พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๒ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๓๐๕-๓๐๖
๔. ภัททกสูตร
การอยู่อย่างมีความตายที่เจริญ
[๒๘๕] ณ ที่นั้นแล ท่านพระสารีบุตรได้เรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นรับคำท่านพระสารีบุตรแล้ว
(ตายแล้วก็ไม่เจริญ)
ท่านพระสารีบุตรได้กล่าวว่า
ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุย่อมสำเร็จการอยู่ โดยประการที่เมื่อเธอสำเร็จ การอยู่ ย่อมไม่มีความตายที่เจริญ ตายแล้วก็ไม่เจริญ ก็ภิกษุย่อมสำเร็จการอยู่ โดยประการที่เมื่อเธอสำเร็จการอยู่ ย่อมไม่มีความตายที่เจริญ
ตายแล้วก็ไม่เจริญ เป็นอย่างไร
คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้
เป็นผู้ชอบการงาน (งานก่อสร้าง) ยินดีการงาน ขวนขวายความ เป็นผู้ชอบการงาน ชอบการคุย ยินดีการคุยขวนขวาย ความเป็นผู้ชอบการคุย
ชอบความหลับ ยินดีความหลับ ขวนขวายความชอบความหลับ
ชอบความคลุกคลีหมู่คณะ ยินดีความคลุกคลีหมู่คณะขวนขวาย ความเป็นผู้ชอบคลุกคลี หมู่คณะ
ชอบความคลุกคลีด้วยคฤหัสถ์ ยินดีความคลุกคลีด้วยคฤหัสถ์ ขวนขวายความชอบความ คลุกคลีด้วยคฤหัสถ์
ชอบธรรมที่เป็นเหตุให้เนิ่นช้า ยินดีธรรมที่เป็นเหตุให้เนิ่นช้า ขวนขวายความชอบธรรม ที่เป็นเหตุให้เนิ่นช้า
ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุย่อมสำเร็จการอยู่ โดยประการที่เมื่อสำเร็จการอยู่ ย่อมไม่มีความตายที่เจริญ ตายแล้วก็ไม่เจริญ อย่างนี้แลภิกษุนี้เรียกว่า ผู้ยินดีสักกายะ (เตภูมิกวัฏ) ไม่ละสักกายะ เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบ
-----------------------------------------------------------------------------------------------------
(ตายแล้วก็เจริญ)
ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุย่อมสำเร็จการอยู่ โดยประการที่ เมื่อเธอสำเร็จ การอยู่ ย่อมมีความตายที่เจริญ ตายแล้วก็เจริญ ก็ภิกษุย่อมสำเร็จการอยู่โดยประการ ที่เมื่อเธอ สำเร็จการอยู่ ย่อมมีความตายที่เจริญ
ตายแล้วก็เจริญ เป็นอย่างไร
คือ
ภิกษุในธรรมวินัยนี้
ไม่ชอบการงาน ไม่ยินดีการงาน ไม่ขวนขวายความชอบการงาน
ไม่ชอบการคุย ไม่ยินดีการคุย ไม่ขวนขวายความชอบการคุย
ไม่ชอบความหลับ ไม่ยินดีความหลับ ไม่ขวนขวายความชอบความหลับ ไม่ชอบความคลุกคลีด้วยหมู่คณะ ไม่ยินดีความคลุกคลีหมู่คณะ ไม่ขวนขวายความชอบ ความคลุกคลีหมู่คณะ
ไม่ชอบความคลุกคลีด้วยคฤหัสถ์ ไม่ยินดีความคลุกคลีด้วยคฤหัสถ์ ไม่ขวนขวาย ความชอบคลุกคลีด้วยคฤหัสถ์
ไม่ชอบธรรมที่เป็นเหตุให้เนิ่นช้า ไม่ยินดีธรรมที่เป็นเหตุ ให้เนิ่นช้า ไม่ขวนขวายความ ชอบธรรมที่เป็นเหตุให้เนิ่นช้า
ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุย่อมสำเร็จการอยู่โดยประการที่เมื่อเธอสำเร็จการอยู่ ย่อมมีความตายที่เจริญ ตายแล้วก็เจริญ อย่างนี้แล ภิกษุนี้เรียกว่า ผู้ยินดีนิพพาน ละสักกายะ เพื่อทำที่สุดทุกข์โดยชอบ
ครั้นท่านพระสารีบุตรได้กล่าวไวยากรณภาษิตนี้จบลงแล้ว จึงได้กล่าวคาถา ประพันธ์ต่อไปอีกว่า
ผู้ใดประกอบธรรมที่เป็นเหตุให้เนิ่นช้า ยินดีธรรมที่เป็นเหตุ ให้เนิ่นช้า เช่นดัง เนื้อ ผู้นั้นย่อมไม่ได้ชมนิพพานที่เกษม จากโยคะ หาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้ ส่วนผู้ใด ละธรรมที่เป็น เหตุให้เนิ่นช้า ยินดีในบทคือธรรมที่ไม่เป็นเหตุให้เนิ่นช้า ผู้นั้นย่อม ได้ชมนิพพานที่เกษมจากโยคะ หาธรรมอื่นยิ่งกว่า มิได้
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๒ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๓๐๗-๓๐๘
๕. อนุตัปปิยสูตร
การอยู่อย่างมีกาลกิริยาที่เดือดร้อน
[๒๘๖] ณ ที่นั้นแล ท่านพระสารีบุตรได้กล่าวกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรอาวุโส ทั้งหลาย ภิกษุย่อมสำเร็จการอยู่ โดยประการที่เมื่อเธอสำเร็จ การอยู่ตายแล้ว ย่อม เดือดร้อน
ก็ภิกษุย่อมสำเร็จการอยู่ โดยประการที่ เมื่อเธอสำเร็จการอยู่ ตายแล้ว ย่อมเดือดร้อนเป็นอย่างไร คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้
- ชอบการงานยินดีการงาน(ก่อสร้าง) ขวนขวายความชอบการงาน
- ชอบการคุย ...
- ชอบความหลับ ...
- ชอบความคลุกคลีด้วยหมู่คณะ ...
- ชอบความคลุกคลีด้วยคฤหัสถ์ ...
- ชอบธรรมที่เป็นเหตุให้เนิ่นช้า ยินดีธรรมที่เป็นเหตุให้ เนิ่นช้า ขวนขวายความชอบธรรม ที่เป็นเหตุให้เนิ่นช้า
ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุย่อมสำเร็จการอยู่ โดยประการที่เมื่อเธอสำเร็จการอยู่ ตายแล้วย่อมเดือดร้อนอย่างนี้แล ภิกษุนี้เรียกว่า ผู้ยินดีสักกายะ ไม่ละสักกายะ เพื่อทำ ที่สุดทุกข์โดยชอบ
ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ภิกษุย่อมสำเร็จการอยู่ โดยประการที่เมื่อเธอสำเร็จการอยู่ ตายแล้วย่อมไม่เดือดร้อน ก็ภิกษุย่อมสำเร็จการอยู่ โดยประการที่เมื่อเธอสำเร็จการอยู่ ตายแล้วย่อมไม่เดือดร้อน เป็นอย่างไร คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ไม่ชอบการงาน ไม่ยินดีการงาน ไม่ขวนขวายความชอบการงาน ไม่ชอบการคุย ... ไม่ชอบความหลับ ... ไม่ชอบความคลุกคลีด้วยหมู่คณะ ... ไม่ชอบความคลุกคลีด้วยคฤหัสถ์ ไม่ชอบธรรม ที่เป็นเหตุให้เนิ่นช้า ไม่ยินดีธรรมที่เป็นเหตุให้เนิ่นช้า ไม่ขวนขวายความชอบธรรม ที่เป็นเหตุให้เนิ่นช้า
ดูกรอาวุโสทั้งหลายภิกษุย่อมสำเร็จการอยู่ โดยประการที่เมื่อเธอสำเร็จการอยู่ ตายแล้วย่อมไม่เดือดร้อนอย่างนี้แล ภิกษุนี้เรียกว่า ผู้ยินดีนิพพาน ละสักกายะเพื่อ ทำที่สุดทุกข์โดยชอบ
ครั้นท่านพระสารีบุตรได้กล่าวไวยากรณภาษิตนี้จบลงแล้ว จึงได้กล่าวคาถา ประพันธ์ต่อไปอีกว่า
ผู้ใดประกอบธรรมที่เป็นเหตุให้เนิ่นช้า ยินดีธรรมที่เป็นเหตุ ให้เนิ่นช้า เช่น ดังเนื้อ ผู้นั้นย่อมไม่ได้ชมนิพพานที่เกษมจาก โยคะ หาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้ ส่วนผู้ใด ละธรรมที่เป็นเหตุให้ เนิ่นช้า ยินดีในบทคือธรรมที่ไม่เป็นเหตุให้เนิ่นช้า ผู้นั้น ย่อมได้ชม นิพพานที่เกษมจากโยคะ หาธรรมอื่นยิ่งกว่ามิได้
|