เว็บไซต์ อนาคามี เผยแพร่คำพระศาสดา เผยแพร่คำสอนตถาคต เว็บไซต์เผยแพร่พระสุตรคำสอนของพระพุทธเจ้า คลิปคำสอน คลิปสาธยายธรรม
ค้นหาคำที่ต้องการ            

โสตานุคตสูตร อานิสสงส์การสั่งสมสุตตะ..ฐานสูตร ว่าด้วยฐานะ ภัททิยสูตร มายาเครื่องกลับใจ.. สาปุคิยาสูตร 2192
 

พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๑

๑. โสตานุคตสูตร อานิสสงส์การสั่งสมสุตตะ จนคล่องปากขึ้นใจ แทงตลอด
- เล่าเรียนธรรม สั่งสมสุตตะ แทงตลอดด้วยทิฐิ
แต่หลงลืมเมื่อทำกาละ ได้ไปเกิดเป็นเทวดา ภพใดภพหนึ่ง
ธรรมทั้งหลาย ที่ทรงจำ ย่อมปรากฎ และจะบรรลุธรรมในภพนั้น

- เล่าเรียนธรรม สั่งสมสุตตะ แทงตลอดด้วยทิฐิ
แต่หลงลืมเมื่อทำกาละ ได้ไปเกิดเป็นเทวดา ภพใดภพหนึ่ง
แต่ภิกษุผู้มีฤทธิ์ แสดงธรรมแก่เหล่าเทวดา และจะบรรลุธรรมในภพนั้น

- เล่าเรียนธรรม สั่งสมสุตตะ แทงตลอดด้วยทิฐิ  
แต่หลงลืมเมื่อทำกาละ ได้ไปเกิดเป็นเทวดาภพใดภพหนึ่ง
ไม่มีภิกษุผู้มีฤทธิ์แสดงธรรม แก่เหล่าเทวดา
แต่เทวดาด้วยกัน แสดงธรรมให้กับเหล่าเทวดา และจะบรรลุธรรมนั้น

- เล่าเรียนธรรม สั่งสมสุตตะ แทงตลอดด้วยทิฐิ 
แต่หลงลืมเมื่อทำกาละ ได้ไปเกิดเป็นเทวดา ภพใดภพหนึ่ง
ไม่มีภิกษุผู้มีฤทธิ์แสดงธรรม แก่เทวดา
ไม่มีเทวดาด้วยกันแสดงธรรม ให้กับเหล่าเทวดา
แต่เทวดาผู้เกิดก่อน เตือนให้ระลึกบทแห่งธรรม และจะบรรลุธรรมในภพนั้น


๒. ฐานสูตร ว่าด้วยฐานะที่พึงรู้ด้วยฐานะ
ฐานะ ๔ เป็นไฉน
(๑) ศีลพึงรู้ ได้ ด้วยการอยู่ร่วมกัน ด้วยกาลนาน ไม่ใช่เล็กน้อย
(๒) ความสะอาดพึงรู้ได้ด้วยถ้อยคำ ด้วยกาลนาน ไม่ใช่เล็กน้อย
(๓) กำลังใจพึงรู้ได้ในอันตราย ด้วยกาลนาน ไม่ใช่เล็กน้อย
(๔) ปัญญาพึงรู้ได้ด้วยการสนทนา ด้วยกาลนาน ไม่ใช่เล็กน้อย


๓. ภัททิยสูตร ว่าด้วยมายาเครื่องกลับใจ
ภัททิยลิจฉวี เข้าไปเฝ้าฯ ข้าพระองค์ได้สดับมาว่า พระสมณโคดม ทรงมีมายา ย่อมทรงรู้มายา เครื่องกลับใจ สาวกของพวกอัญญเดียรถีย์ให้มานับถือ ดูกรภัททิยะ ท่านจงมาเถิด ท่านอย่าได้ถือ โดยฟังตามกันมา อย่าได้ถือโดยสืบต่อกันมา อย่าได้ถือโดยตื่นข่าว อย่าได้ถือโดยอ้างตำรา อย่าได้ถือโดยนึกเดาเอาเอง อย่าได้ถือโดยคาดคะเน อย่าได้ถือโดยตรึกตามอาการ อย่าได้ถือ โดยชอบใจว่าถูกกับลัทธิของตน อย่าได้ถือโดยเห็นว่าผู้พูดเป็นคนควรเชื่อได้ อย่าได้ถือโดยเชื่อว่า สมณะเป็นครูของเรา


๔. สาปุคิยาสูตร ว่าด้วยที่ตั้งแห่งความเพียร
องค์ ๔ ประการ คือ องค์เป็นที่ตั้งแห่งความเพียร เพื่อความบริสุทธิ์ คือ ศีล จิต ทิฐิ วิมุตติ
๑. ภิกษุเป็นผู้มีศีล ฯลฯ สมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย นี้เรียก สีลปาริสุทธิ์
๒. ภิกษุสงัดจาก กาม ฯลฯ บรรลุปฐมฌาน... จตุตถฌานอยู่ นี้เรียกว่า จิตตปาริสุทธิ
๓. ภิกษุย่อมรู้ชัด ตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ปฏิปทา นี้เรียกว่า ทิฏฐิปาริสุทธิ
๔. ภิกษุผู้ประกอบด้วย สีลปาริสุทธิ จิตตปาริสุทธ ทิฏฐิปาริสุทธิ ย่อมคลายความกำหนัด ย่อมเปลื้องในธรรมที่ควรเปลื้อง ย่อมถูกต้องสัมมาวิมุติ นี้เรียกว่า วิมุตติปาริสุทธิ

๕. วัปปสูตร วิธีเผากิเลสจากกรรมเก่า
ดูกรวัปปะ อาสวะเหล่าใดก่อทุกข์เดือดร้อนเกิดขึ้น เพราะการกระทำทางกาย (ทางวาจา ทางใจ) เป็นปัจจัย เมื่อบุคคลงดเว้นจากการกระทำแล้ว อาสวะเหล่านั้นที่ก่อทุกข์เดือดร้อน ย่อมไม่มี แก่เขา เขาไม่ทำกรรมใหม่ด้วย รับผลกรรมเก่าแล้วทำให้สิ้นไปด้วย นี้เป็นปฏิปทาเผากิเลส ให้พินาศ ผู้ปฏิบัติพึงเห็นได้เอง (งดทำกรรมใหม่ที่ก่อทุกข์ คือคือการเผากิเลสให้สิ้นไป อุปมา เหมือนต้นไม้ที่ถูกโค่นย่อมไม่เกิดเงา)


๖. สาฬหสูตร ว่าด้วยเจ้าลิจฉวีพระนามว่าสาฬหะ
มีสมณพราหมณ์ พวกหนึ่ง บัญญัติการรื้อถอนโอฆะ เพราะเหตุ ๒ อย่างคือ
    เพราะเหตุ สีลวิสุทธิ ๑ (ความหมดจดแห่งศีล)
    เพราะเหตุเกลียดตบะ ๑ (ทรมานตนเพื่อละกิเลส)
   ส่วนในธรรมวินัยนี้ พระผู้มีพระภาคตรัส อย่างไร พระเจ้าข้า ดูกรสาฬหะ เรากล่าว สีลวิสุทธิ ว่าเป็นธรรมของสมณอย่างหนึ่ง สมณพราหมณเหล่าใด ยกย่อง การเกลียดตบะเป็นสาระ สมณพราหมณ์เหล่านั้น ไม่ควรเพื่อจะรื้อถอนโอฆะ(กิเลส-อวิชชา) ออกได้ อนึ่ง สมณพราหมณ์ เหล่าใดมีความประพฤติ ทางกาย วาจา ใจ ไม่บริสุทธิ์ มีความประพฤติ ไม่บริสุทธิ์ มีอาชีพไม่ บริสุทธิ์ สมณพราหมณ์เหล่านั้น ไม่ควรเพื่อญาณทัศนะเพื่อการตรัสรู้


๗. มัลลิกาเทวีสูตร ว่าด้วยพระนางมัลลิกาเทวี
อะไรหนอเป็นเหตุ เป็นปัจจัย ให้มาตุคามบางคน มีผิวพรรณทราม รูปชั่ว ไม่น่าดู ยากจนขัดสน ทรัพย์สมบัติ และต่ำศักดิ์
ดูกรพระนางมัลลิกา มาตุคามบางคน เป็นผู้มักโกรธ มากไปด้วยความแค้นใจ ถูกว่าแม้เล็กน้อย ก็ขัดเคือง ฉุนเฉียว กระฟัด กระเฟียด กระด้างกระเดื่อง แสดงความโกรธความขัดเคือง และความ ไม่พอใจให้ปรากฏ เป็นผู้ไม่ให้ทาน คือ ข้าว น้ำ ยวดยาน ระเบียบ ของหอมเครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่อยู่อาศัย และ ประทีปโคมไฟ แก่สมณะหรือพราหมณ์ ...


๘. อัตตันตปสูตร ว่าด้วยบุคคลผู้ทำตนให้เดือดร้อน
    ๑. บางคนทำตนให้เดือดร้อน และขวนขวายทำตนให้เดือดร้อน
    ๒. บางคนทำผู้อื่นให้เดือดร้อน และขวนขวายทำผู้อื่นให้เดือดร้อน
    ๓. บางคนทำตนให้เดือดร้อน ขวนขวายทำตนให้เดือดร้อน และ
        ทำผู้อื่นให้เดือดร้อน รวมทั้ง ขวนขวายทำผู้อื่นให้เดือดร้อน
    ๔. บางคนไม่ทำตนให้เดือดร้อน ไม่ขวนขวายทำตนให้เดือดร้อน และ
       ไม่ทำผู้อื่นให้ เดือดร้อน ไม่ขวนขวายทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน
ผู้ไม่ทำตนและผู้อื่นให้เดือดร้อน เป็นผู้ดับร้อน เย็นใจ มีตนอันประเสริฐ อยู่ในปัจจุบันเทียว


๙. ตัณหาสูตรว่าด้วยตัณหา
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงตัณหา เช่นดังข่าย(ตาข่าย) ท่องเที่ยวไป แผ่ซ่านไป เกาะเกี่ยวอยู่ในอารมณ์ต่างๆ เป็นเครื่องปกคลุมหุ้มห่อสัตว์โลกนี้ ซึ่งยุ่งเหมือนกลุ่มด้าย อันยุ่งเหยิง ขอดเป็นปม เป็นเหมือนหญ้าปล้อง ไม่ให้ล่วงพ้นอบาย ทุคติ วินิบาต และสงสารไปได้
ตัณหาวิจริต ๑๘ ประการนี้
อาศัยขันธบัญจกภายใน ตัณหาวิจริต ๑๘ ประการ
อาศัยขันธบัญจกภายนอก ตัณหาวิจริต ๑๘ ประการ
อาศัยขันธบัญจกภายนอก ด้วยประการฉะนี้ รวมเรียกว่า ตัณหาวิจริตเห็นปานนี้ ที่เป็นอดีต ๓๖ อนาคต ๓๖ เป็นปัจจุบัน ๓๖ รวมเป็นตัณหาวิจริต ๑๐๘ ด้วยประการฉะนี้

๑๐. เปมสูตร ว่าด้วยความรักและความชัง
ธรรมชาติ ๔ ประการนี้ ย่อมเกิด
๑. ความรักย่อมเกิด เพราะความรัก
๒.โทสะย่อมเกิด เพราะความรัก
๓.ความรัก ย่อมเกิดเพราะโทสะ
๔.โทสะ ย่อมเกิดเพราะโทสะ

เรื่องสำคัญของพระพุทธเจ้า
การบำเพ็ญบารมีในอดีตชาติ
การประสูติ แสงสว่าง แผ่นดินไหว
แสวงหาสัจจะบำเพ็ญทุกรกิริยา
ปัญจวัคคีย์หลีก สิ่งที่ตรัสรู้
ตรัสรู้ แสดงเทศนาปัญจวัคคีย์
ปลงสังขาร ปรินิพพาน
ลำดับขั้นการปรินิพพาน
เทวดาแสดงฤทธิ์ขณะถวายเพลิง
แบ่งพระสรีระออกเป็น ๘ ส่วน
 
รวมพระสูตรบุคคลสำคัญ
พระโมคคัลลานะ
พระสารีบุตร
พระเทวทัต
นิครนถ์ปริพาชก
พระมหากัปปินะ
พระอนุรุทธะ
พระอุบาลี
(ดูทั้งหมด)
 
สารบาญพระไตรปิฎก
เล่มที่ ๘-๓๓ (๒๕ เล่ม) ทุกพระสูตร
1. ฉบับหลวง
2. ฉบับมหาจุฬาฯ
3. อรรถกถาไทย
4. ฉบับภาษาบาลี
5. อรรถกถา-บาลี
6. Pali Roman (Roman Script)
7. Atthakatha PaliRoman
 

 


 


พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๑ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๒๑๔-๒๔๘

มหาวรรคที่ ๕
หมวดว่าด้วยเรื่องใหญ่

๑. โสตานุคตสูตร
อานิสสงส์การสั่งสมสุตตะ

            [๑๙๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อานิสงส์ ๔ ประการแห่งธรรมทั้งหลาย ที่บุคคล ฟังเนืองๆ คล่องปาก ขึ้นใจ แทงตลอดด้วยดีด้วยทิฐิ อันบุคคลพึงหวังได้

อานิสงส์ ๔ ประการเป็นไฉน

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย (๑) ภิกษุในธรรมวินัยนี้ย่อมเล่าเรียนธรรม คือ สุตตะ... เวทัลละ ธรรมเหล่านั้นเป็นธรรม อันภิกษุนั้นฟังเนืองๆ คล่องปาก ขึ้นใจ แทงตลอด ด้วยดี ด้วยทิฐิ เธอมีสติ หลงลืมเมื่อกระทำกาละ ย่อมเข้าถึงเทพนิกายหมู่ใดหมู่หนึ่ง บทแห่งธรรมทั้งหลาย ย่อมปรากฏแก่เธอ ผู้มีความสุขในภพนั้น สติบังเกิดขึ้นช้า แต่สัตว์นั้นย่อมเป็นผู้ บรรลุคุณวิเศษ เร็วพลัน ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นอานิสงส์ ประการที่ ๑ แห่งธรรมทั้งหลาย ที่บุคคล ฟังเนืองๆ คล่องปาก ขึ้นใจ แทงตลอดด้วยดี ด้วยทิฐิอันบุคคลพึงหวังได้

            อีกประการหนึ่ง (๒) ภิกษุย่อมเล่าเรียนธรรม คือ สุตตะ...เวทัลละ ธรรมเหล่านั้น เป็นธรรมอันภิกษุนั้น ฟังเนืองๆ คล่องปากขึ้นใจ แทงตลอดด้วยดีด้วยทิฐิ เธอมีสติ หลงลืม เมื่อกระทำกาละ ย่อมเข้าถึง เทพนิกายหมู่ใด หมู่หนึ่ง บทแห่งธรรม ทั้งหลายย่อมไม่ปรากฏแก่เธอ ผู้มีความสุขอยู่ในภพนั้นเลย แต่ภิกษุผู้มีฤทธิ์ ถึงความ ชำนาญแห่งจิต แสดงธรรมแก่เทพบริษัท เธอมีความปริวิตกอย่างนี้ว่า ในกาลก่อนเรา ได้ ประพฤติ พรหมจรรย์ ในธรรมวินัยใด นี้คือธรรมวินัยนั้น สติบังเกิดขึ้นช้า แต่ว่าสัตว์นั้น ย่อมบรรลุคุณวิเศษ เร็วพลัน
            ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุรุษผู้ฉลาดต่อเสียงกลอง เขาเดินทางไกล พึงได้ยินเสียง กลอง เขาไม่พึงมี ความสงสัย หรือเคลือบแคลงว่า เสียงกลองหรือไม่ใช่หนอ ที่แท้ เขาพึงถึงความตกลงใจว่า เสียงกลองทีเดียว ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อม เล่าเรียนธรรม ฯลฯ ย่อมเป็นผู้บรรลุคุณวิเศษ เร็วพลัน ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นอานิสงส์ ประการที่ ๒ แห่งธรรมทั้งหลายที่ภิกษุ ฟังเนืองๆ คล่องปาก ขึ้นใจ แทงตลอด ด้วยดี ด้วยทิฐิ อันบุคคลพึงหวังได้

            อีกประการหนึ่ง (๓) ภิกษุย่อมเล่าเรียนธรรม คือ สุตตะ... บทแห่งธรรม ทั้งหลาย ย่อมไม่ปรากฏแก่เธอ ผู้มีความสุข อยู่ในภพนั้นเลย ทั้งภิกษุผู้มีฤทธิ์ถึงความ ชำนาญ แห่งจิต ก็ไม่ได้แสดงธรรม ในเทพบริษัท แต่เทพบุตร ย่อมแสดงธรรมในเทพ บริษัท เธอมีความคิดอย่างนี้ว่า ในกาลก่อนเรา ได้ประพฤติพรหมจรรย์ในธรรมวินัยใด นี้คือธรรมวินัยนั้นเอง สติบังเกิดขึ้นช้า แต่ว่าสัตว์นั้น ย่อมเป็นผู้บรรลุคุณวิเศษ เร็วพลัน
            ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุรุษผู้ฉลาดต่อเสียงสังข์ เขาเดินทางไกล พึงได้ฟังเสียง สังข์เข้า เขาไม่พึงมี ความสงสัย หรือเคลือบแคลงว่า เสียงสังข์หรือมิใช่หนอ ที่แท้ เขาพึง ถึงความตกลงใจว่า เสียงสังข์ ฉันใดภิกษุก็ฉันนั้น เหมือนกัน ย่อมเล่าเรียนธรรม คือ สุตตะ ฯลฯ ย่อมเป็นผู้บรรลุคุณวิเศษ เร็วพลัน ดูกรภิกษุทั้งหลาย นี้เป็นอานิสงส์ ประการที่ ๓ แห่งธรรมทั้งหลายที่ภิกษุ ฟัง เนืองๆ คล่องปาก ขึ้นใจ แทงตลอดด้วยดี ด้วยทิฐิ อันบุคคลพึงหวังได้

            อีกประการหนึ่ง (๔) ภิกษุย่อมเล่าเรียนธรรม คือ สุตตะ ... บทแห่งธรรม ทั้งหลาย ย่อมไม่ปรากฏแก่เธอ ผู้มีความสุข อยู่ในภพนั้นเลย แม้ภิกษุผู้มีฤทธิ์ ถึงความ ชำนาญ แห่งจิต ก็มิได้แสดงธรรมในเทพบริษัท แม้เทพบุตรก็ไม่ได้ แสดงธรรม ในเทพบริษัท แต่เทพบุตรผู้เกิดก่อน เตือนเทพบุตรผู้เกิดทีหลังว่า ท่านผู้นฤทุกข์ย่อม ระลึกได้ หรือว่าเราได้ประพฤติพรหมจรรย์ในกาลก่อน เธอกล่าวอย่างนี้ว่า เราระลึกได้ ท่านผู้นฤทุกข์ เราระลึกได้ท่านผู้นฤทุกข์ สติบังเกิดขึ้นช้าแต่ว่าสัตว์นั้น ย่อมเป็นผู้บรรลุ คุณวิเศษ เร็วพลัน

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย สหายสองคนเล่นฝุ่นด้วยกัน เขามาพบกัน บางครั้งบางคราว ในที่บางแห่ง สหายคนหนึ่ง พึงกล่าวกะสหายคนนั้นอย่างนี้ว่า สหาย ท่านระลึกกรรม แม้นี้ได้หรือ เขาพึงกล่าวอย่างนี้ว่าเราระลึกได้ เราระลึกได้ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมเล่าเรียนธรรม ฯลฯ ย่อมเป็นผู้บรรลุคุณวิเศษ เร็วพลัน

            ดูกรภิกษุทั้งหลายนี้เป็นอานิสงส์ประการที่ ๔ แห่งธรรมทั้งหลาย ที่ภิกษุฟัง เนืองๆ คล่องปาก ขึ้นใจ แทงตลอด ด้วยดี ด้วยทิฐิ อันบุคคลพึงหวังได้

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย อานิสงส์ ๔ ประการนี้ แห่งธรรมทั้งหลายที่ภิกษุฟังแล้ว เนืองๆ คล่องปาก ขึ้นใจ แทงตลอด ด้วยดีด้วยทิฐิ อันบุคคลพึงหวังได้

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๑ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๒๑๔-๒๔๘

๒. ฐานสูตร
ว่าด้วยฐานะที่พึงรู้ด้วยฐานะ

            [๑๙๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฐานะ ๔ ประการนี้พึงรู้ด้วยฐานะ ๔

ฐานะ ๔ เป็นไฉน

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย
(๑)
ศีลพึงรู้ ได้ ด้วยการอยู่ร่วมกัน และศีลนั้นพึงรู้ได้ด้วย กาลนาน ไม่ใช่เล็กน้อย มนสิการอยู่จึงจะรู้ ไม่มนสิการ อยู่หารู้ ไม่คนมีปัญญาจึงจะรู้ คนมีปัญญาทรามหารู้ไม่

(๒) ความสะอาดพึงรู้ได้ด้วยถ้อยคำ และความสะอาดนั้นพึงรู้ได้ โดยกาลนาน ไม่ใช่เล็กน้อย มนสิการอยู่จึงจะรู้ ไม่มนสิการหารู้ไม่ คนมีปัญญาจึงจะรู้ คนมีปัญญาทราม หารู้ไม่

(๓) กำลังใจพึงรู้ได้ในอันตราย และกำลังใจนั้นแล พึงรู้ได้ โดยกาลนาน ไม่ใช่ เล็กน้อย มนสิการจึงจะรู้ ไม่มนสิการหารู้ไม่ คนมีปัญญาจึงจะรู้ คนมีปัญญาทรามหารู้ไม่

(๔) ปัญญาพึงรู้ได้ด้วยการสนทนา และปัญญา นั้นแล พึงรู้ได้ โดยกาลนาน ไม่ใช่เล็กน้อย มนสิการจึงจะรู้ ไม่มนสิการหารู้ไม่ คนมีปัญญาจึงจะรู้ คนมีปัญญา ทรามหารู้ไม่

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็คำที่เรากล่าวว่า ศีลพึงรู้ได้ด้วยการอยู่ร่วมกัน... คนมีปัญญาทรามหารู้ไม่ ดังนี้ นี้เรากล่าวแล้วเพราะอาศัยอะไร บุคคลในโลกนี้ เมื่ออยู่ร่วมกับบุคคลย่อมรู้อย่างนี้ว่า ท่านผู้นี้ มักทำศีล ให้ขาด มักทำให้ทะลุ มักทำ ให้ด่าง มักทำให้พร้อย ตลอดกาลนานแล ไม่กระทำติดต่อไป ไม่ประพฤติติดต่อ ในศีลทั้งหลาย ท่านผู้นี้เป็นคนทุศีล หาใช่เป็นคนมีศีลไม่

            อนึ่ง บุคคลในโลกนี้ เมื่ออยู่ร่วมกับบุคคลย่อมรู้ อย่างนี้ว่า ท่านผู้นี้มีปรกติไม่ทำ ศีลให้ขาด ไม่ทำให้ทะลุ ไม่ทำให้ด่าง ไม่ทำให้พร้อย ตลอดกาลนาน มีปรกติ ทำติดต่อไป ประพฤติติดต่อ ในศีลทั้งหลาย ท่านผู้นี้เป็นผู้มีศีล หาใช่เป็นผู้ทุศีล

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย คำที่เรากล่าวว่า ศีลพึงรู้ได้ด้วยการอยู่ร่วมกัน... คนมีปัญญาทราม หารู้ไม่ ดังนี้ นี้เรา กล่าวแล้วเพราะอาศัยข้อนี้

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็คำที่เรากล่าวว่า ความสะอาดพึงรู้ได้ด้วยถ้อยคำ... คนมีปัญญาทรามหารู้ไม่ ดังนี้ นี้เรากล่าวแล้วเพราะอาศัยอะไร บุคคลในโลกนี้สนทนา อยู่กับบุคคลย่อมรู้อย่างนี้ว่า ท่านผู้นี้พูดกัน ตัวต่อตัว เป็นอย่างหนึ่ง พูดกันสองต่อสอง เป็นอย่างหนึ่ง พูดกันสามคนเป็นอย่างหนึ่ง พูดกันมากคน เป็นอย่างหนึ่ง ท่านผู้นี้พูดคำ หลังผิดแผกไปจากคำก่อน ท่านผู้นี้มีถ้อยคำไม่บริสุทธิ์ ท่านผู้นี้หามี ถ้อยคำบริสุทธิ์ไม่ อนึ่ง บุคคลในโลกนี้ เมื่อสนทนาอยู่กับบุคคล ย่อมรู้อย่างนี้ว่าท่านผู้นี้พูดกัน ตัวต่อตัว เป็นอย่างไร พูดกันสองคน สามคน มากคน ก็อย่างนั้นท่านผู้นี้ พูดคำหลังไม่ผิดแผก จากคำก่อน มีถ้อยคำบริสุทธิ์ ท่านผู้นี้หามีถ้อยคำ ไม่บริสุทธิ์ไม่

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย คำที่เรากล่าวว่า ความสะอาดพึงรู้ได้ด้วยถ้อยคำ... คนมีปัญญาทราม หารู้ไม่ ดังนี้ นี้เรา กล่าวแล้ว เพราะอาศัยข้อนี้

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็คำที่เรากล่าวว่า กำลังใจพึงรู้ได้ในอันตราย... คนมีปัญญาทราม หารู้ไม่ ดังนี้ นี้เรากล่าว แล้ว เพราะอาศัยอะไร บุคคลบางคนในโลกนี้ กระทบความเสื่อมญาติ กระทบความเสื่อม โภคทรัพย์ หรือ กระทบ ความเสื่อมเพราะ โรค ย่อมไม่พิจารณาอย่างนี้ว่า โลกสันนิวาสนี้ เป็นอย่างนั้นเอง การได้อัตภาพ เป็นอย่างนั้น ในโลกสันนิวาสตามที่เป็นแล้ว ในการได้อัตภาพตามที่เป็นแล้ว โลกธรรม ๘ คือ ลาภ ๑ ความเสื่อมลาภ ๑ ยศ ๑ ความเสื่อมยศ ๑ นินทา ๑ สรรเสริญ ๑ สุข ๑ ทุกข์ ๑ ย่อมหมุนเวียน ไปตามโลก และโลกย่อมหมุนไป ตาม โลกธรรม ๘ ดังนี้ บุคคลนั้นกระทบความ เสื่อมญาติ กระทบความเสื่อมโภคทรัพย์ หรือกระทบความเสื่อม เพราะโรค ย่อมเศร้าโศก ลำบากใจ ร่ำไร ทุบอก คร่ำครวญ ถึงความหลงใหล

            ส่วนบุคคลบางคนในโลกนี้ กระทบความเสื่อมญาติ กระทบความเสื่อม โภคทรัพย์ หรือกระทบ ความเสื่อม เพราะโรค ย่อมพิจารณาอย่างนี้ว่าโลกสันนิวาสนี้ เป็นอย่างนั้นเอง การได้อัตภาพ เป็นอย่างนั้น ในโลก สันนิวาสตามที่เป็นแล้ว ในการได้ อัตภาพตามที่เป็นแล้ว โลกธรรม ๘ คือ ลาภ ๑ ความเสื่อมลาภ ๑ ยศ ๑ ความเสื่อมยศ ๑ นินทา ๑ สรรเสริญ ๑ สุข ๑ ทุกข์ ๑ หมุนเวียน ไปตามโลก และโลกย่อมหมุนเวียน ตามโลกธรรม ๘ ดังนี้

            บุคคลนั้นกระทบความเสื่อมญาติ กระทบความเสื่อมโภคทรัพย์ หรือกระทบ ความเสื่อมเพราะโรค ย่อม ไม่เศร้าโศก ไม่ลำบากใจ ไม่ร่ำไร ไม่ทุบอกคร่ำครวญ ไม่ถึงความหลงใหล

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย คำที่เรากล่าวว่า กำลังใจพึงรู้ได้ในอันตราย... คนมี ปัญญาทราม หารู้ไม่ ดังนี้นี้เรา กล่าวแล้ว เพราะอาศัยข้อนี้

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็คำที่เรากล่าวว่า ปัญญาพึงรู้ได้ด้วยการสนทนา... คนมี ปัญญาทรามหารู้ไม่ ดังนี้ นี้เรากล่าวแล้ว เพราะอาศัยอะไร บุคคลบางคนในโลกนี้ สนทนากับบุคคลย่อมรู้อย่างนี้ว่า ความลึกซึ้ง ของท่านผู้นี้เพียงไร อภินิหารของท่าน ผู้นี้เพียงไร และการถามปัญหาของท่านผู้นี้ เพียงไร ท่านผู้นี้ปัญญาทราม ท่านผู้นี้ ไม่มีปัญญา ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะท่านผู้นี้ไม่อ้างบทความ อันลึกซึ้งอันสงบ ประณีต ที่สามัญชน คาดไม่ถึง ละเอียด อันบัณฑิตพึงรู้ได้ อนึ่ง ท่านผู้นี้กล่าวธรรม อันใด ท่านผู้นี้ ไม่สามารถจะบอก แสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก กระทำให้ตื้น ซึ่งเนื้อความ แห่งธรรมนั้นได้ โดยย่อหรือโดยพิสดาร ท่านผู้นี้ มีปัญญาทราม ท่านผู้นี้ ไม่มีปัญญา

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุรุษผู้มีจักษุยืนอยู่ที่ฝั่งห้วงน้ำ พึงเห็นปลาเล็กๆ ผุดอยู่ เขาพึงทราบได้ว่า กิริยาผุดของปลาตัวนี้ เป็นอย่างไร ทำให้เกิดคลื่นเพียงไหน และมีความเร็วเพียงไร ปลาตัวนี้เล็ก ไม่ใช่ปลาตัวใหญ่ ดังนี้ ฉันใด บุคคลเมื่อ สนทนา กับบุคคลก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมรู้อย่างนี้ว่า ความลึกซึ้ง ของท่านผู้นี้เพียงไร ฯลฯ ท่านผู้นี้มีปัญญาทราม ท่านผู้นี้ไม่มีปัญญา ดังนี้ ส่วนบุคคล ในโลกนี้ สนทนาอยู่กับ บุคคลย่อมรู้อย่างนี้ว่าความลึกซึ้งของท่านผู้นี้เพียงไร อภินิหารของท่าน ผู้นี้เพียงไร การถามปัญหาของท่านผู้นี้เพียงไร ท่านผู้นี้มีปัญญา ท่านผู้นี้ไม่ใช่ทรามปัญญา

            ข้อนั้นเพราะเหตุอะไร

            เพราะท่านผู้นี้ย่อมอ้างบทความลึกซึ้ง สงบ ประณีต สามัญชนคาดไม่ถึง ละเอียด อันบัณฑิตพึงรู้ได้ และท่านผู้นี้ย่อมกล่าวธรรมใด ท่านผู้นี้เป็นผู้สามารถ เพื่อจะบอก เพื่อแสดง บัญญัติ แต่งตั้ง เปิดเผย จำแนก กระทำให้ตื้น ซึ่งเนื้อความแห่ง ธรรมนั้น ทั้งโดยย่อหรือพิสดารได้ ท่านผู้นี้เป็นผู้มีปัญญา ท่านผู้นี้หาใช่ เป็นผู้มี ปัญญาทรามไม่ ดังนี้

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุรุษผู้มีจักษุยืนอยู่ที่ฝั่งห้วงน้ำ พึงเห็นปลาตัวใหญ่กำลังผุด เขาพึงรู้อย่างนี้ว่า กิริยาผุด ของปลา ตัวนี้เป็นอย่างไร ทำให้เกิดคลื่นได้เพียงไหน มีความเร็วเพียงไร ปลาตัวนี้ใหญ่ หาใช่ปลาตัวเล็กไม่ ดังนี้ ฉันใด บุคคลสนทนา อยู่กับบุคคล ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมรู้อย่างนี้ว่า ความลึกซึ้งของท่านผู้นี้เพียงไร ฯลฯ ท่านผู้นี้มี ปัญญา หาใช่เป็นผู้มีปัญญาทรามไม่ ดังนี้

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย คำที่เรากล่าวว่า ปัญญาพึงรู้ได้ด้วยการสนทนา... คนมีปัญญาทราม หารู้ไม่ ดังนี้ นี้เรา กล่าวแล้ว เพราะอาศัยข้อนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฐานะ ๔ ประการนี้แล อันบุคคลพึงรู้ได้ด้วยฐานะ ๔ นี้

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๑ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๒๑๔-๒๔๘

๓. ภัททิยสูตร
ว่าด้วยเจ้าลิจฉวีพระนามว่าภัททิยะ

(มายาเครื่องกลับใจ)

            [๑๙๓] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ กูฏาคารศาลาป่ามหาวัน ใกล้เมืองเวสาลี ครั้งนั้นแล ภัททิยลิจฉวี เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว ได้ทูลถาม พระผู้มีพระภาคว่า

            ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้สดับมาดังนี้ว่า พระสมณโคดมทรงมีมายา ย่อมทรงรู้มายาเครื่อง กลับใจ สาวก ของพวกอัญญเดียรถีย์ ให้มานับถือ พวกเขา เหล่านั้น พากันกล่าวอย่างนี้ว่า พระสมณโคดม ทรงมีมายา ย่อมทรงรู้ มายาเครื่อง กลับใจสาวก ของพวกอัญญเดียรถีย์ ให้มานับถือ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ คนเหล่านั้น เป็นอันกล่าวตาม ที่พระผู้มีพระภาคตรัสแลหรือ ไม่ได้กล่าวตู่ พระผู้มีพระภาคด้วยคำ ไม่เป็นจริง ย่อมพยากรณ์ ธรรมสมควรแก่ธรรม และการคล้อยตาม วาทะ อันชอบ แก่เหตุไรๆ ย่อมไม่มาถึงฐานะ อันควร ติเตียนแลหรือแท้จริง ข้าพระองค์ไม่ประสงค์ จะกล่าวตู่พระผู้มีพระภาคเลย พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

            ดูกรภัททิยะ ท่านจงมาเถิด ท่านทั้งหลาย อย่าได้ถือโดยฟังตามกันมา อย่าได้ถือ โดยสืบต่อกันมา อย่าได้ถือ โดย ตื่นข่าว อย่าได้ถือโดยอ้างตำรา อย่าได้ถือ โดยนึกเดาเอาเอง อย่าได้ถือโดย คาดคะเน อย่าได้ถือ โดย ตรึกตามอาการ อย่าได้ถือ โดยชอบใจว่าถูกกับลัทธิของตน อย่าได้ถือ โดยเห็นว่าผู้พูด เป็นคนควรเชื่อได้ อย่าได้ถือ โดยเชื่อว่า สมณะเป็นครูของเรา

            ดูกรภัททิยะ เมื่อใด ท่านพึงรู้ได้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านี้เป็นอกุศล ธรรม เหล่านี้ มีโทษธรรมเหล่านี้ อันวิญญูชน ติเตียน ธรรมเหล่านี้อันบุคคลสมาทาน ให้ บริบูรณ์แล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อมิใช่ประโยชน์ เกื้อกูล เพื่อทุกข์ เมื่อนั้น ท่านทั้งหลาย พึงละเสียเถิด

            ดูกรภัททิยะ ท่านจะพึงสำคัญความความข้อนั้นเป็นไฉน ความโลภเมื่อเกิดขึ้น ภายในบุคคล ย่อมเกิดขึ้นเพื่อ ประโยชน์ หรือเพื่อมิใช่ประโยชน์

            ภัท. เพื่อมิใช่ประโยชน์ พระเจ้าข้า

            พ. ดูกรภัททิยะ ก็บุคคลผู้โลภมาก ถูกความโลภครอบงำย่ำยีจิต ย่อมฆ่าสัตว์ ก็ได้ ลักทรัพย์ก็ได้ คบชู้ก็ได้ พูดเท็จก็ได้ ย่อมชักชวนผู้อื่นเพื่อความเป็นอย่างนั้นก็ได้ ข้อนี้ย่อมเป็นไปเพื่อมิใช่ ประโยชน์ เพื่อทุกข์ ตลอดกาลนานหรือ
            ภัท. อย่างนั้น พระเจ้าข้า

            พ. ดูกรภัททิยะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน โทสะ ... โมหะ ...การแข่งดี เมื่อเกิดขึ้นในภายใน ของ บุรุษ ย่อมเกิดขึ้นเพื่อประโยชน์หรือเพื่อมิใช่ประโยชน์
            ภัท. เพื่อมิใช่ประโยชน์ พระเจ้าข้า

            พ. ดูกรภัททิยะ บุคคลผู้แข่งดี ถูกความแข่งดีครอบงำย่ำยีจิต ย่อมฆ่าสัตว์ก็ได้ ลักทรัพย์ก็ได้ คบชู้ ก็ได้ พูดเท็จก็ได้ ชักชวนผู้อื่นเพื่อความเป็นอย่างนั้นก็ได้ ข้อนี้ย่อม เป็นไปเพื่อมิใช่ประโยชน์ เพื่อทุกข์ตลอดกาล นานหรือ
            ภัท. อย่างนั้น พระเจ้าข้า

            พ. ดูกรภัททิยะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ธรรมเหล่านี้เป็นกุศลหรือ เป็นอกุศล
            ภัท. เป็นอกุศล พระเจ้าข้า

            พ. มีโทษหรือไม่มีโทษ
            ภัท. มีโทษ พระเจ้าข้า

            พ. วิญญูชนติเตียนหรือวิญญูชนสรรเสริญ
            ภัท. วิญญูชนติเตียน พระเจ้าข้า

            พ. บุคคลสมาทานให้บริบูรณ์แล้ว เป็นไปเพื่อมิใช่ประโยชน์ เพื่อทุกข์ หรือมิใช่ หรือว่าท่าน มีความเห็น อย่างไร ในข้อนี้
            ภัท. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรมเหล่านี้บุคคลสมาทานให้บริบูรณ์แล้ว ย่อมเป็น ไปเพื่อมิใช่ประโยชน์ เพื่อ ทุกข์ ข้าพระองค์มีความเห็นอย่างนี้ในข้อนี้พระเจ้าข้า

            พ. ดูกรภัททิยะ เราได้กล่าวคำใดกะท่านว่า ท่านทั้งหลาย อย่าถือโดยฟังตาม กันมา...เมื่อใด ท่านพึงรู้ได้ด้วย ตนเองว่า ธรรมเหล่านี้เป็นอกุศล... ท่านทั้งหลาย ควรละเสียเถิด ดังนี้ คำนั้นเรา กล่าวเพราะอาศัยข้อนี้

            ดูกรภัททิยะ ท่านทั้งหลาย อย่าได้ถือโดยฟังตามกันมา...เมื่อใด ท่านทั้งหลาย พึงรู้ได้ด้วยตนเองว่า ธรรม เหล่านี้ เป็นกุศลธรรมเหล่านี้ไม่มีโทษ ธรรมเหล่านี้วิญญูชน สรรเสริญ ธรรมเหล่านี้ บุคคล สมาทาน ให้บริบูรณ์ แล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อสุข เมื่อนั้นท่านทั้งหลาย พึงเข้าถึง ธรรมเหล่านั้นอยู่เถิด

            ดูกรภัททิยะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ความไม่โลภเมื่อเกิดขึ้นใน ภายในของบุรุษ ย่อมเกิดขึ้นเพื่อ ประโยชน์ หรือเพื่อมิใช่ประโยชน์
            ภัท. เพื่อประโยชน์ พระเจ้าข้า

            พ. ดูกรภัททิยะ ก็บุคคลผู้ไม่โลภนี้ ไม่ถูกความโลภครอบงำย่ำยีจิต ย่อมไม่ ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่คบชู้ ไม่พูดเท็จ และชักชวนผู้อื่น เพื่อความเป็นอย่างนั้น ข้อนี้ ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อสุขตลอดกาล นานหรือ
            ภัท. อย่างนั้น พระเจ้าข้า

            พ. ดูกรภัททิยะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ความไม่โกรธ... ความไม่หลง... ความไม่แข่งดี เกิดขึ้น ในภายใน ของบุรุษ ย่อมเกิดขึ้นเพื่อประโยชน์ เกื้อกูล หรือเพื่อมิใช่ประโยชน์เกื้อกูล
            ภัท. เพื่อประโยชน์เกื้อกูล พระเจ้าข้า

            พ. ดูกรภัททิยะ ก็บุคคลผู้ไม่แข่งดีนี้ ไม่ถูกความแข่งดีครอบงำย่ำยีจิต ย่อมไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่คบชู้ ไม่พูดเท็จ และชักชวนผู้อื่นเพื่อความเป็นอย่างนั้น ข้อนี้ย่อมเป็นไป เพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อสุขตลอด กาลนาน หรือ
            ภัท. อย่างนั้น พระเจ้าข้า

            พ. ดูกรภัททิยะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ธรรมเหล่านี้เป็นกุศล หรือ เป็นอกุศล
            ภัท. เป็นกุศล พระเจ้าข้า

            พ. มีโทษหรือหาโทษมิได้
            ภัท. หาโทษมิได้ พระเจ้าข้า

            พ. วิญญูชนติเตียนหรือสรรเสริญ
            ภัท. วิญญูชนสรรเสริญ พระเจ้าข้า

            พ. ธรรมเหล่านี้อันบุคคลสมาทานให้บริบูรณ์แล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์ เกื้อกูล เพื่อสุขหรือมิใช่ หรือท่าน มีความเห็นอย่างไรในข้อนี้
            ภัท. ธรรมเหล่านี้อันบุคคลสมาทานให้บริบูรณ์แล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์ เกื้อกูล เพื่อสุข ข้าพระองค์ มีความ เห็นอย่างนี้ในข้อนี้ พระเจ้าข้า

            พ. ดูกรภัททิยะ เราได้กล่าวคำใดกะท่านว่า ท่านทั้งหลายจงมาเถิด ท่านทั้งหลาย อย่าได้ถือฟัง ตามกันมา ...ท่านทั้งหลายพึงเข้าถึงธรรมเหล่านั้น อยู่เถิด ดังนี้ คำนั้นเรากล่าวแล้ว เพราะอาศัยข้อนี้

            ดูกรภัททิยะ คนเหล่าใดเป็นคนสงบ เป็นสัตบุรุษคนเหล่านั้นย่อมชักชวนสาวก อย่างนี้ว่า บุรุษผู้เจริญ ท่านจงมา จงปราบปรามความโลภเสียเถิด เมื่อปราบปราม ความโลภได้ จักไม่กระทำกรรม อันเกิดแต่ ความโลภด้วย กาย วาจา ใจ จงปราบปราม ความโกรธเสียเถิด เมื่อท่านปราบปรามความโกรธได้ จักไม่ กระทำกรรม อันเกิดแต่ ความโกรธด้วยกาย วาจา ใจ จงปราบปรามความหลงเสียเถิด เมื่อปราบปราม ความหลง ได้ จักไม่กระทำกรรม อันเกิดแต่ความหลงด้วยกาย วาจา ใจ จงปราบปราม ความแข่งดี เสียเถิด เมื่อปราบปรามความแข่งดีได้ จักไม่กระทำกรรม อันเกิดแต่ความแข่งดี ด้วยกาย วาจา ใจ

            เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว ภัททิยลิจฉวี ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ ผู้เจริญ ภาษิต ของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ฯลฯ ขอพระผู้มีพระภาคโปรด ทรงจำ ข้าพระองค์ ว่าเป็น อุบาสก ผู้ถึงสรณะ ตลอดชีวิต ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

            พ. ดูกรภัททิยะ ก็เราได้กล่าวชักชวนท่านอย่างนี้ว่า ดูกรภัททิยะ ขอท่านจงมา เป็นสาวกของเราเถิด เราจัก เป็นศาสดาของท่าน ดังนี้หรือ
            ภัท. มิใช่เช่นนั้น พระเจ้าข้า

            พ. ดูกรภัททิยะ สมณพราหมณ์พวกหนึ่ง กล่าวตู่เราผู้มีปรกติกล่าวอย่างนี้ มีปรกติบอกอย่างนี้ ด้วยคำ อัน ไม่แน่นอน เป็นคำเปล่า คำเท็จ คำไม่จริง ว่า พระสมณโคดม มีมายา รู้จักมายาเครื่อง กลับใจสาวก ของพวก อัญญเดียรถีย์ ให้มา นับถือ

            ภัท. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ มายาเครื่องกลับใจนี้ดีนัก งามนัก ถ้าญาติสาโลหิต อันเป็นที่รัก ของข้าพระองค์ พึงกลับใจมาด้วยมายา เป็นเครื่องกลับใจชนิดนี้ ข้อนั้น จะพึงเป็นไปเพื่อประโยชน์ เกื้อกูล เพื่อสุข แก่บรรดา ญาติสาโลหิต อันเป็นที่รักของ ข้าพระองค์ ตลอดกาลนาน ถ้าแม้กษัตริย์ ทั้งปวง จะพึงกลับใจมาด้วยมายา เป็นเครื่อง
กลับใจชนิดนี้ ข้อนั้นก็จะพึงเป็นไปเพื่อเกื้อกูล เพื่อสุข แก่กษัตริย์ทั้งปวง ตลอดกาลนาน ถ้าพราหมณ์ ทั้งปวง...แพศย์...ศูทร์ทั้งปวงจะพึงกลับใจมา ด้วยมายา เป็นเครื่อง กลับใจชนิดนี้ ข้อนั้น ก็จะพึงเป็นไป เพื่อ ประโยชน์เกื้อกูลเพื่อสุข แก่ศูทร์ แม้ทั้งปวง ตลอดกาลนาน

            ดูกรภัททิยะ คำที่ท่านกล่าวนี้เป็นอย่างนั้นๆ ถ้าแม้กษัตริย์ทั้งปวง พึงทรง กลับใจ มาเพื่อละอกุศลธรรม บำเพ็ญ กุศลธรรม ข้อนั้นก็จะพึงเป็นไปเพื่อประโยชน์ เกื้อกูล เพื่อสุข แก่กษัตริย์ทั้งปวง ตลอด กาลนาน ถ้าแม้ พราหมณ์ ...แพศย์... ศูทร์พึงกลับใจมาเพื่อละอกุศลธรรม บำเพ็ญกุศลธรรม ข้อนั้นก็พึงเป็นไปเพื่อประโยชน์ เกื้อกูล เพื่อสุข แก่ศูทร์ทั้งปวงตลอดกาลนาน ถ้าแม้โลกพร้อมทั้ง เทวโลก มารโลก พรหมโลก หมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ พึงกลับใจมา เพื่อละ อกุศลธรรม บำเพ็ญกุศลธรรม ข้อนั้น ก็พึง เป็นไป เพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อสุขแก่โลก พร้อมทั้ง เทวโลก มารโลก พรหมโลก แก่หมู่สัตว์ พร้อมทั้ง สมณพราหมณ์ เทวดา และมนุษย์ ตลอดกาลนาน

            ดูกรภัททิยะ ถ้าแม้พวกมหาศาลเหล่านี้ จะพึงกลับใจมาด้วยมายาเครื่อง กลับใจนี้ เพื่อละอกุศลธรรม บำเพ็ญ กุศลธรรม ข้อนั้นก็จะพึงเป็นไปเพื่อประโยชน์ เกื้อกูล เพื่อสุขแก่พวกมหาศาลเหล่านี้ ตลอดกาลนาน ถ้ามหาศาลเหล่านี้พึงตั้งใจ จะป่วยกล่าวไปไยถึงผู้ที่เป็นมนุษย์เล่า

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๑ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๒๑๔-๒๔๘

๔. สาปุคิยาสูตร
ว่าด้วยโกฬิยบุตรชาวสาปุคิยนิคม
(พระอานนท์แสดงธรรมแก่พวกโกฬิยะ)

            [๑๙๔] สมัยหนึ่ง ท่านพระอานนท์ อยู่ที่นิคมของพวกโกฬิยะ ชื่อสาปุคะ ในแคว้นโกฬิยะ ครั้งนั้นแล โกฬิยบุตร ชาวนิคมสาปุคะ มากด้วยกัน เข้าไปหาท่านพระ อานนท์ถึงที่อยู่ อภิวาทแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วน ข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว ท่านพระอานนท์ ได้กล่าวกะโกฬิยบุตรชาวสาปุคนิคมว่า

            ดูกรพยัคฆปัชชะทั้งหลาย องค์เป็นที่ตั้งแห่งความเพียร เพื่อความบริสุทธิ์ ๔ ประการนี้ พระผู้มีพระภาค ผู้รู้ผู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมา สัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตรัสไว้ชอบแล้ว เพื่อความหมดจด ของสัตว์ทั้งหลาย เพื่อก้าวล่วง ความโศกและ ความร่ำไร เพื่อความดับสูญ แห่งทุกข์ และโทมนัส เพื่อบรรลุญายธรรม เพื่อทำให้แจ้ง ซึ่ง นิพพาน

องค์ ๔ ประการเป็นไฉน คือ
องค์เป็นที่ตั้งแห่งความเพียร เพื่อความบริสุทธิ์ คือ ศีล ๑ จิต ๑ ทิฐิ ๑ วิมุตติ ๑

          (๑) ดูกรพยัคฆปัชชะทั้งหลาย ก็องค์เป็นที่ตั้งแห่งความเพียรเพื่อความบริสุทธิ์ คือ ศีลเป็นไฉน ภิกษุใน ธรรมวินัยนี้เป็น ผู้มีศีล ฯลฯสมาทานศึกษาอยู่ในสิกขาบท ทั้งหลาย นี้เรียกสีลปาริสุทธิ ความพอใจ ความพยายาม ความอุตสาหะ ความขะมัก เขม้น ความไม่ท้อถอย สติและสัมปชัญญะ ในสีลปาริสุทธิ นั้นว่า เราจักยังสีลปาริสุทธิ เห็นปานนั้น อันยังไม่บริบูรณ์ให้บริบูรณ์ จักใช้ปัญญาประคับประคอง สีลปาริสุทธิ อันบริบูรณ์ ไว้ในฐานะนั้นๆ นี้เรียกว่า องค์เป็นที่ตั้งแห่งความเพียร คือ สีลปาริสุทธิ

          (๒) ดูกรพยัคฆปัชชะทั้งหลาย ก็องค์เป็นที่ตั้งแห่งความเพียร คือ จิตตปาริสุทธิ เป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจาก กาม ฯลฯ บรรลุปฐมฌาน... ทุติยฌาน... ตติยฌาน ...จตุตถฌานอยู่ นี้เรียกว่าจิตตปาริสุทธิ ความพอใจ... สติและ สัมปชัญญะ ในจิตตปาริสุทธินั้นว่า เราจักยัง จิตตปาริสุทธิเห็นปานนั้น อันยังไม่บริบูรณ์ ให้บริบูรณ์ จักใช้ปัญญา ประคับ ประคองจิตตปาริสุทธิ อันบริบูรณ์ไว้ในฐานะนั้นๆ นี้เรียกว่าองค์ เป็นที่ตั้งแห่งความเพียร คือ จิตตปาริสุทธิ

           (๓) ดูกรพยัคฆปัชชะทั้งหลาย ก็องค์เป็นที่ตั้งแห่งความเพียร คือ ทิฏฐิปาริสุทธิ เป็นไฉน ภิกษุในธรรมวินัย นี้ ย่อมรู้ชัด ตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา นี้เรียกว่าทิฏฐิปาริสุทธิ ความพอใจ ...สติและ สัมปชัญญะในทิฏฐิปาริสุทธินั้นว่า เราจักยังทิฏฐิปาริสุทธิ เห็นปานนั้น อันยังไม่ บริบูรณ์ ให้บริบูรณ์ จักใช้ปัญญา ประคับประคองทิฏฐิปาริสุทธิ อันบริบูรณ์ไว้ ในฐานะนั้นๆ นี้เรียกว่าองค์เป็นที่ตั้ง แห่งความเพียร คือ ทิฏฐิปาริสุทธิ

           (๔) ดูกรพยัคฆปัชชะทั้งหลาย ก็องค์เป็นที่ตั้งแห่งความเพียร คือ วิมุตติปาริสุทธิ เป็นไฉน อริยสาวกนี้แล เป็นผู้ ประกอบด้วยองค์เป็นที่ตั้งแห่งความเพียร คือ สีลปาริสุทธิ... จิตตปาริสุทธิ...ทิฏฐิปาริสุทธิแล้ว ย่อมคลายจิต ในธรรม เป็นที่ตั้ง แห่งความกำหนัด ย่อมเปลื้องในธรรม ที่ควรเปลื้อง ครั้นแล้วย่อมถูกต้องสัมมาวิมุติ นี้เรียกว่าวิมุตติปาริสุทธิ ความพอใจ...สติและสัมปชัญญะ ในวิมุตติปาริสุทธิ นั้นว่า เราจักยัง วิมุตติปาริสุทธิ เห็นปานนี้ อันยัง ไม่บริบูรณ์ให้บริบูรณ์จักใช้ปัญญา ประคับ ประคอง วิมุตติปาริสุทธิอันบริบูรณ์ไว้ในฐานะนั้นๆ นี้เรียกว่าองค์ เป็นที่ตั้งแห่ง ความเพียร คือ วิมุตติปาริสุทธิ

            ดูกรพยัคฆปัชชะทั้งหลายองค์ เป็นที่ตั้งแห่งความเพียรเพื่อความบริสุทธิ์ ๔ ประการนี้แล อันพระผู้มีพระภาค ผู้รู้ ผู้เห็น เป็นพระอรหันตสัมมา สัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตรัสไว้ชอบแล้ว เพื่อความหมดจด ของสัตว์ ทั้งหลาย เพื่อก้าวล่วงความโศกและร่ำไร เพื่อความดับสูญแห่งทุกข์ และโทมนัส เพื่อบรรลุ ญายธรรม เพื่อกระทำให้แจ้ง ซึ่งนิพพาน

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๑ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๒๑๔-๒๔๘

๕. วัปปสูตร
วิธีเผากิเลสจากกรรมเก่า

            [๑๙๕] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ในนิโครธาราม เมืองกบิลพัสดุ์ แคว้นสักกะ ครั้งนั้นแล เจ้าศากยะ พระนามว่า วัปปะ เป็นสาวกของนิครนถ์ เสด็จเข้าไปหาท่านพระมหาโมคคัลลานะ ถึงที่อยู่ ทรงอภิวาทแล้ว ประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง

            ครั้นแล้ว ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้กล่าวว่า ดูกรวัปปะ บุคคลในโลกนี้ พึงเป็นผู้สำรวมด้วยกาย สำรวมด้วยวาจา สำรวมด้วยใจ เขาฆ่าตัวนี้ กลับไปฆ่าตัวอื่น เพราะอวิชชาดับไป วิชชาเกิดขึ้น ท่านเห็นฐานะที่เป็นเหตุให้อาสวะ อันเป็นปัจจัยแห่ง ทุกขเวทนาไปตามบุคคลในสัมปรายภพ หรือไม่

            วัปปศากยราชตรัสว่า

            ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าเห็นฐานะนั้น บุคคลกระทำบาปกรรมไว้ ใน ปางก่อน ซึ่งยังให้ผลไม่หมด อาสวะทั้งหลาย อันเป็นปัจจัยแห่งทุกขเวทนา พึงไป ตามบุคคล ในสัมปรายภพอันมีบาปกรรมนั้นเป็นเหตุ ท่านพระมหาโมคคัลลานะ สนทนา กับวัปป ศากยราช สาวกของนิครนถ์ ค้างอยู่เพียงนี้เท่านั้น

            ครั้งนั้นแล เวลาเย็น พระผู้มีพระภาค เสด็จออกจากที่เร้น เสด็จเข้าไปยัง อุปัฏฐานศาลา ประทับนั่งบนอาสนะ ที่ปูลาดไว้ ครั้นแล้ว ได้ตรัสถามท่านพระมหา โมคคัลลานะว่า ดูกรโมคคัลลานะ บัดนี้ เธอทั้งหลายประชุม สนทนากัน ด้วยเรื่องอะไร และเธอทั้งหลายพูดอะไรค้างกันไว้ในระหว่าง ท่านพระมหาโมคคัลลานะ กราบทูลว่า

            ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานพระวโรกาส ข้าพระองค์ได้กล่าวกะวัปป ศากยราชสาวก ของ นิครนถ์ว่า ดูกรวัปปะ บุคคลในโลกนี้ พึงเป็นผู้สำรวมด้วยกาย สำรวมด้วยวาจา สำรวมด้วยใจ เพราะ อวิชชาดับไป วิชชาเกิดขึ้น ท่านเห็นฐานะ ที่เป็นเหตุให้อาสวะ อันเป็นปัจจัยแห่งทุกขเวทนา ไปตาม บุคคลในสัมปรายภพ นั้น หรือไม่ เมื่อข้าพระองค์กล่าวอย่างนี้แล้ว วัปปศากยราชสาวกของนิครนถ์ ได้กล่าว กะข้าพระองค์ว่า

            ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ข้าพเจ้าเห็นฐานะนั้น บุคคลกระทำบาปกรรมไว้ในปางก่อน ซึ่งยังให้ผลไม่หมด อาสวะ ทั้งหลาย อันเป็นปัจจัยแห่งทุกขเวทนาพึงไปตามบุคคล ในสัมปรายภพ อันมีบาปกรรมนั้น เป็นเหตุ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์สนทนา กับวัปปศากยราชสาวกของนิครนถ์ ค้างอยู่เพียงนี้แล ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาค ก็เสด็จมาถึง ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกับวัปป ศากยราชสาวกของนิครนถ์ว่า

            ดูกรวัปปะ ถ้าท่านจะพึงยินยอมข้อ ที่ควรยินยอม และคัดค้านข้อที่ควรคัดค้าน ต่อเรา และท่านไม่รู้ ความแห่งภาษิต ของเราข้อใด ท่านพึงซักถามในข้อนั้นยิ่งขึ้นไปว่า ข้อนี้อย่างไรความแห่งภาษิต ข้อนี้อย่างไร ดังนี้ ไซร้ เราพึง สนทนากันในเรื่องนี้ได้ วัปปศากยราช กราบทูลว่า

            ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์จักยินยอม ข้อที่ควรยินยอม และจักคัดค้าน ข้อที่ควรคัดค้านต่อ พระผู้มีพระภาค อนึ่ง ข้าพระองค์ไม่รู้ความแห่งภาษิต ของ พระผู้มีพระภาค ข้อใด ข้าพระองค์ จักซักถาม พระผู้มีพระภาค ในข้อนั้น ยิ่งขึ้นไปว่า ข้อนี้อย่างไร ความแห่งภาษิตข้อนี้อย่างไร ขอเราจงสนทนากัน ในเรื่องนี้เถิด พระเจ้าข้า

            พ. ดูกรวัปปะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน อาสวะเหล่าใดก่อทุกข์ เดือดร้อน เกิดขึ้นเพราะ การกระทำทางกายเป็นปัจจัย เมื่อบุคคลงดเว้นจากการ กระทำ ทางกายแล้ว อาสวะเหล่านั้นที่ก่อทุกข์ เดือดร้อน ย่อมไม่มีแก่เขา เขาไม่ทำ กรรมใหม่ด้วย รับผลกรรมเก่าแล้วทำให้สิ้นไปด้วย นี้เป็นปฏิปทาเผากิเลสให้พินาศ ผู้ปฏิบัติพึงเห็นได้เอง ไม่ประกอบด้วยกาล ควรเรียกให้มาดูควรน้อมเข้ามา วิญญูชน พึงรู้เฉพาะตน

            ดูกรวัปปะ ท่านย่อมเห็นฐานะที่เป็นเหตุให้อาสวะอันเป็นปัจจัย แห่งทุกขเวทนา พึงไปตามบุคคล ในสัมปรายภพนั้น หรือไม่
            ว. ไม่เห็น พระเจ้าข้า

            พ. ดูกรวัปปะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน อาสวะเหล่าใดก่อทุกข์ เดือดร้อนเกิดขึ้นเพราะ การกระทำทางวาจาเป็นปัจจัย เมื่อบุคคลงดเว้นจากการ กระทำ ทางวาจาแล้ว อาสวะเหล่านั้น ที่ก่อทุกข์ เดือดร้อน ย่อมไม่มีแก่เขา เขาไม่ทำ กรรมใหม่ด้วย รับผลกรรมเก่าแล้วทำให้สิ้นไปด้วย นี้เป็นปฏิปทาเผากิเลสให้พินาศ ...วิญญูชนพึงรู้ เฉพาะตน ดูกรวัปปะ ท่านย่อมเห็นฐานะที่เป็นเหตุ ให้อาสวะ อันเป็น ปัจจัยแห่ง ทุกขเวทนา พึงไปตามบุคคลใน สัมปรายภพนั้น หรือไม่
            ว. ไม่เห็น พระเจ้าข้า

            พ. ดูกรวัปปะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน อาสวะเหล่าใดก่อทุกข์ เดือดร้อน เกิดขึ้นเพราะ การกระทำทางใจเป็นปัจจัย เมื่อบุคคลงดเว้นจากการ กระทำ ทางใจแล้ว อาสวะที่ก่อทุกข์ เดือดร้อน ย่อมไม่มีแก่เขา เขาไม่ทำกรรมใหม่ ด้วย รับผลกรรมเก่าแล้วทำให้สิ้นไปด้วย นี้เป็นปฏิปทาเผากิเลสให้พินาศ... วิญญูชน พึงรู้เฉพาะ ตน ดูกรวัปปะ ท่านย่อมเห็นฐานะที่เป็นเหตุให้อาสวะอันเป็นปัจจัย แห่ง ทุกขเวทนา พึงไปตาม บุคคล ในสัมปรายภพนั้นหรือไม่
            ว. ไม่เห็น พระเจ้าข้า

            พ. ดูกรวัปปะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน อาสวะเหล่าใดก่อทุกข์ เดือดร้อน เกิดขึ้นเพราะ อวิชชา เป็นปัจจัย เพราะอวิชชาดับไป วิชชาเกิดขึ้น อาสวะ ที่ก่อทุกข์ เดือดร้อน เหล่านั้น ย่อมไม่มีแก่เขา เขาไม่ทำ กรรมใหม่ด้วย รับผลกรรมเก่า แล้ว ทำให้สิ้นไปด้วย นี้เป็นปฏิปทาเผา กิเลสให้พินาศ ...อันวิญญูชนพึงรู้ เฉพาะตน
ดูกรวัปปะ ท่านย่อมเห็นฐานะ ที่เป็นเหตุให้อาสวะอันเป็นปัจจัยแห่งทุกขเวทนา พึงไป ตามบุคคลใน สัมปรายภพนั้น หรือไม่
            ว. ไม่เห็น พระเจ้าข้า

            พ. ดูกรวัปปะ เมื่อภิกษุมีจิตหลุดพ้นโดยชอบ อย่างนี้แล้ว ย่อมบรรลุธรรม เป็นเครื่องอยู่เป็นนิตย์ ๖ ประการ เธอเห็น รูป ด้วยจักษุแล้วไม่ดีใจ ไม่เสียใจ มีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะอยู่ ฟังเสียงด้วยหู... สูดกลิ่นด้วยจมูก ...ลิ้มรสด้วยลิ้น ...ถูกต้อง โผฏฐัพพะ ด้วยกาย...รู้แจ้งธรรมารมณ์ด้วยใจแล้วไม่ดี ใจไม่เสียใจ มีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะอยู่ เธอเมื่อ เสวยเวทนามีกายเป็นที่สุด ย่อมรู้ชัดว่า เราเสวยเวทนา มีกายเป็นที่สุด เมื่อเสวยเวทนามีชีวิตเป็นที่สุด ย่อมรู้ชัดว่า เราเสวยเวทนามีชีวิต เป็นที่สุด ย่อมรู้ชัดว่า เมื่อกายแตกสิ้นชีวิต ไปเวทนาทั้งปวง อันไม่น่าเพลิดเพลิน ในโลกนี้ จักเป็น ของเย็น ดูกรวัปปะ เงาปรากฏเพราะอาศัยต้นไม้

            ครั้งนั้น บุรุษพึงถือจอบและตะกร้ามา เขาตัดต้นไม้นั้นที่โคน ครั้นแล้ว ขุดคุ้ย เอารากขึ้น โดยที่สุด แม้เท่า ต้นแฝก ก็ไม่ให้เหลือ เขาตัดผ่าต้นไม้นั้น ให้เป็นชิ้นเล็ก ชิ้นน้อย กระทำให้เป็นซีกๆ แล้วผึ่งล มและแดด ครั้นผึ่งลมและแดด แห้งแล้วเผาไฟ กระทำให้เป็นขี้เถ้า โปรยในที่มีลมพัดจัด หรือลอย ในกระแสน้ำ อันเชี่ยว ในแม่น้ำ เมื่อเป็นเช่นนั้น เงาที่ปรากฏเพราะอาศัยต้นไม้นั้น มีรากขาดสูญ ประดุจตาลยอดด้วน ทำให้ไม่มี ไม่ให้เกิดขึ้นต่อไปเป็นธรรมดา แม้ฉันใด

            ดูกรวัปปะ ฉันนั้นเหมือนกันแล เมื่อภิกษุมีจิตหลุดพ้นโดยชอบ อย่างนี้แล้ว ย่อมได้บรรลุธรรม เป็นเครื่องอยู่ เนืองนิตย์ ๖ ประการเธอเห็นรูปด้วยจักษุ แล้วไม่ดีใจ ไม่เสียใจ มีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะอยู่ ฟังเสียงด้วยหู ...สูดกลิ่นด้วยจมูก... ลิ้มรส ด้วยลิ้น... ถูกต้องโผฏฐัพพะ ด้วยกาย... รู้แจ้งธรรมารมณ์ด้วยใจแล้วไม่ดีใจ ไม่เสียใจ มีอุเบกขา มีสติสัมปชัญญะอยู่ เธอเมื่อ เสวยเวทนา มีกายเป็นที่สุด ย่อมรู้ชัดว่า เราเสวยเวทนา มีกายเป็นที่สุด เมื่อเสวยเวทนามีชีวิต เป็นที่สุด ย่อมรู้ชัดว่า เราเสวย เวทนา มีชีวิตเป็นที่สุด ย่อมรู้ชัดว่า เมื่อกายแตกสิ้นชีวิตไป เวทนา ทั้งปวง อันไม่น่า เพลิดเพลินในโลกนี้ จักเป็นของเย็น

            เมื่อพระผู้มีพระภาค ตรัสอย่างนี้แล้ว วัปปศากยราชสาวกของนิครนถ์ ได้กราบทูล พระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ ผู้เจริญ บุรุษต้องการกำไร เลี้ยงลูกม้า ไว้ขาย (ถ้าลูกม้าตายหมด) เขาพึงขาดทุน ซ้ำยัง ต้องเหน็ดเหนื่อยลำบากใจ ยิ่งขึ้นไป แม้ฉันใด ข้าพระองค์หวังกำไรเข้าคบหานิครณถ์ผู้โง่ ต้องขาดทุน ทั้งต้องเหน็ดเหนื่อย ลำบากใจยิ่งขึ้นไป ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าพระองค์นี้ จักโปรยความเลื่อมใสในพวกนิครณถ์ ผู้โง่เขลาเสี ยในที่ลมพัดจัด หรือลอยเสียในแม่น้ำ อันมีกระแสเชี่ยว ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์ แจ่มแจ้งนัก

            ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก พระผู้มีพระภาคทรง ประกาศธรรม โดยอเนก ปริยาย เปรียบ เหมือนหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทาง แก่คนหลงทาง หรือตามประทีป ไว้ในที่มืด ด้วยหวังว่า คนผู้มีจักษุ จักเห็นรูปได้ ฉะนั้น ข้าพระองค์นี้ขอถึงพระผู้มีพระภาค กับทั้ง พระธรรม และพระภิกษุสงฆ์ ว่าเป็น สรณะ ขอพระผู้มีพระภาคโปรดทรงจำข้าพระองค์ ว่าเป็นอุบาสก ผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต ตั้งแต่ วันนี้เป็นต้นไป

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๑ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๒๑๔-๒๔๘

๖. สาฬหสูตร
ว่าด้วยเจ้าลิจฉวีพระนามว่าสาฬหะ

            [๑๙๖] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ กูฏาคาร ศาลาป่ามหาวัน ใกล้นครเวสาลี ครั้งนั้นแล เจ้าลิจฉวี พระนามว่า สาฬหะและอภัย เสด็จเข้าไปเฝ้า พระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ทรงถวาย อภิวาทแล้ว ประทับนั่ง ณ ที่ควร ส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว เจ้าสาฬหะลิจฉวี ได้ทูลถาม พระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ ผู้เจริญ มีสมณพราหมณ์ พวกหนึ่ง บัญญัติการรื้อถอนโอฆะ เพราะเหตุ ๒ อย่างคือ
     เพราะเหตุ สีลวิสุทธิ ๑ (ความหมดจดแห่งศีล)
     เพราะเหตุเกลียดตบะ ๑ (ทรมานตนเพื่อละกิเลส)
     ส่วนในธรรมวินัยนี้ พระผู้มีพระภาคตรัส อย่างไร พระเจ้าข้า

            พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ดูกรสาฬหะ เรากล่าวสีลวิสุทธิแลว่า เป็นองค์แห่ง สมณธรรมอย่างหนึ่ง สมณพราหมณ์ เหล่าใด มีวาทะยกย่องการเกลียดตบะ ถือการ เกลียดตบะ เป็นสาระ ติดอยู่ในการเกลียดตบะ สมณพราหมณ์เหล่านั้น ไม่ควรเพื่อจะ รื้อถอนโอฆะ(กิเลส-อวิชชา) ออกได้ อนึ่ง สมณพราหมณ์เหล่าใดมีความประพฤติ ทางกายไม่บริสุทธิ์ มีความประพฤติ ทางวาจาไม่บริสุทธิ์ มีความประพฤติทางใจ ไม่บริสุทธิ์ มีอาชีพ ไม่บริสุทธิ์ สมณพราหมณ์เหล่านั้น ไม่ควรเพื่อญาณ ทัศนะ เพื่อความตรัสรู้ชั้นเยี่ยม

            ดูกรสาฬหะ เปรียบเหมือนบุรุษใคร่จะข้ามแม่น้ำ พึงถือผึ่งอันคมเข้าไปสู่ป่า เขาพบ ต้นรังใหญ่ในป่านั้น ลำต้นตรง ยังหนุ่ม ไม่มีที่น่ารังเกียจ เขาพึงตัดที่โคน ตัดที่ปลาย ริดกิ่งและใบเรียบร้อยดีแล้ว ถากด้วยผึ่ง แล้วเกลาด้วยมีด ขีดลงพอเป็นรอย ขัดด้วยลูกหินแล้วปล่อยลงแม่น้ำ

            ดูกรสาฬหะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุรุษนั้นควรจะข้ามแม่น้ำนั้น ได้หรือ
            ส. ข้อนั้นเป็นไม่ได้ พระเจ้าข้า

            พ. ข้อนั้นเพราะเหตุไร
            ส. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เพราะต้นรังนั้น เขาแต่งเกลี้ยงเกลาในภายนอก ไม่เรียบร้อยในภายใน บุรุษนั้น พึงหวัง ข้อนี้ได้ว่า ไม้รังจะต้องจม และบุรุษนั้น จักถึง ความพินาศ พระเจ้าข้า

            พ. ดูกรสาฬหะ ฉันนั้นเหมือนกันแล สมณพราหมณ์เหล่าใด มีวาทะยกย่องการ เกลียดตบะ ถือการเกลียดตบะ เป็นสาระ ติดอยู่ในการเกลียดตบะสมณพราหมณ์เหล่านั้น ไม่ควรเพื่อรื้อถอนโอฆะออก

            อนึ่ง สมณพราหมณ์เหล่าใด มีความประพฤติทางกายไม่บริสุทธิ์ มีความ ประพฤติ ทางวาจาไม่บริสุทธิ์ มีความ ประพฤติ ทางใจไม่บริสุทธิ์ มีอาชีพไม่บริสุทธิ์ สมณพราหมณ์เหล่านั้นไม่ควรเพื่อญาณทัศนะ เพื่อความตรัสรู้ ชั้นเยี่ยม ส่วนสมณ พราหมณ์ เหล่าใด ไม่เป็นผู้มีวาทะยกย่องการเกลียดตบะ ไม่ถือการเกลียดตบะเป็นสาระ ไม่ติดอยู่ในการเกลียดตบะ สมณพราหมณ์เหล่านั้นควรเพื่อรื้อถอนโอฆะออกได้

            อนึ่ง สมณพราหมณ์เหล่าใด มีความประพฤติทางกายบริสุทธิ์ มีความประพฤติ ทางวาจาบริสุทธิ์ มีความ ประพฤติ ทางใจบริสุทธิ์ มีอาชีพบริสุทธิ์ สมณพราหมณ์ เหล่านั้น ควรเพื่อญาณทัศนะ เพื่อความตรัสรู้ชั้นเยี่ยม เปรียบเหมือน บุรุษใคร่จะข้าม แม่น้ำ ถือเอาผึ่งอันคมเข้าไปสู่ป่า เขาเห็นต้นรังใหญ่ในป่านั้น ลำต้นตรง ยังหนุ่ม ไม่มีที่น่ารังเกียจ เขาพึงตัดมันที่โคน แล้วตัดปลาย ริดกิ่งและใบเรียบร้อยดีแล้ว ถากด้วยผึ่ง เกลาด้วยมีด ขัดแต่งด้วยสิ่ว ทำภายใน ให้เรียบร้อย ขุดเป็นร่อง แล้วขัดด้วย ลูกหิน กระทำให้เป็นเรือ ติดกรรเชียงและหางเสือ แล้วปล่อยลงแม่น้ำ

            ดูกรสาฬหะ ท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน บุรุษนั้นควรข้ามแม่น้ำได้หรือไม่
            ส. ได้ พระเจ้าข้า

            พ. ข้อนั้นเพราะเหตุไร
            ส. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เพราะต้นรังนั้นเขาแต่งเกลี้ยงเกลาดี ในภายนอก เรียบร้อยในภายใน ทำเป็นเรือ ติด กรรเชียง และหางเสือ บุรุษนั้นพึงหวังข้อนี้ได้ว่า เรือจักไม่จม บุรุษจักถึงฝั่งได้โดยสวัสดี พระเจ้าข้า

            พ. ดูกรสาฬหะ ฉันนั้นเหมือนกันแล สมณพราหมณ์เหล่าใด ไม่มีวาทะยกย่อง การเกลียดตบะ ไม่ถือการ เกลียด ตบะเป็นสาระ ไม่ติดอยู่ในการเกลียดตบะ สมณพราหมณ์เหล่านั้น ควรเพื่อรื้อถอนโอฆะออกได้

            อนึ่ง สมณพราหมณ์เหล่าใด มีความประพฤติทางกายบริสุทธิ์ มีความประพฤติ ทางวาจาบริสุทธิ์ มีความ ประพฤติ ทางใจบริสุทธิ์ มีอาชีพบริสุทธิ์ สมณพราหมณ์ เหล่านั้น ควรเพื่อญาณทัศนะ เพื่อความตรัสรู้ ชั้นเยี่ยม

            ดูกรสาฬหะ เปรียบเหมือนนักรบ ถึงแม้จะรู้กระบวนลูกศรเป็นอันมาก ถึงกระนั้น เขาจะได้ชื่อว่าเป็นนักรบ คู่ควร แก่พระราชา เป็นผู้ควรที่พระราชาใช้สอย ย่อมถึงการ นับว่า เป็นองค์ของพระราชาทีเดียว ก็ด้วยสถาน ๓ ประการ ๓ ประการเป็นไฉน คือ เป็นผู้ยิงได้ไกล ๑ ยิงได้ไว ๑ ทำลายข้าศึกหมู่ใหญ่ได้ ๑

            ดูกรสาฬหะ นักรบผู้ยิงได้ไกล แม้ฉันใดอริยสาวก ผู้มีสัมมาสมาธิก็ฉันนั้น อริยสาวกผู้มีสัมมาสมาธิ ย่อมเห็นด้วย ปัญญาอันชอบ ตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า รูปอย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นอดีต อนาคตปัจจุบัน เป็นภายในหรือ ภายนอก หยาบหรือ ละเอียด เลวหรือประณีต ใกล้หรือไกล รูปทั้งหมดนี้ ไม่ใช่ของเรา ไม่เป็นเรา ไม่ใช่ตัวตน ของเรา ย่อมเห็นด้วยปัญญาอันชอบ ตามความเป็นจริงอย่างนี้ว่า เวทนาอย่างใด อย่างหนึ่ง... สัญญาอย่างใด อย่างหนึ่ง... สังขารอย่างใดอย่างหนึ่ง... วิญญาณอย่างใด อย่างหนึ่ง เป็นอดีต อนาคต ปัจจุบัน เป็นภายในหรือ ภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือประณีต ใกล้หรือไกล วิญญาณ ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ของเรา ไม่เป็นเรา ไม่ใช่ตัวตน ของเรา ดังนี้

            ดูกรสาฬหะ นักรบผู้ยิงได้ไวฉันใด อริยสาวกผู้มีสัมมาทิฏฐิ ก็ฉันนั้นอริยสาวก ผู้มีสัมมาทิฏฐิ ย่อมรู้ชัด ตามความ เป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา

            ดูกรสาฬหะ นักรบผู้ทำลายข้าศึกหมู่ใหญ่ได้ ฉันใด อริยสาวกผู้มีสัมมาวิมุติ ก็ฉันนั้น อริยสาวกผู้มีสัมมาวิมุติ ย่อม ทำลายกองอวิชชาอันใหญ่เสียได้

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๑ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๒๑๔-๒๔๘

๗. มัลลิกาเทวีสูตร
ว่าด้วยพระนางมัลลิกาเทวี

            [๑๙๗] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวันอาราม ของท่าน อนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนคร สาวัตถี ครั้งนั้นแล พระนางมัลลิกาเทวี เสด็จเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถึงที่ประทับ ทรงถวาย อภิวาทแล้วประทับนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง

            ครั้นแล้วได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอเป็นเหตุ เป็นปัจจัย ให้มาตุคามบางคน ในโลกนี้ มีผิวพรรณทราม รูปชั่ว ไม่น่าดูยากจนขัดสน ทรัพย์สมบัติและต่ำศักดิ์ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอ เป็นเหตุเป็นปัจจัย ให้มาตุคาม บางคนในโลกนี้ มีผิวพรรณทราม รูปชั่ว ไม่น่าดู แต่เป็นคนมั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคสมบัติมาก และสูงศักดิ์

            ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอเป็นเหตุเป็นปัจจัย ให้มาตุคามบางคนในโลกนี้ มีรูปงาม น่าดู น่าชม ประกอบด้วย ความเป็นผู้มีผิวพรรณ อันงามยิ่งนัก แต่เป็นคน ยากจน ขัดสนทรัพย์สมบัติ และต่ำศักดิ์ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอเป็นเหตุ เป็นปัจจัย ให้มาตุคามบางคนในโลกนี้ มีรูปงาม น่าดูน่าเลื่อมใส ประกอบด้วย ความเป็นผู้มี ผิวพรรณ งามยิ่งนัก ทั้งเป็นผู้มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคสมบัติมาก และสูงศักดิ์

            พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรพระนางมัลลิกา มาตุคามบางคนในโลกนี้ เป็นผู้มักโกรธมากไปด้วยความแค้นใจ ถูกว่า แม้เล็กน้อยก็ขัดเคือง ฉุนเฉียว กระฟัด กระเฟียด กระด้างกระเดื่อง แสดงความโกรธความขัดเคือง และความ ไม่พอใจ ให้ปรากฏ เป็นผู้ไม่ให้ทาน คือ ข้าว น้ำ ยวดยาน ระเบียบ ของหอมเครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่อยู่อาศัย และ ประทีปโคมไฟ แก่สมณะหรือพราหมณ์ และเป็นผู้มีใจริษยาในลาภ สักการะ ความเคารพ ความนับถือ การไหว้และ การบูชาของผู้อื่น เกียดกันตัดรอน ผูกความริษยา ถ้ามาตุคามนั้น จุติจาก อัตภาพนั้นมาสู่ความเป็นอย่างนี้ กลับมาเกิดใน ชาติใดๆ ย่อม เป็นผู้มีผิวพรรณทรามรูปชั่ว ไม่น่าดู ทั้งเป็นคนยากจน ขัดสนทรัพย์สมบัติ และต่ำศักดิ์

            ดูกรพระนางมัลลิกา มาตุคามบางคนในโลกนี้ เป็นผู้มักโกรธ มากไปด้วยความ แค้นใจ ถูกว่าแม้เล็กน้อย ก็ขัดเคือง ฉุนเฉียว กระฟัดกระเฟียดกระด้างกระเดื่อง แสดง ความโกรธความขัดเคือง และความไม่พอใจ ให้ปรากฏ แต่เขาเป็นผู้ให้ทาน คือ ข้าว น้ำ ผ้า ยวดยาน ระเบียบ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่อยู่อาศัย และประทีป โคมไฟ แก่สมณะหรือพราหมณ์และไม่เป็นผู้มีใจริษยาในลาภ สักการะ ความเคารพ ความนับถือ การไหว้และบูชาของผู้อื่น ไม่เกียดกัน ไม่ตัดรอน ไม่ผูกความริษยา ถ้ามาตุคามนั้นจุติ จากอัตภาพนั้น มาสู่ ความเป็นอย่างนี้ กลับมาเกิด ในชาติใดๆ ย่อมเป็นผู้มีผิวพรรณ ทราม รูปชั่ว ไม่น่าดู แต่เป็นคนมั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคสมบัติมากและสูงศักดิ์

            ดูกรพระนางมัลลิกา มาตุคามบางคนในโลกนี้ ไม่เป็นผู้มักโกรธไม่มากไป ด้วยความคับแค้นใจ ถูกว่าแม้มาก ก็ไม่ขัดเคือง ไม่ฉุนเฉียว ไม่กระฟัดกระเฟียด ไม่กระด้างกระเดื่อง ไม่แสดงความโกรธความขัดเคือง และ ความไม่พอใจให้ปรากฏ แต่เป็นผู้ไม่ให้ทาน คือ ข้าว น้ำ ผ้า ยวดยานระเบียบ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่อยู่อาศัย และประทีปโคมไฟแก่สมณะ หรือพราหมณ์ และเป็นผู้มีใจริษยาในลาภ สักการะ ความเคารพ ความนับถือ การไหว้ และ การบูชาของผู้อื่น เกียดกัน ตัดรอน ผูกความริษยาถ้ามาตุคามนั้นจุติจาก อัตภาพนั้นแล้ว มาสู่ความเป็นอย่างนี้ กลับมาเกิด ในชาติใดๆ ย่อมเป็นผู้มีรูปงาม น่าดู น่าชม ประกอบด้วย ความเป็นผู้มีผิวพรรณงาม ยิ่งนัก แต่เป็นคน เข็ญใจ ยากจน ขัดสนและต่ำศักดิ์

            ดูกรพระนางมัลลิกา มาตุคามบางคนในโลกนี้ ไม่เป็นผู้มักโกรธ ไม่มากไปด้วย ความคับแค้นใจ ถูกว่าแม้มาก ก็ไม่ขัดเคือง ไม่ฉุนเฉียว ไม่กระฟัดกระเฟียด ไม่กระด้าง กระเดื่อง ไม่แสดงความโกรธความขัดเคือง และความ ไม่พอใจให้ปรากฏ เป็นผู้ให้ทาน คือ ข้าว น้ำ ผ้า ยวดยาน ระเบียบ ของหอมเครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่อยู่อาศัย และประทีป โคมไฟ แก่สมณะหรือพราหมณ์ และไม่เป็นผู้มีใจริษยาในลาภ สักการะ ความเคารพ ความนับถือ การไหว้ และบูชาของผู้อื่น ไม่เกียดกัน ไม่ตัดรอน ไม่ผูกความริษยา ถ้ามาตุคามนั้นจุติ จากอัตภาพนั้นแล้ว มาสู่ความเป็นอย่างนี้ กลับมาเกิดในชาติใดๆ ย่อมเป็นผู้มีรูปงาม น่าดู น่าชม ประกอบด้วยความเป็นผู้มีผิวพรรณงาม ยิ่งนัก ทั้งเป็นผู้มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคสมบัติมากและสูงศักดิ์

            ดูกรพระนางมัลลิกา นี้แลเป็นเหตุเป็นปัจจัย ให้มาตุคามบางคนในโลกนี้ มีผิวพรรณทราม รูปชั่ว ไม่น่าดู ทั้งเป็นคน เข็ญใจ ยากจนขัดสนและต่ำศักดิ์อนึ่ง นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัย ให้มาตุคามบางคนในโลกนี้ มีผิวพรรณทราม รูปชั่ว ไม่น่าดู แต่เป็นผู้มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคสมบัติมาก และสูงศักดิ์ นี้แลเป็นเหตุ เป็นปัจจัย ให้มาตุคามบางคน ในโลกนี้ มีรูปงาม น่าดู น่าชม ประกอบด้วยความเป็นผู้มี ผิวพรรณ งาม ยิ่งนัก แต่เป็นคนเข็ญใจ ยากจน ขัดสน และต่ำศักดิ์อนึ่ง นี้เป็นเหตุเป็นปัจจัยให้ มาตุคามบางคนในโลกนี้มีรูปงาม น่าดู น่าชมประกอบด้วย ความเป็นผู้ มีผิวพรรณงาม ยิ่งนัก ทั้งเป็นผู้มั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคสมบัติมาก และสูงศักดิ์

            เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว พระนางมัลลิกาเทวีได้กราบทูล พระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ในชาติอื่น ชะรอยหม่อมฉันจะเป็นผู้มักโกรธ มากไปด้วยความแค้นใจ ถูกว่าแม้เล็กน้อยก็ขัดเคือง ฉุนเฉียว กระฟัดกระเฟียด กระด้างกระเดื่อง แสดงความโกรธความขัดเคืองและความไม่พอใจให้ปรากฏ ในบัดนี้ หม่อมฉันจึงมีผิวพรรณทราม รูปชั่ว ไม่น่าดูแต่ในชาติอื่น หม่อมฉันคงได้ให้ทาน คือ ข้าว น้ำ ผ้า ยวดยาน ระเบียบของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่อยู่อาศัย และประทีปโคมไฟ บัดนี้หม่อมฉันจึงเป็นคนมั่งคั่ง มีทรัพย์มาก มีโภคสมบัติมาก ในชาติอื่น หม่อมฉัน คงจะไม่มีใจริษยาในลาภ สักการะ ความเคารพ ความนับถือ การไหว้และ การบูชา ของผู้อื่น ไม่เกียดกัน ไม่ตัดรอน ไม่ผูกความริษยา ในบัดนี้ หม่อมฉัน จึงมีศักดิ์สูง

            ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็นางกษัตริย์บ้าง นางพราหมณีบ้าง นางคฤหบดีบ้าง มีอยู่ในราชสกุลนี้ หม่อมฉัน ได้ดำรง ความเป็นใหญ่ ยิ่งกว่าหญิงเหล่านั้น ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ตั้งแต่วันนี้ไป หม่อมฉันจักไม่โกรธ ไม่มากไปด้วย ความแค้นใจ ถึงถูกว่ากล่าวมากก็จักไม่ขัดเคือง ไม่ฉุนเฉียว ไม่กระฟัดกระเฟียด ไม่กระด้าง กระเดื่อง ไม่แสดง ความโกรธความขัดเคืองและความไม่พอใจให้ปรากฏ จักให้ทาน คือ ข้าว น้ำ ผ้า ยวดยาน ระเบียบของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่อยู่อาศัย และประทีปโคมไฟ แก่สมณพราหมณ์จัก ไม่มีใจ ริษยาในลาภ สักการะ ความเคารพ ความนับถือ การไหว้ และบูชาของผู้อื่น จักไม่เกียดกัน ไม่ตัดรอน ไม่ผูก ความริษยา

            ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ฯลฯ ขอพระผู้มีพระภาคโปรดทรงจำหม่อมฉันว่า เป็น อุบาสิกา ผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๑ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๒๑๔-๒๔๘

๘. อัตตันตปสูตร
ว่าด้วยบุคคลผู้ทำตนให้เดือดร้อน

            [๑๙๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้มีปรากฏอยู่ในโลก

๔ จำพวก เป็นไฉน คือ

๑. บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ทำตนให้เดือดร้อน
ประกอบความขวนขวาย ในการทำตนให้เดือดร้อน

๒.บางคนเป็นผู้ทำผู้อื่นให้เดือดร้อน
ประกอบความขวนขวาย ในการทำผู้อื่นให้เดือดร้อน

๓. บางคนทำตนให้เดือดร้อน ประกอบความขวนขวาย ในการทำตนให้เดือดร้อน และทำผู้อื่นให้เดือดร้อน ประกอบความขวนขวาย ในการทำผู้อื่นให้เดือดร้อน

๔. บางคนไม่ทำตนให้เดือดร้อน ไม่ประกอบความขวนขวาย ในการทำตนให้เดือดร้อน และไม่ทำผู้อื่นให้เดือดร้อน ไม่ประกอบความขวนขวาย ในการทำให้ผู้อื่นเดือดร้อน ผู้ไม่ทำตนให้เดือดร้อน และไม่ทำผู้อื่นให้เดือดร้อน เป็นผู้ไม่หิว ดับร้อน เย็นใจ เสวยสุข มีตนอันประเสริฐ อยู่ในปัจจุบันเทียว


            ดูกรภิกษุทั้งหลาย (๑) ก็อย่างไร บุคคลชื่อว่า เป็นผู้ทำตนให้เดือดร้อน ประกอบความขวนขวาย ในการทำตนให้เดือดร้อน

            บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นชีเปลือย ไร้มารยาท เลียมือ เขาเชิญให้มารับภิกษา ก็ไม่มา เขาเชิญให้หยุด ก็ไม่หยุด
ไม่ยินดีภิกษาที่เขานำมาเฉพาะ
ไม่ยินดีภิกษาที่เขาทำเฉพาะ
ไม่ยินดีการเชิญ
ไม่รับภิกษาที่เขาแบ่งไว้ก่อน
ไม่รับภิกษาจากปากหม้อข้าว
ไม่รับภิกษาที่คนยืนคร่อมธรณีประตูให้
ไม่รับ ภิกษา ที่คนยืนคร่อมท่อนไม้ให้
ไม่รับภิกษาที่คนยืนคร่อมสากให้
ไม่รับภิกษาของคนสองคน ผู้กำลัง บริโภคอยู่
ไม่รับภิกษาของหญิงมีครรภ์
ไม่รับภิกษาของหญิงผู้กำลังให้ลูกดูดนม
ไม่รับภิกษาของหญิง ผู้คลอเคลียบุรุษ
ไม่รับภิกษาที่นัดแนะกันไว้
ไม่รับภิกษาในที่ซึ่งสุนัขได้รับเลี้ยงดู
ไม่รับภิกษาในที่มี แมลงวันไต่ตอมเป็นกลุ่ม
ไม่กินปลา ไม่กินเนื้อ ไม่ดื่มสุราไม่ดื่มเมรัย ไม่ดื่มยาดอง

เขารับภิกษาที่เรือนหลังเดียว เยียวยาอัตภาพด้วยข้าวคำเดียวบ้าง รับภิกษา ที่เรือนสองหลัง เยียวยาอัตภาพ ด้วยข้าวสองคำบ้างรับภิกษาที่เรือน ๗ หลัง

เยียวยาอัตภาพด้วยข้าว ๗ คำบ้าง
เยียวยาอัตภาพด้วยภิกษาในถาดน้อย ใบเดียวบ้าง ๒ ใบบ้าง ๗ ใบบ้าง

กินอาหารที่เก็บค้างไว้วันหนึ่งบ้าง ๒ วันบ้าง ๗ วันบ้าง

เป็นผู้ประกอบความขวนขวายในการบริโภคภัต ที่เวียนมาตั้งกึ่งเดือนเช่นนี้บ้าง

ชีเปลือยนั้น เป็นผู้มีผักดอง เป็นภักษาบ้างมีข้าวฟ่าง เป็นภักษาบ้าง มีลูกเดือยเป็นภักษาบ้าง มีกากข้าว เป็นภักษาบ้าง มียางเป็นภักษาบ้าง มีสาหร่ายเป็นภักษาบ้าง มีรำเป็นภักษาบ้าง มีข้าวตังเป็นภักษาบ้าง มีกำยานเป็นภักษาบ้าง มีหญ้าเป็นภักษาบ้าง มีโคมัยเป็นภักษาบ้าง มีเหง้าและผลไม้ในป่า เป็นอาหาร บริโภคผลไม้หล่นเยียวยาอัตภาพ

ชีเปลือยนั้นทรงผ้าป่านบ้าง ผ้าแกมกันบ้าง ผ้าห่อศพบ้าง ผ้าบังสุกุลบ้าง ผ้าเปลือกไม้บ้าง หนังเสือบ้างหนังเสือทั้งเล็บบ้าง ผ้าคากรองบ้าง ผ้าเปลือกปอกรองบ้าง ผ้าผลไม้กรอง บ้าง ผ้ากัมพลทำ ด้วยผมคนบ้าง ผ้ากัมพลทำด้วยขนสัตว์บ้าง ผ้าทำด้วยขนปีกนกเค้าบ้าง

เป็นผู้ถอนผมและหนวด ประกอบด้วยความขวนขวาย ในการถอนผม และ หนวดบ้าง เป็นผู้ยืน คือ ห้ามอาสนะบ้าง

เป็นผู้กระโหย่ง ประกอบความขวนขวายในการกระโหย่งบ้าง

เป็นผู้นอนบนหนาม คือ สำเร็จการนอนบนหนามบ้าง
เป็นผู้อาบน้ำวันละ ๓ ครั้ง คือ ประกอบความ ขวนขวายในการลงน้ำบ้าง

เขาเป็นผู้ประกอบความขวนขวาย ในการทำกายให้เดือดร้อน ให้เร่าร้อน มีอย่างต่างๆ เห็นปานนี้อยู่ด้วย ประการฉะนี้

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล บุคคลชื่อว่าเป็นผู้ทำตนให้เดือดร้อน ประกอบ ความขวนขวาย ในการทำตน ให้เดือดร้อน

----------------------------------------------------------------------------------------------------------

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย (๒) ก็อย่างไร บุคคลชื่อว่า เป็นผู้ทำผู้อื่นให้เดือดร้อน ประกอบความขวนขวาย ในการทำผู้อื่นให้เดือดร้อน

            บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ฆ่า แพะ ฆ่าสุกร เป็นนายพรานนก เป็นนายพราน เนื้อ เป็นผู้ หยาบช้า เป็นคนฆ่าปลา เป็นโจร เป็นผู้ฆ่าโจร เป็นนักโทษ หรือเป็นผู้ทำ กรรม อันหยาบช้า ชนิดใดชนิดหนึ่ง ก็ตาม

             ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล บุคคลชื่อว่าเป็นผู้ทำผู้อื่นให้เดือดร้อน ประกอบความขวนขวาย ในการทำผู้อื่นให้เดือดร้อน

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย(๓) ก็อย่างไร บุคคลชื่อว่าเป็นผู้ทำตน ให้เดือดร้อน ประกอบ ความขวนขวาย ในการทำตน ให้เดือดร้อน และเป็นผู้ทำผู้อื่นให้ เดือดร้อนประกอบ ความขวนขวายในการทำผู้อื่นให้เดือดร้อน

            บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นพระราชามหากษัตริย์ได้มูรธาภิเษก หรือว่าเป็น พราหมณ์มหาศาล บุคคลนั้น ให้สร้าง สัณฐาคารใหม่ ทางทิศตะวันออกแห่งพระนคร แล้วปลงผมและหนวดนุ่งหนังสัตว์มีเล็บ ชโลมกาย ด้วยเนยและน้ำมัน เกาหลังด้วย เขามฤค (เขากวาง) เข้าไปสู่สัณฐาคารพร้อมด้วยมเหสี และพราหมณ์ปุโรหิต

            บุคคลนั้นสำเร็จการนอน บนพื้นอันปราศจากการปูลาด ไล้ด้วยมูลโคสด น้ำนมใด มีอยู่ในนมเต้าหนึ่ง ของ แม่โคลูกอ่อนตัวหนึ่ง พระราชาย่อมยังพระชนม์ ให้เป็นไป ด้วยน้ำนมเต้านั้น น้ำนมใดมีอยู่ในนมเต้าที่ ๒ พระมเหสีย่อมยังพระชนม์ ให้เป็นไปด้วยน้ำนมเต้านั้น น้ำนมใดมีอยู่ในนมเต้าที่ ๓ พราหมณ์ปุโรหิต ย่อมยังอัตภาพ ให้เป็นไปด้วยน้ำนมเต้านั้นน้ำนมใดมีอยู่ในนมเต้าที่ ๔ ย่อมบูชาไฟด้วยน้ำนมเต้านั้น ลูกโคย่อมยังอัตภาพให้เป็นไปด้วยน้ำนมที่เหลือ

             พระราชานั้นตรัสอย่างนี้ว่า ท่านทั้งหลาย จงฆ่าโคเท่านี้ เพื่อบูชายัญ จงฆ่า ลูกโคผู้เท่านี้ เพื่อบูชายัญ จงฆ่า ลูกโคเมีย เท่านี้เพื่อบูชายัญ จงฆ่าแพะเท่านี้เพื่อ บูชายัญ จงฆ่าแกะเท่านี้เพื่อบูชายัญ จงตัดต้นไม้เท่านี้เพื่อทำหลัก จงเกี่ยวหญ้าคา เท่านี้ เพื่อบังและลาด แม้ชน เหล่าใด ที่เป็นทาสก็ดีเป็นคนรับใช้ก็ดี เป็นคนงานก็ดี ของพระราชานั้น แม้ชนเหล่านั้น สะดุ้ง ต่ออาญา สะดุ้งต่อภัย มีหน้านองด้วยน้ำตา ร้องไห้ทำการงานอยู่

            ดูกรภิกษุทั้งหลายอย่างนี้แล บุคคลชื่อว่าเป็นผู้ทำตนให้เดือดร้อน ประกอบด้วย ความขวนขวายในการทำตน ให้เดือดร้อน และเป็นผู้ทำผู้อื่นให้เดือดร้อน ประกอบความ ขวนขวายในการทำผู้อื่นให้เดือดร้อน

----------------------------------------------------------------------------------------------------------

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย (๔) ก็อย่างไร บุคคลชื่อว่าไม่ทำตนให้เดือดร้อน ไม่ประกอบ ความ ขวนขวายในการทำตน ให้เดือดร้อน และไม่ทำผู้อื่นให้เดือดร้อน ไม่ประกอบ ความขวนขวายในการทำผู้อื่นให้เดือดร้อน บุคคลนั้น เป็นผู้ไม่ทำตน ให้เดือดร้อน และ ไม่ทำผู้อื่นให้เดือดร้อน เป็นผู้ไม่มี ความหิว ดับ เย็นใจเสวยสุข มีตน อันประเสริฐอยู่ใน ปัจจุบันเทียว

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระตถาคต เสด็จอุบัติขึ้นในโลกนี้ เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เอง โดยชอบ ถึงพร้อมด้วย วิชชาและจรณะ เสด็จไปดีแล้ว ทรงรู้แจ้งโลก เป็นสารถีฝึก บุรุษที่ควรฝึกไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดาของ เทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้ เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรม พระตถาคตพระองค์นั้นทรงทำโลกนี้ พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัดด้วยพระปัญญาอันยิ่งของพระองค์เองแล้ว ทรงสอน หมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ให้รู้ตาม

            พระองค์ทรงแสดงธรรม อันงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด ทรงประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้ง อรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง

            คฤหบดีหรือบุตรแห่งคฤหบดี หรือบุคคลผู้เกิดในตระกูลใดตระกูลหนึ่ง ย่อม ฟังธรรมนั้น เขาฟังธรรมนั้นแล้ว ย่อมได้ศรัทธาในพระตถาคต เขาประกอบด้วยการได้ ซึ่งศรัทธานั้นย่อมเห็นตระหนักชัดดังนี้ว่า ฆราวาส คับแคบ เป็นทางมาแห่งธุลี บรรพชา เป็นทางปลอดโปร่ง

            การที่บุคคลผู้ครองเรือน จะประพฤติพรหมจรรย์ ให้บริบูรณ์โดยส่วนเดียว ให้บริสุทธิ์โดยส่วนเดียว ดุจสังข์ขัด ไม่ใช่ทำได้ง่าย ถ้ากระไรเราพึงปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสายะ ออกบวชเป็นบรรพชิตเถิด

            สมัยต่อมา เขาละกองโภคสมบัติน้อยใหญ่ ละเครือญาติน้อยใหญ่ ปลงผม และหนวดนุ่งห่มผ้ากาสายะ ออกบวชเป็นบรรพชิต เมื่อเขาบวชแล้วอย่างนี้ ถึงความเป็นผู้มีสิกขาและสาชีพ เสมอด้วยภิกษุทั้งหลาย ละปาณาติบาต งดเว้นจากปาณาติบาตวางอาชญา วางศาตรา มีความละอาย มีความเอ็นดู อนุเคราะห์ เกื้อกูลสรรพสัตว์อยู่เสมอ

            ละอทินนาทาน งดเว้นจากอทินนาทาน ถือเอาแต่ของที่เขาให้จำนง แต่ของ ที่เขาให้ มีตนไม่เป็นขโมย สะอาดอยู่เสมอ ละกรรมอันเป็นข้าศึกแก่พรหมจรรย์ ประพฤติพรหมจรรย์ ประพฤติห่างไกล เว้นจากเมถุน อันเป็นกิจของชาวบ้าน ละมุสาวาท งดเว้นจากมุสาวาท

            พูดแต่คำจริง ดำรงคำสัตย์ พูดเป็นหลักฐาน ควรเชื่อได้ ไม่พูดลวงโลก ละคำ ส่อเสียด เว้นขาดจากคำ ส่อเสียด ฟังจากข้างนี้แล้วไม่ไปบอกข้างโน้น เพื่อให้คนหมู่นี้ แตกร้าวกัน หรือฟังจากข้างโน้น แล้วไม่มา บอก ข้างนี้ เพื่อให้คนหมู่โน้นแตกร้าวกัน สมานคนที่แตกร้าวกันแล้วบ้าง ส่งเสริมคนที่พร้อมเพรียงกัน แล้วบ้าง ชอบคนผู้ พร้อมเพรียงกัน ยินดีในคนผู้พร้อมเพรียงกัน เพลิดเพลินในคนผู้พร้อมเพรียงกัน กล่าวแต่คำที่ทำให้พร้อมเพรียงกัน

            ละวาจาหยาบ เว้นขาดจากวาจาหยาบ กล่าวแต่คำที่ปราศจากโทษเสนาะโสต ชวนให้รัก จับใจ สุภาพ คนส่วนมากรักใคร่ พอใจ ละคำเพ้อเจ้อ

            เว้นขาดจากคำเพ้อเจ้อ พูดถูกกาล พูดแต่คำที่เป็นจริง พูดอิงอรรถพูดอิงธรรม พูดอิงวินัย พูดแต่คำมี หลักฐาน มีที่อ้าง มีที่กำหนด ประกอบด้วยประโยชน์ โดยกาลอันควร

            เธอเว้นขาดจากการพรากพืชคาม และภูตคามฉันหนเดียว

เว้นการฉันในราตรี งดจากการฉันในเวลาวิกาล
เว้นขาดจากการฟ้อนรำ ขับร้อง ประโคมดนตรี และดูการเล่นอันเป็นข้าศึกแก่กุศล
เว้นขาดจากการทัดทรง ประดับและตกแต่งร่างกาย ด้วยดอกไม้ ของหอม และเครื่อง ประเทืองผิว อันเป็นฐานะแห่งการแต่งตัว
เว้นขาดจากการนั่งนอนบน ที่นั่งที่นอนอันสูงใหญ่
เว้นขาดจากการรับทองและเงิน
เว้นขาดจากการรับธัญชาติดิบ
เว้นขาดจากการรับเนื้อดิบ
เว้นขาดจากการรับสตรีและกุมารี
เว้นขาดจากการรับทาสีและทาส
เว้นขาดจากการรับแพะและแกะ
เว้นขาดจากการรับไก่และสุกร
เว้นขาดจากการรับช้าง โค ม้าและฬา
เว้นขาดจากการรับไร่นาและที่ดิน
เว้นขาดจากการประกอบทูตกรรมและการรับใช้
เว้นขาดจากการซื้อขาย
เว้นขาดจากการฉ้อโกงด้วยตาชั่ง โกงด้วยของปลอมและโกงด้วยเครื่องตวงวัด
เว้นขาดจากการรับสินบน การล่อลวงและการตลบตะแลง

เว้นขาดจากการตัด การฆ่า การจองจำการตีชิง การปล้นและกรรโชก

            เธอเป็นผู้สันโดษด้วยจีวรเป็นเครื่องบริหารกาย ด้วยบิณฑบาตเป็นเครื่อง บริหาร ท้อง เธอจะไปทางทิศาภาคใดๆ ก็ถือไปได้เองนก มีปีกจะบินไปทางทิศา ภาคใดๆ ก็มีแต่ปีกของตัวเป็นภาระบินไป ฉันใด

            ภิกษุก็ฉันนั้นแล เป็นผู้สันโดษด้วยจีวร เป็นเครื่องบริหารกาย ด้วยบิณฑบาต เป็นเครื่องบริหารท้อง เธอจะไปทางทิศาภาคใดๆ ก็ถือไปได้เอง เธอเป็นผู้ประกอบด้วย ศีลขันธ์อันเป็นอริยะเช่นนี้แล้ว ย่อมเสวยสุขอันปราศจากโทษในภายใน

            เธอเห็นรูปด้วยจักษุแล้ว ไม่ถือนิมิต ไม่ถืออนุพยัญชนะ ย่อมปฏิบัติเพื่อสำรวม จักขุนทรีย์ ที่เมื่อไม่สำรวมแล้ว จะเป็นเหตุให้อกุศลธรรมอันลามก คืออภิชฌา และ โทมนัสครอบงำนั้น ชื่อว่ารักษาจักขุนทรีย์ ถึงความ สำรวม ในจักขุนทรีย์ ฟังเสียง ด้วยหู... ดมกลิ่นด้วยจมูก... ลิ้มรสด้วยลิ้น... ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย... รู้แจ้ง ธรรมารมณ์ด้วยใจแล้ว ไม่ถือนิมิต ไม่ถืออนุพยัญชนะ

            เธอย่อมปฏิบัติเพื่อสำรวมมนินทรีย์ ที่เมื่อไม่สำรวมแล้ว จะเป็นเหตุให้ อกุศลธรรม อันลามก คือ อภิชฌาและ โทมนัสครอบงำนั้น ชื่อว่ารักษามนินทรีย์ ถึงความสำรวมในมนินทรีย์

            เธอประกอบด้วยอินทรียสังวรอันเป็นอริยะ เช่นนี้ ย่อมได้เสวยสุขอันบริสุทธิ์ ไม่ระคน ด้วยกิเลสในภายใน

            เธอย่อมทำความรู้สึกตัวในการก้าวไป ในการถอยกลับ ย่อมทำความรู้สึกตัว ในการแลในการเหลียว ย่อมทำ ความรู้สึกตัวในการคู้เข้า ในการเหยียดออก

            ย่อมทำความรู้สึกตัวในการทรงสังฆาฏิ บาตรและจีวร
            ย่อมทำความรู้สึกตัวในการฉัน การดื่มการเคี้ยว การลิ้ม             ย่อมทำความรู้สึกตัวในการถ่ายอุจจาระปัสสาวะ             ย่อมทำความรู้สึกตัวในการเดิน การยืน การนั่ง การหลับ การตื่น ความนิ่ง

            เธอประกอบด้วยศีลขันธ์ อินทรียสังวร และสติสัมปชัญญะ อันเป็นอริยะเช่นนี้ ย่อมเสพเสนาสนะอันสงัด คือ ป่า โคนไม้ ภูเขา ซอกเขา ถ้ำ ป่าช้า ป่าชัฏที่แจ้ง ลอมฟาง

            เธอกลับจากบิณฑบาตภายหลังภัตแล้ว นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรงดำรงสติไว้ เฉพาะหน้า

            เธอละความโลภในโลก มีใจปราศจากความโลภอยู่

            ย่อมชำระจิตให้บริสุทธิ์จากความโลภ ละความประทุษร้าย คือพยาบาท ไม่คิด พยาบาท มีความกรุณา หวังประโยชน์เกื้อกูล แก่สัตว์ทั้งปวงอยู่

            ย่อมชำระจิตให้บริสุทธิ์จากความประทุษร้ายคือ พยาบาท ละถีนมิทธะแล้ว มีความกำหนดหมาย อยู่ที่ แสงสว่าง มีสติ มีสัมปชัญญะ

            ย่อมชำระจิตให้บริสุทธิ์จากถีนมิทธะ ละอุทธัจจกุกกุจจะแล้ว เป็นผู้ไม่ฟุ้งซ่าน มีจิตสงบภายใน

            ย่อมชำระจิตให้บริสุทธิ์จากอุทธัจจกุกกุจจะ ละวิจิกิจฉาแล้ว เป็นผู้ข้ามวิจิกิจฉา ไม่มีความสงสัย ในกุศลธรรมทั้งหลาย

            ย่อมชำระจิตให้บริสุทธิ์จากวิจิกิจฉา เธอละนิวรณ์เหล่านี้อันเป็นอุปกิเลสของใจ เป็นเครื่องทำปัญญา ให้ทุรพลแล้ว สงัดจากกามฯลฯ บรรลุจตุตถฌาน

            ภิกษุนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส เป็นจิตอ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้ ย่อมโน้มน้อมจิตไป เพื่อบุพเพนิวาสานุสสติญาณ

            เธอย่อมระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมาก คือ ระลึกได้ชาติหนึ่งบ้าง สองชาติบ้าง สามชาติบ้าง สี่ชาติบ้าง ห้าชาติบ้าง สิบชาติบ้าง ยี่สิบชาติบ้าง สามสิบชาติบ้าง สี่สิบชาติบ้าง ห้าสิบชาติบ้าง ร้อยชาติบ้าง พันชาติบ้าง แสนชาติบ้าง ตลอดสังวัฏกัปเป็นอันมากบ้าง ตลอดวิวัฏกัปเป็นอันมากบ้าง ตลอดสังวัฏวิวัฏกัป เป็นอันมากบ้างว่า ในภพโน้นเรามีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขและทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น

            ครั้นจุติจากภพนั้นแล้วได้ไปเกิดในภพโน้น แม้ในภพนั้น เราก็ได้มีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณ อย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขและทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น ครั้นจุติจากภพนั้นแล้ว ได้มาเกิดในภพนี้

            เธอย่อมระลึกถึงชาติก่อนได้เป็นอันมาก พร้อมทั้งอาการ พร้อมทั้งอุเทศ ด้วยประการฉะนี้ ภิกษุนั้นเมื่อจิต เป็นสมาธิ บริสุทธิ์ ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจาก อุปกิเลส เป็นจิตอ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว อย่างนี้ ย่อมโน้มน้อมจิตไป เพื่อรู้จุติ และอุปบัติของสัตว์ทั้งหลาย

            เธอย่อมเห็นหมู่สัตว์ที่กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลวประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วย ทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์

            ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ผู้เป็นไปตามกรรมว่า สัตว์เหล่านี้ประกอบด้วยกายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ติเตียน พระอริยเจ้า เป็นมิจฉาทิฐิยึดถื อการกระทำด้วยอำนาจ มิจฉาทิฐิ เมื่อตายไป เขาเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก

            ส่วนสัตว์เหล่านี้ประกอบด้วย กายสุจริต วจีสุจริต มโนสุจริต ไม่ติเตียน พระอริยเจ้า เป็นสัมมาทิฐิ ยึดถือ การกระทำด้วยอำนาจสัมมาทิฐิ เมื่อตายไปเขาเข้าถึง สุคติโลกสวรรค์

            เธอย่อมเห็นหมู่สัตว์กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลวประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณ ทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพยจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ ผู้เป็นไปตามกรรม ด้วยประการฉะนี้

            ภิกษุนั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส เป็น จิตอ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้ ย่อมโน้มน้อมจิตไปเพื่ออาสวขย ญาณ ย่อมรู้ชัดตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธ คามินีปฏิปทา เหล่านี้อาสวะ นี้เหตุให้เกิดอาสวะ นี้ความดับอาสวะ นี้ข้อปฏิบัติให้ถึง ความดับอาสวะ

            เมื่อเธอรู้เห็นอย่างนี้ จิตย่อมหลุดพ้น แม้จากกามาสวะ แม้จากภวาสวะ แม้จาก อวิชชาสวะ เมื่อจิต หลุดพ้นแล้ว ก็มีญาณหยั่งรู้ว่า หลุดพ้นแล้ว รู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล บุคคลชื่อว่า เป็นผู้ไม่ทำตนให้เดือดร้อน ไม่ประกอบความขวนขวาย ในการทำตน ให้เดือดร้อน และไม่ทำผู้อื่นให้เดือดร้อน ไม่ประกอบความขวนขวายในการทำผู้อื่น ให้เดือดร้อน และบุคคลนั้นเป็นผู้ ไม่ทำตน ให้เดือดร้อนไม่ทำผู้อื่นให้เดือดร้อน

            เป็นผู้ไม่มีความหิว เป็นผู้ดับ เย็นใจ เสวยสุข มีตนอันประเสริฐ อยู่ในปัจจุบัน ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้แล มีปรากฏอยู่ในโลก

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๑ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๒๑๔-๒๔๘

๙. ตัณหาสูตร
ว่าด้วยตัณหา

            [๑๙๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงตัณหาเช่นดังข่าย(ตาข่าย) ท่องเที่ยวไป แผ่ซ่าน ไป เกาะเกี่ยวอยู่ใน อารมณ์ต่างๆ เป็นเครื่องปกคลุมหุ้มห่อสัตว์โลกนี้ ซึ่งยุ่ง เหมือนกลุ่มด้าย อันยุ่งเหยิง ขอดเป็นปมเป็นเหมือน หญ้าปล้อง ไม่ให้ล่วงพ้น อบาย ทุคติ วินิบาต และสงสารไปได้ เธอทั้งหลายจงฟัง จงใส่ใจให้ดีเราจักกล่าว ภิกษุเหล่านั้น ทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคตรัสว่า

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ตัณหาเช่นดังข่าย ท่องเที่ยวไป แผ่ซ่านไป เกาะเกี่ยวอยู่ ในอารมณ์ต่างๆ เป็นเครื่องปกคลุมหุ้มห่อสัตว์โลกนี้ ซึ่งยุ่งเหมือนกลุ่มด้ายอันยุ่งเหยิง ขอดเป็นปม เป็นเหมือนหญ้ามุงกระต่าย และหญ้าปล้อง ไม่ให้ล่วงพ้นอบาย ทุคติ วินิบาต และสงสารไปได้นั้น เป็นไฉน

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย ตัณหาวิจริต ๑๘ ประการนี้
อาศัยขันธบัญจกภายใน ตัณหาวิจริต ๑๘ ประการนี้
อาศัยขันธบัญจกภายนอก ตัณหาวิจริต ๑๘ ประการ


อันอาศัยขันธบัญจกภายในเป็นไฉน

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อมีความถือว่า เรามี ก็ย่อมมีความถือว่า เราเป็นอย่างนี้ เราเป็นอย่างนั้น เราเป็นอย่างอื่น เราไม่เป็นอยู่ เราพึงเป็นอย่างนี้ เราพึงเป็นอย่างนั้น เราพึงเป็นอย่างอื่น แม้ไฉนเราพึงเป็น แม้ไฉนเราพึงเป็นอย่างนี้ แม้ไฉนเราพึงเป็น อย่างนั้น แม้ไฉนเราพึงเป็นอย่างอื่น เราจักเป็น เราจักเป็นอย่างนี้ เราจักเป็นอย่างนั้น เราจักเป็นอย่างอื่น ตัณหาวิจริต ๑๘ ประการนี้อาศัยขันธบัญจกภายใน

ตัณหาวิจริต ๑๘ ประการ อันอาศัยขันธบัญจกภายนอก เป็นไฉน

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อมีความถือว่า

๑ เรามีด้วยขันธบัญจกนี้ ก็ย่อมมีความถือว่า
๒ เราเป็นอย่างนี้ ด้วยขันธบัญจกนี้
๓ เราเป็นอย่างนั้น ด้วยขันธบัญจกนี้
๔ เราเป็นอย่างอื่น ด้วยขันธบัญจกนี้
๕ เราเป็นอยู่ ด้วยขันธบัญจกนี้

๖ เราไม่เป็นอยู่ ด้วยขันธบัญจกนี้
๗ เราพึงเป็นด้วย ขันธบัญจกนี้
๘ เราพึงเป็นอย่างนี้ ด้วยขันธบัญจกนี้
๙ เราพึงเป็นอย่างนั้น ด้วยขันธบัญจกนี้
๑๐ เราพึงเป็นอย่างอื่น ด้วยขันธบัญจกนี้

๑๑ แม้ไฉนเรา พึงเป็นอย่างนี้ ด้วยขันธบัญจกนี้
๑๒ แม้ไฉนเรา พึงเป็นอย่างนั้น ด้วยขันธบัญจกนี้
๑๓ แม้ไฉนเรา พึงเป็นอย่างนั้น ด้วยขันธบัญจกนี้
๑๔ แม้ไฉนเรา พึงเป็นอย่างอื่น ด้วยขันธบัญจกนี้

๑๕ เราจักเป็น ด้วยขันธบัญจกนี้
๑๖ เราจักเป็น อย่างนี้ด้วย ขันธบัญจกนี้
๑๗ เราจักเป็น อย่างนั้น ด้วยขันธบัญจกนี้
๑๘ เราจักเป็น อย่างอื่น ด้วยขันธบัญจกนี้

ตัณหาวิจริต ๑๘ ประการนี้
อาศัยขันธบัญจก ภายนอก ตัณหาวิจริต ๑๘ ประการ
อาศัยขันธบัญจก ภายใน ตัณหาวิจริต ๑๘ ประการ

อาศัยขันธบัญจกภายนอก ด้วยประการฉะนี้ รวมเรียกว่า ตัณหาวิจริตเห็นปานนี้ ที่เป็นอดีต ๓๖ อนาคต ๓๖ เป็นปัจจุบัน ๓๖ รวมเป็นตัณหาวิจริต ๑๐๘ ด้วยประการฉะนี้

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย ตัณหานี้นั้นแล เช่นดังข่าย ท่องเที่ยวไป แผ่ซ่านไป เกาะเกี่ยวอยู่ในอารมณ์ ต่างๆเป็น เครื่องปกคลุมหุ้มห่อสัตว์โลกนี้ ซึ่งนุงเหมือนด้าย อันยุ่งเหยิง ขอดเป็นปมเป็นเหมือนหญ้า มุงกระต่าย และหญ้าปล้อง ไม่ให้ล่วงพ้นอบาย ทุคติ วินิบาตและสงสารไปได้

-----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๑ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๒๑๔-๒๔๘

๑๐. เปมสูตร
ว่าด้วยความรักและความชัง

            [๒๐๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมชาติ ๔ ประการนี้ ย่อมเกิด
๔ ประการ เป็นไฉน คือ
ความรักย่อมเกิด เพราะความรัก ๑
โทสะย่อมเกิด เพราะความรัก ๑
ความรัก ย่อมเกิดเพราะโทสะ ๑
โทสะ ย่อมเกิดเพราะโทสะ ๑

            ดูกรภิกษุทั้งหลายก็ความรัก ย่อมเกิดเพราะความรักอย่างไร บุคคลในโลกนี้ เป็นที่น่าปรารถนา น่าใคร่น่าพอใจ ของบุคคล คนอื่นๆ มาประพฤติต่อบุคคลที่รักนั้น ด้วยอาการที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ เขาย่อมมีความคิดอย่างนี้ว่า คนอื่น มาประพฤติ ต่อบุคคลที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจของเรา ด้วยอาการ อันน่าปรารถนา น่าใคร่น่าพอใจ เขาย่อมเกิดความรักในคนเหล่านั้น

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความรักย่อมเกิดเพราะความรัก อย่างนี้แล

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็โทสะย่อมเกิดเพราะความรักอย่างไร บุคคลในโลกนี้ เป็นที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจของบุคคล คนอื่นมาประพฤติต่อบุคคลนั้น ด้วย อาการอันไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจ บุคคลนั้นย่อมมีความคิดอย่างนี้ว่า คนอื่นมาประพฤติต่อบุคคล ที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจของเรา ด้วยอาการ อันไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจ เขาย่อมเกิดโทสะในคนเหล่านั้น

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย โทสะย่อมเกิดเพราะความรัก อย่างนี้แล

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ความรักย่อมเกิดเพราะโทสะอย่างไร บุคคลในโลกนี้ ไม่เป็น ที่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจของบุคคล คนอื่นๆ มาประพฤติต่อบุคคลนั้น ด้วยอาการอันไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจ บุคคลนั้น ย่อมมีความคิดอย่างนี้ว่า คนอื่นๆ มาประพฤติต่อบุคคลที่ไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจของเรา ด้วย อาการอันไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจเขาย่อมเกิดความรักใคร่ ในคนเหล่านั้น

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความรักย่อมเกิดเพราะโทสะอย่างนี้แล

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็โทสะย่อมเกิดเพราะโทสะอย่างไร บุคคลในโลกนี้ไม่เป็น ที่น่า ปรารถนา ไม่น่ารักใคร่ ไม่น่าพอใจของบุคคล คนอื่นๆ มาประพฤติต่อบุคคลนั้น ด้วยอาการอันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ บุคคลนั้นย่อมมีความคิดอย่างนี้ว่า คนอื่นๆ มาประพฤติต่อคนที่ไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจของเรา ด้วยอาการอันน่า ปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ เขาย่อมเกิดโทสะในบุคคลเหล่านั้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย โทสะย่อมเกิดเพราะโทสะอย่างนี้แล

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมชาติ ๔ ประการนี้แล ย่อมเกิด

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมัยใด ภิกษุสงัดจากกาม ฯลฯ เข้าปฐมฌานอยู่ สมัยนั้น แม้ความรักที่เกิดเพราะความรัก ย่อมไม่มีแก่ภิกษุนั้น แม้โทสะที่เกิดเพราะความรัก ย่อมไม่มีแก่ภิกษุนั้น แม้ความรักที่เกิดเพราะโทสะ ย่อมไม่มีแก่ภิกษุนั้น แม้โทสะ ที่เกิดเพราะโทสะ ย่อมไม่มีแก่ภิกษุนั้น

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมัยใด ภิกษุเข้าทุติยฌานฯลฯ ตติยฌาน ฯลฯ จตุตถฌาน สมัยนั้น แม้ความรัก ที่เกิด เพราะความรัก ย่อมไม่มีแก่ภิกษุนั้น แม้โทสะที่เกิดเพราะ ความรัก ย่อมไม่มีแก่ภิกษุนั้น แม้ความรักที่เกิด เพราะโทสะ ย่อมไม่มีแก่ภิกษุนั้น แม้โทสะที่เกิดเพราะโทสะ ย่อมไม่มีแก่ภิกษุนั้น

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย สมัยใด ภิกษุกระทำให้แจ้งซึ่งเจโตวิมุติ ปัญญาวิมุติ อันหา อาสวะมิได้ เพราะอาสวะ ทั้งหลายสิ้นไป ด้วยปัญญาอันยิ่งเอง ในปัจจุบันเข้าถึงอยู่ สมัยนั้น แม้ความรักที่เกิดเพราะความรัก เป็นธรรมชาติ อันภิกษุนั้นละได้แล้ว ตัดราก ขาดแล้ว ทำให้เป็นเหมือนตาลยอดด้วนทำให้ไม่ให้มี ไม่เกิดขึ้น ต่อไปเป็นธรรมดา แม้โทสะที่เกิดเพราะความรัก... แม้ความรักที่เกิดเพราะโทสะ... แม้โทสะที่เกิด เพราะโทสะ เป็นธรรมชาติอันภิกษุนั้นละได้แล้ว ตัดรากขาดแล้ว ทำให้เป็นเหมือนตาล ยอดด้วน ทำให้ไม่ให้มี ไม่เกิดขึ้นต่อไปเป็นธรรมดา ภิกษุนี้เราเรียกว่า ไม่ยึดถือ ไม่โต้ตอบ ไม่บังหวนควัน ไม่ลุกโพลง ไม่ถูกไฟไหม้

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุชื่อว่ายึดถืออย่างไร ภิกษุในธรรมวินัยนี้ย่อมเห็นรูป โดยความเป็นตน เห็นตนว่า มีรูป เห็นรูปในตน หรือเห็นตนในรูป ย่อมเห็นเวทนา โดยความเป็นตน เห็นตนว่ามีเวทนา เห็นเวทนาในตน หรือเห็นตนในเวทนา ย่อมเห็น สัญญาโดยความเป็นตน เห็นตนว่ามีสัญญา เห็นสัญญาในตน หรือเห็นตน ในสัญญา ย่อมเห็นสังขารทั้งหลาย โดยความเป็นตน เห็นตนว่ามีสังขาร เห็นสังขารในตน หรือ เห็นตน ในสังขาร ย่อมเห็นวิญญาณโดยความเป็นตน เห็นตนว่ามีวิญญาณ เห็นวิญญาณ ในตน หรือเห็นตน ในวิญญาณ ภิกษุชื่อว่ายึดถืออย่างนี้แล

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุชื่อว่าไม่ยึดถืออย่างไร ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อม ไม่เห็นรูป โดยความเป็นตน ไม่เห็นตนว่ามีรูป ไม่เห็นรูปในตน หรือไม่เห็นตนในรูป ไม่เห็นเวทนา...ไม่เห็นสัญญา... ไม่เห็นสังขาร... ไม่เห็นวิญญาณโดยความเป็นตน ไม่เห็นตนว่ามีวิญญาณ ไม่เห็นวิญญาณในตน หรือไม่เห็นตนในวิญญาณ ภิกษุชื่อว่า ไม่ยึดถืออย่างนี้แล

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุชื่อว่าย่อมโต้ตอบอย่างไร ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมด่าตอบ ผู้ด่าตน ย่อมโกรธตอบ ผู้โกรธตน ย่อมโต้เถียงตอบผู้โต้เถียงตน ภิกษุชื่อ ว่าย่อมโต้ตอบอย่างนี้แล

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุชื่อว่าย่อมไม่โต้ตอบอย่างไร ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมไม่ด่าตอบผู้ด่าตน ย่อมไม่โกรธตอบ ผู้โกรธตน ย่อมไม่โต้เถียงตอบผู้โต้เถียงตน ภิกษุชื่อว่าไม่โต้ตอบอย่างนี้แล

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุย่อมบังหวนควันอย่างไร เมื่อมีความถือว่าเรา เป็นอย่างนี้ เราเป็นอย่างนั้น เราเป็นอย่างอื่น เราเป็นอยู่ เราไม่เป็นอยู่เราพึงเป็น เราพึงเป็นอย่างนี้ เราพึงเป็นอย่างนั้น เราพึงเป็น อย่างอื่น แม้ไฉนเราพึงเป็น แม้ไฉน เราพึงเป็นอย่างนี้ แม้ไฉนเราพึงเป็นอย่างนั้น แม้ไฉนเราพึงเป็นอย่างอื่น เราจักเป็น เราจักเป็นอย่างนี้ เราจักเป็นอย่างนั้น เราจักเป็นอย่างอื่น ภิกษุชื่อว่าย่อมบังหวนควัน อย่างนี้แล

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุย่อมไม่บังหวนควันอย่างไร ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อไม่มีความถือว่า เรามีอยู่ ก็ย่อมไม่มีความถือว่า เราเป็นอย่างนี้ ... เราจักเป็น อย่างอื่น ภิกษุชื่อว่าย่อมไม่บังหวนควันอย่างนี้แล

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุลุกโพลงอย่างไร ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อมีความถือว่า เรามีขันธบัญจกนี้ ก็ย่อมมี ความถือว่า เราเป็นอย่างนี้ด้วยขันธบัญจกนี้ เราเป็นอย่างนั้น ด้วย ขันธบัญจกนี้ เราเป็นอย่างอื่นด้วย ขันธบัญจกนี้ เราเป็นอยู่ด้วยขันธบัญจกนี้ เราไม่เป็นอยู่ด้วยขันธบัญจกนี้ เราพึงเป็นขันธบัญจกนี้เราพึง เป็นอย่างนั้นด้วย ขันธบัญจกนี้ เราพึงเป็นอย่างอื่น ด้วยขันธบัญจกนี้ แม้ไฉนเราพึงเป็นด้วยขันธบัญจกนี้ แม้ไฉนเราพึงเป็นอย่างนี้ด้วยขันธบัญจกนี้ แม้ไฉนเราพึงเป็นอย่างนั้น ด้วยขันธบัญจกนี้ เราจักเป็นอย่างนี้ ด้วยขันธบัญจกนี้ เราจักเป็นอย่างอื่นด้วยขันธบัญจกนี้             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุลุกโพลงอย่างนี้แล

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุไม่ลุกโพลงอย่างไร ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อไม่มี ความถือว่า เรามีด้วยขันธบัญจกนี้ ก็ย่อมไม่มีความถือว่า เราเป็นอย่างนี้ด้วย ขันธบัญจกนี้ ...เราจักเป็นอย่างอื่นด้วยขันธบัญจกนี้

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุย่อมไม่ลุกโพลงอย่างนี้แล

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุถูกไฟไหม้อย่างไร ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ยังละ อัสมิมานะ ตัดรากขาด ทำให้เป็น เหมือนตาลยอดด้วน ทำไม่ให้มี ไม่ให้เกิดอีกต่อไป เป็นธรรมดา ไม่ได้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุถูกไฟไหม้ อย่างนี้แล

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ภิกษุไม่ถูกไฟไหม้อย่างไร ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ละ อัสมิมานะ ได้แล้ว ตัดรากขาด แล้ว ทำให้เป็นเหมือนตาลยอดด้วน ทำไม่ให้มี ไม่ให้เกิดขึ้นอีกต่อไปเป็นธรรมดา ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุไม่ถูกไฟไหม้อย่างนี้แล


 





หนังสือพุทธวจน ธรรมะของพระศาสดา
90 90 90 90
พุทธประวัติ ขุมทรัพย์ อริยสัจ
ภาคต้น
อริยสัจ
ภาคปลาย
ปฏิจจ ปฐมธรรม ตถาคต อนาคามี อินทรีย์
สังวร
สัตว์
สัตตานัง
ทาน
สกทาคามี
ฆราวาส
ชั้นเลิศ
มรรควิธี
ที่ง่าย
อริยวินัย เดรัจฉานวิชา กรรม สมถะ
วิปัสสนา
โสดาบัน นา
ปานสติ
จิต มโน
วิญญาณ
ก้าวย่าง
อย่างพุทธะ
ตามรอย
ธรรม
ภพ ภูมิ
พุทธวจน
สาธยาย
ธรรม
สังโยชน์