เว็บไซต์ อนาคามี เผยแพร่คำพระศาสดา เผยแพร่คำสอนตถาคต เว็บไซต์เผยแพร่พระสุตรคำสอนของพระพุทธเจ้า คลิปคำสอน คลิปสาธยายธรรม
ค้นหาคำที่ต้องการ            

เวรัญชสูตร พระพุทธเจ้าทรงแก้ข้อสงสัยของเวรัญชพราหมณ์ 1966
 


พระผู้มีพระภาคแก้ความเห็นผิดของ เวรัญชพราหมณ์ ที่กล่าวว่า พระสมณโคดมไม่ไหว้ ไม่ลุกรับ พวกพราหมณ์ ผู้แก่ ผู้เฒ่า ผู้ใหญ่

ดูกรพราหมณ์ เปรียบเหมือนฟองไข่ ๘ ฟอง ๑๐ ฟอง .... แม่ไก่กกดีแล้ว อบดีแล้วฟักดีแล้ว ลูกไก่ตัวใดทำลายกระเปาะฟอง ออกมาได้โดยสวัสดีก่อนกว่าเขา ลูกไก่ตัวนั้นควรเรียกว่ากระไร จะเรียกว่าพี่หรือน้อง

ว. ท่านพระโคดม ควรเรียกว่าพี่ เพราะมันแก่กว่าเขา

พ. ดูกรพราหมณ์ ฉันนั้นเหมือนกันแล บรรดาหมู่สัตว์ผู้ตกอยู่ในอำนาจอวิชชา เกิดในฟอง อันกระเปาะฟองหุ้มห่อแล้ว เราผู้เดียวเท่านั้นได้ทำลายกระเปาะฟอง คือ อวิชชา แล้วได้ตรัสรู้ อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณในโลก เราแลเป็นผู้เจริญที่สุด
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

พระผู้มีพระภาคตรัส ลำดับการตรัสรู้แก่เวรัญชพราหมณ์ โดยย่อดังนี้
เรานั้นแล สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุข เกิดแต่วิเวกอยู่
เราบรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิต ณ ภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร
เราบรรลุตติยฌาน ที่พระอริยะทั้งหลายสรรเสริญว่า ผู้ได้ฌานนี้ เป็นผู้มีสติอยู่เป็นสุข
เราบรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์และดับโสมนัสก่อนๆ ได้

วิชชาที่๑ (บุพเพนิวาสานุสสติญาณ) เราได้บรรลุแล้วใน ปฐมยามแห่งราตรี
วิชชาที่๒ (ญาณเครื่องรู้จุติ และอุปบัติ) เราได้บรรลุแล้วใน มัชฌิมยามแห่งราตรี
วิชชาที่๓ (อาสวักขยญาณ) เราได้บรรลุแล้วใน ปัจฉิมยามแห่งราตรี

ความชำแรกออกครั้งที่สามนี้แล เป็นเหมือนการทำลายออกจากกระเปาะฟองแห่งลูกไก่ ฉะนั้น

เรื่องสำคัญของพระพุทธเจ้า
การบำเพ็ญบารมีในอดีตชาติ
การประสูติ แสงสว่าง แผ่นดินไหว
แสวงหาสัจจะบำเพ็ญทุกรกิริยา
ปัญจวัคคีย์หลีก สิ่งที่ตรัสรู้
ตรัสรู้ แสดงเทศนาปัญจวัคคีย์
ปลงสังขาร ปรินิพพาน
ลำดับขั้นการปรินิพพาน
เทวดาแสดงฤทธิ์ขณะถวายเพลิง
แบ่งพระสรีระออกเป็น ๘ ส่วน
 
รวมพระสูตรบุคคลสำคัญ
พระโมคคัลลานะ
พระสารีบุตร
พระเทวทัต
นิครนถ์ปริพาชก
พระมหากัปปินะ
พระอนุรุทธะ
พระอุบาลี
(ดูทั้งหมด)
 
สารบาญพระไตรปิฎก
เล่มที่ ๘-๓๓ (๒๕ เล่ม) ทุกพระสูตร
1. ฉบับหลวง
2. ฉบับมหาจุฬาฯ
3. อรรถกถาไทย
4. ฉบับภาษาบาลี
5. อรรถกถา-บาลี
6. Pali Roman (Roman Script)
7. Atthakatha PaliRoman
 

 


 


พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๓ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๕๓-๑๕๙
มหาวรรคที่ ๒

เวรัญชสูตร
(พระพุทธเจ้าทรงแก้ข้อสงสัยของเวรัญชพราหมณ์)

            [๑๐๑] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ควงไม้สะเดาที่ นเฬรุยักษ์สิงสถิต ใกล้กรุง เวรัญชา ครั้งนั้น เวรัญชพราหมณ์ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถึงที่ประทับ ได้ปราศรัย กับ พระผู้มีพระภาค ครั้นผ่านการปราศรัย พอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วน ข้างหนึ่ง

            ครั้นแล้วได้กราบทูลว่า ท่านพระโคดมข้าพเจ้าได้ยินมาว่า พระสมณโคดม ไม่ไหว้ไม่ลุกรับพวกพราหมณ์ผู้แก่ ผู้เฒ่าผู้ใหญ่ ล่วงกาลผ่านวัยมาโดยลำดับ หรือไม่ เชื้อเชิญด้วยอาสนะ ท่านพระโคดมข้อนี้เป็นเช่นนั้นจริง เพราะว่าท่านพระโคดม ไม่ไหว้ ไม่ลุกรับ พวกพราหมณ์ ผู้แก่ผู้เฒ่า ผู้ใหญ่ ล่วงกาลผ่านวัยมาโดยลำดับ หรือไม่ เชื้อเชิญ ด้วยอาสนะ ข้อนี้ไม่สมควรเลย

            พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรพราหมณ์ ในโลก พร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและมนุษย์ เราไม่เล็งเห็น บุคคล ที่เราควรไหว้ ควรลุกรับ หรือควรเชื้อเชิญด้วยอาสนะ เพราะว่าตถาคตพึงไหว้ พึงลุกรับ หรือพึงเชื้อเชิญบุคคลใด ด้วยอาสนะ แม้ศีรษะของบุคคลนั้น ก็จะพึงขาดตกไป

            ว. ท่านพระโคดม ไม่เป็นรสชาติ

            พ. ดูกรพราหมณ์ เหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณโคดม ไม่เป็นรสชาติ ดังนี้ ชื่อว่ากล่าวชอบนั้น มีอยู่ เพราะรสในรูป เสียง กลิ่น รสโผฏฐัพพะเหล่านั้น ตถาคต ละ ได้แล้ว ตัดรากขาดแล้ว ทำให้เป็นเหมือนตาลยอดด้วน ทำให้ไม่มี ไม่ให้เกิดอีกต่อไป เป็นธรรมดา นี้แลเหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณโคดม ไม่เป็นรสชาติ ดังนี้ ชื่อว่า กล่าวชอบ แต่ไม่ใช่เหตุที่ท่านมุ่งหมายกล่าว

            ว. ท่านพระโคดมเป็นคนไม่มีโภคะ

            พ. ดูกรพราหมณ์ เหตุที่เขากล่าวหาว่า พระสมณโคดมเป็นคนไม่มีโภคะ ดังนี้ ชื่อว่ากล่าวชอบนั้น มีอยู่ เพราะโภคะ คือ รูป เสียง กลิ่น รสโผฏฐัพพะเหล่านั้น ตถาคต ละได้แล้ว ตัดรากขาดแล้ว ทำให้เป็นเหมือนตาลยอดด้วน ทำไม่ให้มี ไม่ให้เกิดอีกต่อไป เป็นธรรมดา นี้แลเหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณโคดม เป็นคนไม่มีโภคะ ดังนี้ ชื่อว่า กล่าวชอบ แต่ไม่ใช่เหตุที่ท่านมุ่งหมายกล่าว

            ว. ท่านพระโคดมเป็นคนกล่าวการไม่ทำ

            พ. ดูกรพราหมณ์ เหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณโคดม เป็นคนกล่าวการ ไม่ทำดังนี้ ชื่อว่ากล่าวชอบนั้น มีอยู่ เพราะเรากล่าวการไม่ทำกายทุจริตวจีทุจริต มโนทุจริต เรากล่าวการไม่ทำซึ่งธรรม ที่เป็นบาปอกุศลหลายอย่าง นี้แลเหตุที่เขา กล่าวหา เรา ว่าพระสมณโคดม เป็นคนกล่าวการไม่ทำ ดังนี้ ชื่อว่ากล่าวชอบ แต่ไม่ใช่ เหตุที่ท่านมุ่งหมายกล่าว

            ว. ท่านพระโคดม เป็นคนกล่าวความขาดสูญ

            พ. ดูกรพราหมณ์ เหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณโคดมเป็นคนกล่าว ความ ขาดสูญ ดังนี้ ชื่อว่ากล่าวชอบนั้น มีอยู่ เพราะเรากล่าวความขาดสูญแห่งราคะ โทสะ โมหะ เรากล่าวความขาดสูญแห่งธรรม ที่เป็นบาปอกุศลหลายอย่าง นี้แลเหตุที่เขา กล่าวหาเราว่า พระสมณโคดม เป็นคนกล่าวความขาดสูญดังนี้ ชื่อว่ากล่าวชอบ แต่ไม่ใช่ เหตุที่ท่านมุ่งหมายกล่าว

            ว. ท่านพระโคดมเป็นคนช่างเกลียด

            พ. ดูกรพราหมณ์ เหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณโคดมเป็นคนช่างเกลียด ดังนี้ ชื่อว่ากล่าวชอบนั้น มีอยู่ เพราะเรากล่าวการเกลียดกายทุจริตวจีทุจริต มโนทุจริต เรากล่าวการเกลียด ความถึงพร้อมแห่งธรรม ที่เป็นบาปอกุศลหลายอย่าง นี้แล เหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณโคดม เป็นคนช่างเกลียด ดังนี้ชื่อว่ากล่าวชอบ แต่ไม่ใช่เหตุที่ท่านมุ่งหมายกล่าว

            ว. ท่านพระโคดมเป็นคนกำจัด

            พ. ดูกรพราหมณ์ เหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณโคดมเป็นคนกำจัดดังนี้ ชื่อว่ากล่าวชอบนั้น มีอยู่ เพราะเราแสดงธรรมเพื่อกำจัดราคะ โทสะโมหะ แสดงธรรม เพื่อกำจัดธรรมที่เป็นบาปอกุศล หลายอย่าง นี้แลเหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณโคดม เป็นคนกำจัด ดังนี้ ชื่อว่ากล่าวชอบ แต่ไม่ใช่เหตุที่ท่านมุ่งหมายกล่าว

            ว. พระโคดมเป็นคนเผาผลาญ

            พ. ดูกรพราหมณ์ เหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณโคดมเป็นคนเผาผลาญ ดังนี้ ชื่อว่ากล่าวชอบนั้น มีอยู่ เพราะเรากล่าวธรรม ที่เป็นบาปอกุศลคือ กายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ว่าเป็นธรรมควรเผาผลาญ ธรรมที่เป็นบาปอกุศล ซึ่งควรเผาผลาญ อันผู้ใดละได้แล้ว ตัดรากขาดแล้ว ทำให้เป็นเหมือนตาลยอดด้วน ทำให้ไม่มี ไม่ให้เกิด อีกต่อไปเป็นธรรมดา เรากล่าวผู้นั้นว่าเป็นคนเผาผลาญ ดูกรพราหมณ์ ธรรมทั้งหลาย ที่เป็นบาปอกุศลซึ่งควรเผาผลาญ ตถาคตละได้แล้ว ตัดรากขาดแล้ว ทำให้เป็นเหมือน ตาลยอดด้วน ทำไม่ให้มี ไม่ให้เกิดอีกต่อไปเป็นธรรมดา นี้แลเหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณโคดมเป็นคนเผาผลาญ ดังนี้ ชื่อว่ากล่าวชอบ แต่ไม่ใช่เหตุที่ท่านมุ่งหมาย กล่าว

            ว. ท่านพระโคดมเป็นคนไม่ผุดเกิด

            พ. ดูกรพราหมณ์ เหตุที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณโคดมเป็นคนไม่ผุดเกิด ดังนี้ ชื่อว่ากล่าวชอบนั้น มีอยู่ เพราะการนอนในครรภ์ การเกิดในภพใหม่ อันผู้ใดละ ได้แล้ว ตัดรากขาดแล้ว ทำให้เป็นเหมือนตาลยอดด้วน ทำไม่ให้มี ไม่ให้เกิดอีกต่อไป เป็นธรรมดา เรากล่าวผู้นั้นว่า เป็นคนไม่ผุดเกิด ดูกรพราหมณ์ การนอนในครรภ์ การเกิด ในภพใหม่ ตถาคตละได้แล้ว ตัดรากขาดแล้ว ทำให้เป็นเหมือนตาลยอดด้วน ทำให้ไม่มี ไม่ให้เกิดอีกต่อไปเป็นธรรมดานี้แลเหตุ ที่เขากล่าวหาเราว่า พระสมณโคดม เป็นคน ไม่ผุดเกิด ดังนี้ ชื่อว่ากล่าวชอบ แต่ไม่ใช่เหตุที่ท่านมุ่งหมายกล่าว

            ดูกรพราหมณ์ เปรียบเหมือนฟองไข่ ๘ ฟอง ๑๐ ฟอง หรือ ๑๒ ฟอง ฟองไข่ เหล่านั้น แม่ไก่กกดีแล้ว อบดีแล้วฟักดีแล้ว บรรดาลูกไก่เหล่านั้น ลูกไก่ตัวใด ทำลาย กระเปาะฟอง ด้วยเล็บเท้าหรือด้วยจะงอยปากออกมาได้ โดยสวัสดี ก่อนกว่าเขา ลูกไก่ตัวนั้น ควรเรียกว่ากระไรจะเรียกว่าพี่หรือน้อง

            ว. ท่านพระโคดม ควรเรียกว่าพี่ เพราะมันแก่กว่าเขา

            พ. ดูกรพราหมณ์ ฉันนั้นเหมือนกันแล บรรดาหมู่สัตว์ผู้ตกอยู่ในอำนาจอวิชชา เกิดในฟอง อันกระเปาะฟองหุ้มห่อแล้ว เราผู้เดียวเท่านั้นได้ทำลายกระเปาะฟอง คือ อวิชชา แล้วได้ตรัสรู้ อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณในโลก เราแลเป็นผู้เจริญที่สุด ประเสริฐที่สุดของโลก เพราะเราปรารภความเพียรไม่ย่อหย่อน ดำรงสติมั่นไม่ฟั่นเฟือน กายสงบไม่กระสับกระส่าย จิตดำรงมั่นเป็นเอกัคคตา

            เรานั้นแล สงัดจากอกุศลธรรม บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุข เกิดแต่ วิเวกอยู่

            เราบรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิต ณ ภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร เพราะวิตกวิจารสงบไป มีปีติและสุขเกิดแต่สมาธิอยู่ เรามีอุเบกขา มีสติ มีสัมปชัญญะ และเสวยสุขด้วยนามกายเพราะปีติสิ้นไป บรรลุติยฌาน ที่พระอริยะ ทั้งหลายสรรเสริญว่า ผู้ได้ฌานนี้ เป็นผู้มีสติอยู่เป็นสุข

            เราบรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์และดับโสมนัสก่อนๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่

            เรานั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหวอย่างนี้แล้ว จึงโน้มน้อมจิตไปเพื่อ บุพเพนิวาสานุสสติญาณ(วิชชา๑)

            เรานั้นย่อมระลึกชาติก่อน ได้เป็นอันมาก คือ ระลึกได้หนึ่งชาติบ้าง สองชาติบ้าง สามชาติบ้าง สี่ชาติบ้าง ห้าชาติบ้าง สิบชาติ ยี่สิบชาติบ้าง สามสิบชาติ บ้าง สี่สิบชาติบ้าง ห้าสิบชาติบ้าง ร้อยชาติบ้าง พันชาติบ้าง แสนชาติบ้างตลอดวัฏฏ กัล์ป เป็นอันมากบ้าง ตลอดวิวัฏฏกัล์ป เป็นอันมากบ้าง ตลอดสังวัฏฏวิวัฏฏกัล์ป เป็นอันมากบ้าง ว่าในภพโน้น เรามีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้นมีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์ อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียงเท่านั้น

            ครั้นจุติจากภพนั้นแล้ว ได้ไปเกิดในภพโน้น เราก็มีชื่ออย่างนั้น มีโคตรอย่างนั้น มีผิวพรรณอย่างนั้น มีอาหารอย่างนั้น เสวยสุขเสวยทุกข์อย่างนั้นๆ มีกำหนดอายุเพียง เท่านั้น ครั้นจุติจากภพนั้นแล้ว ได้มาเกิดในภพนี้เราย่อมระลึกชาติก่อน ได้เป็นอันมาก พร้อมทั้งอุเทศ พร้อมทั้งอาการ ด้วยประการฉะนี้

            ดูกรพราหมณ์ วิชชาที่หนึ่งนี้แล เราได้บรรลุแล้วในปฐมยามแห่งราตรี อวิชชา เรากำจัดได้แล้ว วิชชาเกิดแก่เราแล้ว ความมืดเรากำจัดได้แล้ว แสงสว่าง เกิดแก่เราแล้ว เหมือนที่เกิดแก่บุคคลผู้ไม่ประมาท มีความเพียรเผากิเลส ส่งจิตไปแล้ว อยู่ ฉะนั้น ความชำแรกออกครึ่งหนึ่ง ของเรานี้แล เป็นเหมือนการทำลายออกจาก กระเปาะฟอง แห่ง ลูกไก่ ฉะนั้น

            เรานั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลสปราศจากอุปกิเลสอ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว อย่างนี้แล้ว จึงโน้มน้อมจิตไปเพื่อ ญาณเครื่องรู้จุติ และอุปบัติของสัตว์ทั้งหลาย

            เรานั้น ย่อมเล็งเห็นหมู่สัตว์ผู้กำลังจุติกำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดี มีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัด ซึ่งหมู่สัตว์ ผู้เป็นไปตามกรรมว่าสัตว์เหล่านี้ประกอบด้วย กายทุจริต วจีทุจริต มโนทุจริต ติเตียนพระอริยะเจ้าเป็นมิจฉาทิฏฐิ ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจมิจฉาทิฏฐิ

            สัตว์เหล่านั้น เมื่อตายไปย่อมเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก ส่วนสัตว์เหล่านี้ ประกอบด้วยกายสุจริตวจีสุจริต มโนสุจริต ไม่ติเตียนพระอริยะเจ้า เป็นสัมมาทิฏฐิ ยึดถือการกระทำด้วยอำนาจสัมมาทิฏฐิ

            สัตว์เหล่านั้น เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึง สุคติโลกสวรรค์เราย่อมเล็งเห็นหมู่สัตว์ ผู้กำลังจุติ กำลังอุปบัติ เลว ประณีต มีผิวพรรณดีมีผิวพรรณทราม ได้ดี ตกยาก ด้วยทิพจักษุอันบริสุทธิ์ ล่วงจักษุของมนุษย์ ย่อมรู้ชัดซึ่งหมู่สัตว์ ซึ่งเป็นไปตามกรรม ด้วยประการฉะนี้

            ดูกรพราหมณ์ วิชชาที่สองนี้แล เราได้บรรลุแล้ว ในมัชฌิมยามแห่งราตรี อวิชชา เรากำจัดได้แล้ว วิชชาเกิดแก่เราแล้ว ความมืดเรากำจัดได้แล้ว แสงสว่าง เกิดแก่เราแล้ว เหมือนที่เกิดแก่บุคคลผู้ไม่ประมาท มีความเพียรเผากิเลส ส่งจิตไปแล้ว อยู่ ฉะนั้นความชำแรกออกครั้งที่สอง ของเรานี้แล เป็นเหมือนการทำลาย ออกจาก กระเปาะฟองแห่งลูกไก่ ฉะนั้น

            เรานั้น เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ ผ่องแผ้ว ไม่มีกิเลส ปราศจากอุปกิเลส อ่อน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ไม่หวั่นไหว อย่างนี้แล้ว จึงโน้มน้อมจิตไปเพื่ออาสวักขยญาณ

            เรานั้นรู้ชัดตามเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้เหตุให้เกิดทุกข์นี้ความดับทุกข์ นี้ข้อปฏิบัติ ให้ถึงความดับทุกข์ เหล่านี้อาสวะ นี้เหตุให้เกิดอาสวะ นี้ความดับอาสวะ นี้ข้อปฏิบัติ ให้ถึง ความดับอาสวะ เมื่อเรารู้เห็นอย่างนี้จิตหลุดพ้นแล้ว แม้จากกามาสวะ แม้จาก ภวาสวะ แม้จากอวิชชาสวะ เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว จึงเกิดญาณหยั่งรู้ว่า หลุดพ้นแล้ว และรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้วพรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่น เพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี

            ดูกรพราหมณ์ วิชชาที่สามนี้แล เราได้บรรลุแล้ว ในปัจฉิมยามแห่งราตรี อวิชชา เรากำจัดได้แล้ว วิชชาเกิดแก่เราแล้ว ความมืดเรากำจัดได้แล้ว แสงสว่างเกิด แก่เราแล้ว เหมือนที่เกิดแก่บุคคล ผู้ไม่ประมาท มีความเพียรเผากิเลส ส่งจิตไปแล้วอยู่ ฉะนั้น ความชำแรกออก ครั้งที่สามของเรานี้แล เป็นเหมือนการทำลายออกจาก กระเปาะฟอง แห่งลูกไก่ ฉะนั้น

            เมื่อพระผู้มีพระภาค ตรัสอย่างนี้แล้ว เวรัญชพราหมณ์ได้กราบทูลว่า ท่านพระโคดม เป็นผู้เจริญที่สุด ท่านพระโคดม เป็นผู้ประเสริฐที่สุด ข้าแต่ท่านพระโคดม ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก

            ข้าแต่ท่านพระโคดม ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก พระองค์ทรงประกาศธรรม โดยอเนกปริยาย เปรียบเหมือนบุคคลหงายของของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คน หลงทาง หรือส่องประทีปในที่มืดด้วยตั้งใจว่า คนมีจักษุจักเห็นรูป ฉะนั้น ข้าพระพุทธเจ้านี้ ขอถึงท่านพระโคดม กับทั้งพระธรรม และพระภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะ ขอพระองค์โปรดทรงจำข้าพระพุทธเจ้าว่า เป็นอุบาสก ผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต จำเดิมแต่วันนี้ เป็นต้นไป

จบสูตรที่ ๑

 





หนังสือพุทธวจน ธรรมะของพระศาสดา
90 90 90 90
พุทธประวัติ ขุมทรัพย์ อริยสัจ
ภาคต้น
อริยสัจ
ภาคปลาย
ปฏิจจ ปฐมธรรม ตถาคต อนาคามี อินทรีย์
สังวร
สัตว์
สัตตานัง
ทาน
สกทาคามี
ฆราวาส
ชั้นเลิศ
มรรควิธี
ที่ง่าย
อริยวินัย เดรัจฉานวิชา กรรม สมถะ
วิปัสสนา
โสดาบัน นา
ปานสติ
จิต มโน
วิญญาณ
ก้าวย่าง
อย่างพุทธะ
ตามรอย
ธรรม
ภพ ภูมิ
พุทธวจน
สาธยาย
ธรรม
สังโยชน์