคดม ตรัสอย่างนั้นก็จริง แต่ในเรื่องนี้ พราหมณ์ทั้งหลายก็ยังเข้าใจ อย่างนี้ว่า พราหมณ์เท่านั้น เป็นวรรณะประเสริฐ ฯลฯ เป็นทายาทของพรหม.
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
[๖๒๒] พ. ดูกรอัสสลายนะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน พระราชา ในโลกนี้เป็นกษัตริย์ ผู้ได้รับมูรธาภิเษกแล้ว จะพึงทรงเกณฑ์บุรุษผู้มีชาติต่างๆ กัน ๑๐๐ คนให้มาประชุมกันแล้วตรัสว่า มาเถิดท่านทั้งหลาย ในจำนวนบุรุษเหล่านั้น บุรุษเหล่าใดเกิดแต่สกุลกษัตริย์ แต่สกุลพราหมณ์ แต่สกุลเจ้า บุรุษเหล่านั้น จงถือ ไม้สัก ไม้สาละ ไม้สน ไม้จันทน์ หรือไม้ทับทิม เอามาทำเป็นไม้สีไฟ แล้วจงสี ให้ไฟลุกโพลง
อนึ่ง มาเถิดท่านทั้งหลาย ในจำนวนบุรุษเหล่านั้น บุรุษเหล่าใดเกิดแต่สกุล จัณฑาล แต่สกุลพราน แต่สกุลจักสาน แต่สกุลช่างรถ แต่สกุล เทหยากเยื่อ บุรุษเหล่านั้น จงถือเอาไม้รางสุนัข ไม้รางสุกร ไม้รางย้อมผ้า หรือไม้ละหุ่ง เอามาทำเป็นไม้สีไฟ แล้วจงสีให้ไฟลุกโพลง
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ดูกรอัสสลายนะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ไฟที่บุรุษทั้งหลาย ผู้เกิดแต่สกุลกษัตริย์ แต่สกุลพราหมณ์ แต่สกุลเจ้า ถือเอาไม้สักไม้สาละ ไม้สน ไม้จันทน์ หรือไม้ทับทิม เอามาทำเป็นไม้สีไฟ แล้วสีให้ไฟลุกโพลงขึ้นเท่านั้น หรือหนอ พึงเป็นไฟมีเปลว มีสี มีแสงสว่าง และอาจทำกิจที่ต้องทำด้วยไฟนั้นได้
ส่วนไฟที่บุรุษทั้งหลาย ผู้เกิดแต่สกุลจัณฑาล แต่สกุลพราน แต่สกุลจักสาน แต่สกุลช่างรถ แต่สกุลเทหยากเยื่อ ถือเอาไม้รางสุนัข ไม้รางสุกร ไม้รางย้อมผ้า หรือไม้ละหุ่ง เอามาทำเป็นไม้สีไฟ แล้วสีไฟให้ลุกโพลงขึ้นนั้น พึงเป็นไฟไม่มีเปลว ไม่มีสี ไม่มีแสงสว่าง และไม่อาจทำกิจ ที่ต้องการทำด้วยไฟนั้น?
อ. ไม่ใช่เช่นนั้น ท่านพระโคดม ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ แม้ไฟที่บุรุษทั้งหลาย ผู้เกิดแต่สกุลกษัตริย์ ... แล้วสีให้ไฟลุกโพลงขึ้น ก็พึงเป็นไฟมีเปลว มีสี มีแสงสว่าง และอาจทำกิจที่ต้องทำด้วยไฟนั้นได้ แม้ไฟที่บุรุษทั้งหลายผู้เกิดแต่สกุลจัณฑาล ... แล้วสีให้ไฟลุกโพลงขึ้น ก็พึงเป็นไฟมีเปลว มีสี มีแสงสว่าง และอาจทำกิจ ที่ต้อง ทำด้วยไฟนั้นได้ ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ความจริง แม้ไฟทุกอย่างก็พึงเป็นไฟมีเปลว มีสี มีแสงสว่าง และอาจทำกิจที่ต้องทำด้วยไฟนั้นได้หมด.
พ. ดูกรอัสสลายนะ ในเรื่องนี้ อะไรเป็นกำลัง อะไรเป็นความยินดีของพราหมณ์ ทั้งหลาย ผู้กล่าวอย่างนี้ว่า พราหมณ์เท่านั้น เป็นวรรณะประเสริฐ ... เป็นทายาท ของพรหม?
อ. ท่านพระโคดมตรัสอย่างนั้นก็จริง แต่ในเรื่องนี้ พราหมณ์ทั้งหลายก็ยังเข้าใจ อยู่อย่างนี้ว่า พราหมณ์เท่านั้น เป็นวรรณะประเสริฐ ฯลฯ เป็นทายาทของพรหม.
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
[๖๒๓] พ. ดูกรอัสสลายนะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ขัตติยกุมาร ในโลกนี้ พึงสำเร็จการอยู่ร่วมกับนางพราหมณี เพราะอาศัยการ อยู่ร่วม ของคนทั้งสอ งนั้น พึงเกิดบุตรแต่นางพราหมณี กับขัตติยกุมารนั้น เหมือนมารดาก็ดี เหมือนบิดา ก็ดี ก็ควรกล่าวได้ว่า เป็นกษัตริย์บ้าง เป็นพราหมณ์บ้างหรือ?
อ. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ บุตรเกิดแต่นางพราหมณี กับขัตติยกุมารนั้น เหมือน มารดาก็ดี เหมือนบิดาก็ดี ก็ควรกล่าวได้ว่า เป็นกษัตริย์บ้าง เป็นพราหมณ์บ้าง.
[๖๒๔] พ. ดูกรอัสสลายนะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน พราหมณ์กุมาร ในโลกนี้ พึงสำเร็จการอยู่ร่วมกับนางกษัตริย์ เพราะอาศัยการอยู่ร่วมของคนทั้งสอง นั้น พึงเกิดบุตร บุตรผู้เกิดแต่นางกษัตริย์ กับพราหมณ์กุมารนั้น เหมือนมารดาก็ดี เหมือนบิดาก็ดี ก็ควรกล่าวได้ว่า เป็นกษัตริย์บ้าง เป็นพราหมณ์บ้างหรือ?
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ บุตรผู้เกิดแต่นางกษัตริย์ กับพราหมณ์กุมารนี้ ก็ควร กล่าวได้ว่าเป็นกษัตริย์บ้าง เป็นพราหมณ์บ้าง.
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
[๖๒๕] พ. ดูกรอัสสลายนะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ในโลกนี้ เขาพึงผสมแม่ม้ากับพ่อลา เพราะอาศัยการผสมแม่ม้ากับพ่อลานั้น พึงเกิดลูกม้า แม้ลูกม้าที่เกิดแต่แม่ม้ากับพ่อลานั้น เหมือนแม่ก็ดี เหมือนพ่อก็ดี ก็ควรกล่าวได้ว่า เป็นม้าบ้าง เป็นลาบ้างหรือ?
อ. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ แม้ลูกผสมนั้นก็ย่อมเป็นม้าอัศดร ข้าแต่พระโคดม ผู้เจริญเรื่องของสัตว์นี้ ข้าพเจ้าเห็นว่าต่างกัน แต่ในนัยต้น ในเรื่องของมนุษย์เหล่า โน้น ข้าพเจ้าเห็นว่าไม่ต่างอะไรกัน.
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
[๖๒๖] พ. ดูกรอัสสลายนะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ในโลกนี้ พึงมีมาณพสองคน เป็นพี่น้องร่วมท้องเดียวกัน คนหนึ่งเป็นคนศึกษาเล่าเรียน อันอาจารย์แนะนำ คนหนึ่งไม่ได้ศึกษาเล่าเรียน อันอาจารย์ไม่ได้แนะนำ ในสองคนนี้ พราหมณ์ทั้งหลาย พึงเชื้อเชิญคนไหนให้บริโภคก่อน ในการเลี้ยงของผู้มีศรัทธาก็ดี ในการเลี้ยง เพื่อเป็นบรรณาการก็ดี ในการเลี้ยงเพื่อบูชายัญก็ดี ในการเลี้ยงเพื่อต้อนรับแขกก็ดี?
อ. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ในสองคนนี้ พราหมณ์ทั้งหลาย พึงเชื้อเชิญมาณพ ผู้ศึกษาเล่าเรียน ผู้ที่อาจารย์แนะนำ ให้บริโภคก่อน ในการเลี้ยงของผู้มีศรัทธาก็ดี ในการเลี้ยง เพื่อเป็นบรรณาการก็ดี ในการเลี้ยงเพื่อบูชายัญก็ดี ในการเลี้ยงเพื่อ ต้อนรับแขกก็ดี ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ของที่ให้ในบุคคลผู้ไม่ได้ศึกษาเล่าเรียน ผู้ที่อาจารย์มิได้แนะนำ จักมีผลมากได้อย่างไรเล่า.
-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------
[๖๒๗] พ. ดูกรอัสสลายนะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ในโลกนี้ พึงมีมาณพสองคน เป็นพี่น้องร่วมท้องเดียวกัน คนหนึ่งเป็นคนศึกษาเล่าเรียน อันอาจารย์ แนะนำแต่เป็นคนทุศีล มีธรรมอันลามก คนหนึ่งไม่ได้ศึกษาเล่าเรียน อันอาจารย์มิได้แนะนำ แต่เป็นคนมีศีล มีกัลยาณธรรม ในสองคนนี้ พราหมณ์ทั้งหลาย พึงเชื้อเชิญคนไหน ให้บริโภคก่อนในการเลี้ยงของผู้มีศรัทธาก็ดี ... ในการเลี้ยง เพื่อต้อนรับแขกก็ดี?
อ. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ในสองคนนี้ พราหมณ์ทั้งหลายพึงเชื้อเชิญมาณพ ผู้ไม่ได้ศึกษาเล่าเรียน ผู้ที่อาจารย์ไม่ได้แนะนำ แต่เป็นคนมีศีล มีกัลยาณธรรม ให้บริโภคก่อน ในการเลี้ยงของผู้มีศรัทธาก็ดี ... ในการเลี้ยงเพื่อต้อนรับแขกก็ดี ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ของที่ให้ในบุคคลผู้ทุศีล มีธรรมอันลามก จักมีผลมาก อะไรเล่า.
พ. ดูกรอัสสลายนะ เมื่อก่อนท่านได้ไปยังชาติ ครั้นไปยังชาติแล้วได้ไปในมนต์ ครั้นไปในมนต์แล้ว กลับเว้นมนต์นั้นเสีย แล้วกลับมายังความบริสุทธิ์อันทั่วไป แก่ วรรณะทั้ง ๔ ที่เราบัญญัติไว้.
เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว อัสสลายนมาณพนิ่งเฉย เก้อเขิน คอตก ก้มหน้าซบเซา หมดปฏิภาณ.
|