พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๖ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๒๗-๑๓๐
๘. โกสัมพีสูตร
(การสนทนาธรรม ระหว่างพระปวิฏฐะ กับพระมุสิละ)
[๒๖๘] สมัยหนึ่ง ท่านพระมุสิละ ท่านพระปวิฏฐะ ท่านพระนารทะ และท่าน พระอานนท์ อยู่ ณ โฆสิตาราม เขตเมืองโกสัมพี
[๒๖๙] ครั้งนั้น ท่านพระปวิฏฐะได้กล่าวคำนี้กะ ท่านพระมุสิละ ว่า ดูกรท่านมุสิละ เว้นจากความเชื่อ ความพอใจ การฟังตามเขามา ความตรึกไปตาม อาการ และจากการ ทนต่อความเพ่งพินิจด้วยทิฐิ ท่านมุสิละมีญาณเฉพาะตัว ท่านว่า เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ ดังนี้หรือ
พระมุสิละกล่าวว่า ท่านปวิฏฐะ เว้นจากความเชื่อ ความพอใจ การฟังตามเขา มา ความตรึกไปตามอาการ และการทนต่อความเพ่งพินิจด้วยทิฐิ ผมย่อมรู้ ย่อมเห็น อย่างนี้ว่า เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ
ป. ท่านมุสิละ เว้นจากความเชื่อ ความพอใจ การฟังตามเขามา ความตรึกไป ตามอาการ การทนต่อความเพ่งพินิจด้วยทิฐิ ท่านมุสิละมีญาณเฉพาะตัวท่านว่า เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ ฯลฯ
เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ ...
เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน ...
เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา ...
เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา ...
เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ ...
เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ ...
เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป ...
เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ ...
เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร ดังนี้หรือ
ม. ท่านปวิฏฐะ เว้นจากความเชื่อ ความพอใจ การฟังตามเขามาความตรึกไป ตามอาการ การทนต่อความเพ่งพินิจด้วยทิฐิ ผมย่อมรู้ ย่อมเห็นอย่างนี้ว่า เพราะอวิชชา เป็นปัจจัย จึงมีสังขาร
[๒๗๐] ป. ดูกรท่านมุสิละ อนึ่ง เว้นจากความเชื่อ ความพอใจ การฟังตาม เขามา ความตรึกไปตามอาการ การทนต่อความเพ่งพินิจด้วยทิฐิ ท่านมุสิละมีญาณ เฉพาะตัวท่านว่า เพราะชาติดับ ชราและมรณะจึงดับ ดังนี้หรือ
ม. ดูกรท่านปวิฏฐะ เว้นจากความเชื่อ ความพอใจ การฟังตามเขามา ความตรึก ไปตามอาการ การทนต่อความเพ่งพินิจด้วยทิฐิ ผมย่อมรู้ ย่อมเห็นอย่างนี้ว่า เพราะชาติ ดับ ชราและมรณะจึงดับ
ป. ดูกรท่านมุสิละ เว้นจากความเชื่อ ความพอใจ การฟังตามเขามาความตรึก ไป ตามอาการ การทนต่อความเพ่งพินิจด้วยทิฐิ ท่านมุสิละมีญาณเฉพาะตัวท่านว่า เพราะภพดับ ชาติจึงดับ ฯลฯ
เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ ...
เพราะตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ ...
เพราะเวทนาดับ ตัณหาจึงดับ ...
เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ ...
เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ ...
เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ ...
เพราะวิญญาณ ดับ นามรูปจึงดับ ...
เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ ...
เพราะอวิชชาดับ สังขารจึงดับ ดังนี้หรือ
ม. ดูกรท่านปวิฏฐะ เว้นจากความเชื่อ ความพอใจ การฟังตามเขามาความตรึก ไป ตามอาการ การทนต่อความเพ่งพินิจด้วยทิฐิ ผมย่อมรู้ ย่อมเห็นอย่างนี้ว่า เพราะ อวิชชาดับ สังขารจึงดับ
[๒๗๑] ป. ดูกรท่านมุสิละ เว้นจากความเชื่อ ความพอใจ การฟังตามเขามา ความตรึกไปตามอาการ การทนต่อความเพ่งพินิจด้วยทิฐิ ท่านมุสิละมีญาณเฉพาะตัว ท่านว่า ภพดับ เป็นนิพพานหรือ
ม. ดูกรท่านปวิฏฐะ เว้นจากความเชื่อ ความพอใจ การฟังตามเขามาความตรึก ไปตามอาการ การทนต่อความเพ่งพินิจด้วยทิฐิ ผมย่อมรู้ ย่อมเห็นอย่างนี้ว่า ภพดับ เป็นนิพพาน
ป. ถ้าอย่างนั้น ท่านมุสิละ ก็เป็นพระอรหันตขีณาสพ
เมื่อพระปวิฏฐะกล่าวอย่างนี้แล้ว ท่านมุสิละได้นิ่งอยู่
[๒๗๒] ครั้งนั้นแล ท่านพระนารทะได้กล่าวกะท่านปวิฏฐะว่า สาธุท่านปวิฏฐะ ผมพึงได้ปัญหานั้น ท่านจงถามปัญหาอย่างนั้น ผมจะแก้ปัญหานั้นแก่ท่าน ท่านปวิฏฐะ กล่าวว่า ท่านนารทะได้ปัญหานั้น ผมขอถามปัญหานั้นกะท่านนารทะ และขอท่านนารทะ จงแก้ปัญหานั้นแก่ผม ดูกรท่านนารทะ เว้นจากความเชื่อ ความพอใจ การฟังตามเขามา ความตรึกไปตามอาการ การทนต่อความเพ่งพินิจด้วยทิฐิ ท่านนารทะมีญาณ เฉพาะตัว ท่านว่า เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชราและมรณะ ดังนี้หรือ
นา. ท่านปวิฏฐะ เว้นจากความเชื่อ ความพอใจ การฟังตามเขามาความตรึก ไป ตามอาการ การทนต่อความเพ่งพินิจด้วยทิฐิ ผมย่อมรู้ ย่อมเห็นอย่างนี้ว่า เพราะชาติเป็น ปัจจัย จึงมีชราและมรณะ
ป. ท่านนารทะ เว้นจากความเชื่อ ความพอใจ การฟังตามเขามาการตรึกไปตาม อาการ การทนต่อความเพ่งพินิจด้วยทิฐิ ท่านนารทะมีญาณเฉพาะตัวท่านว่า เพราะภพ เป็นปัจจัย จึงมีชาติ ฯลฯ เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร ดังนี้หรือ
นา. ท่านปวิฏฐะ เว้นจากความเชื่อ ความพอใจ การฟังตามเขามา ความตรึกไป ตามอาการ การทนต่อความเพ่งพินิจด้วยอิฐิ ผมย่อมรู้ ย่อมเห็นอย่างนี้ว่าเพราะ อวิชชา เป็นปัจจัย จึงมีสังขาร
[๒๗๓] ป. ดูกรท่านนารทะ เว้นจากความเชื่อ ความพอใจ การฟังตามเขามา ความตรึกไปตามอาการ การทนต่อความเพ่งพินิจด้วยทิฐิ ท่านนารทะมีญาณเฉพาะตัว ท่านว่า เพราะชาติดับ ชราและมรณะจึงดับ ฯลฯ เพราะอวิชชาดับ สังขารจึงดับ ดังนี้หรือ
นา. ท่านปวิฏฐะ เว้นจากความเชื่อ ความพอใจ การฟังตามเขามาความตรึกไป ตามอาการ การทนต่อความเพ่งพินิจด้วยทิฐิ ผมย่อมรู้ ย่อมเห็นอย่างนี้ว่า เพราะอวิชชา ดับ สังขารจึงดับ
[๒๗๔] ป. ดูกรท่านนารทะ เว้นจากความเชื่อ ความพอใจ การฟังตามเขามา ความตรึกไปตามอาการ การทนต่อความเพ่งพินิจด้วยทิฐิ ท่านนารทะมีญาณเฉพาะตัว ท่านว่า ภพดับเป็นนิพพาน ดังนี้หรือ
นา. ท่านปวิฏฐะ เว้นจากความเชื่อ ความพอใจ การฟังตามเขามา ความตรึกไป ตามอาการ การทนต่อความเพ่งพินิจด้วยทิฐิ ผมย่อมรู้ ย่อมเห็นอย่างนี้ว่า ภพดับ เป็นนิพพาน
ป. ถ้าอย่างนั้น ท่านนารทะก็เป็นพระอรหันตขีณาสพหรือ
นา. อาวุโส ข้อว่าภพดับเป็นนิพพาน ผมเห็นดีแล้วด้วยปัญญาอันชอบ ตาม ความเป็นจริง แต่ว่าผมไม่ใช่พระอรหันตขีณาสพ อาวุโส เปรียบเหมือนบ่อน้ำในหนทาง กันดาร ที่บ่อนั้นไม่มีเชือกโพงจะตักน้ำก็ไม่มี ลำดับนั้นบุรุษถูกความร้อนแผดเผา เหน็ดเหนื่อย หิว ระหาย เดินมา เขามองดูบ่อน้ำนั้น ก็รู้ว่ามีน้ำแต่จะสัมผัสด้วยกายไม่ได้ ฉันใด ดูกรอาวุโส ข้อว่า ภพดับเป็นนิพพาน ผมเห็นดีแล้วด้วยปัญญาอันชอบ ตาม ความเป็นจริง แต่ว่า ผมไม่ใช่พระอรหันตขีณาสพฉันนั้นเหมือนกัน
[๒๗๕] เมื่อท่านพระนารทะกล่าวอย่างนี้แล้ว ท่านพระอานนท์ได้กล่าวกะ ท่านพระปวิฏฐะว่า ดูกรท่านปวิฏฐะ ท่านชอบพูดอย่างนี้ ท่านได้พูดอะไรกะท่านนารทะ บ้าง พระปวิฏฐะกล่าวว่า ท่านอานนท์ ผมพูดอย่างนี้ ไม่ได้พูดอะไรกะท่านนารทะ นอกจากกัลยาณธรรม นอกจากกุศลธรรม
จบสูตรที่ ๘
-------------------------------------------------------------------------------------------------------
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๖ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๓๐-๑๓๑
๙. อุปยสูตร
[๒๗๖] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี
[๒๗๗] ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลาย ... แล้วได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อมหาสมุทรน้ำขึ้น ย่อมทำให้แม่น้ำใหญ่น้ำขึ้นเมื่อแม่น้ำใหญ่น้ำขึ้น ย่อมทำให้แม่น้ำน้อยน้ำขึ้น เมื่อแม่น้ำน้อยน้ำขึ้น ย่อมทำให้บึงใหญ่น้ำขึ้น เมื่อบึงใหญ่ น้ำขึ้น ย่อมทำให้บึงน้อยน้ำขึ้น ฉันใด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่ออวิชชาเกิด ย่อมทำให้สังขารเกิด เมื่อสังขารเกิด ย่อมทำให้วิญญาณเกิด เมื่อวิญญาณเกิด ย่อมทำให้นามรูปเกิด เมื่อนามรูปเกิด ย่อมทำให้สฬายตนะเกิด เมื่อสฬายตนะเกิด ย่อมทำให้ผัสสะเกิด เมื่อผัสสะเกิด ย่อมทำให้เวทนาเกิด เมื่อเวทนาเกิด ย่อมทำให้ตัณหาเกิด เมื่อตัณหาเกิด ย่อมทำให้อุปาทานเกิด เมื่ออุปาทานเกิด ย่อมทำให้ภพเกิด เมื่อภพเกิด ย่อมทำให้ชาติเกิด เมื่อชาติเกิด ย่อมทำให้ชราและมรณะเกิด ฉันนั้นเหมือนกัน
[๒๗๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อมหาสมุทรน้ำลง ย่อมทำให้แม่น้ำใหญ่ลดลง เมื่อแม่น้ำใหญ่ลดลง ย่อมทำให้แม่น้ำน้อยลดลง เมื่อแม่น้ำน้อยลดลงย่อมทำให้ บึงใหญ่ ลดลง เมื่อบึงใหญ่ลดลง ย่อมทำให้บึงน้อยลดลง ฉันใด เมื่ออวิชชาไม่เกิด ย่อมทำให้ สังขารไม่เกิด เมื่อสังขารไม่เกิด ย่อมทำให้วิญญาณไม่เกิด เมื่อวิญญาณไม่เกิด ย่อมทำให้นามรูปไม่เกิด เมื่อนามรูปไม่เกิด ย่อมทำให้สฬายตนะไม่เกิด เมื่อสฬายตนะ ไม่เกิด ย่อมทำให้ผัสสะไม่เกิด เมื่อผัสสะไม่เกิด ย่อมทำให้เวทนาไม่เกิด เมื่อเวทนา ไม่เกิด ย่อมทำให้ตัณหาไม่เกิด เมื่อตัณหาไม่เกิด ย่อมทำให้อุปาทานไม่เกิด เมื่อ อุปาทานไม่เกิด ย่อมทำให้ภพไม่เกิดเมื่อภพไม่เกิด ย่อมทำให้ชาติไม่เกิด เมื่อชาติ ไม่เกิด ย่อมทำให้ชราและมรณะไม่เกิด ฉันนั้นเหมือนกัน
จบสูตรที่ ๙ |