พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๖ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๓๘-๔๑
๕. ภูมิชสูตร (พระสารีบุตรสนทนากับปริพาชก)
[๗๙] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิก เศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ครั้งนั้นแล เป็นเวลาเย็น ท่านพระภูมิชะออกจากที่เร้น เข้าไปหาท่านพระสารีบุตรถึงที่อยู่ ครั้นแล้วได้สนทนาปราศรัย กับท่านพระสารีบุตร ครั้นผ่านการปราศรัย พอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นนั่งเรียบร้อยแล้ว ได้กล่าวกะท่านพระสารีบุตรดังนี้ว่า
ท่านสารีบุตร มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง ผู้กล่าวกรรมย่อมบัญญัติว่า สุข และ ทุกข์ตนทำเอง อนึ่ง มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง ผู้กล่าวกรรมย่อมบัญญัติว่า สุขและทุกข์ ผู้อื่นทำให้ มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง ผู้กล่าวกรรมย่อมบัญญัติว่า สุขและทุกข์ตนทำเอง ด้วย ผู้อื่นทำให้ด้วย
อนึ่ง มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง ผู้กล่าวกรรมย่อมบัญญัติว่า สุขและทุกข์ เกิดขึ้นเอง เพราะอาศัยการที่มิใช่ตนเองกระทำ มิใช่ผู้อื่นกระทำให้ ท่านสารีบุตร ในวาทะทั้ง ๔ นี้ พระผู้มีพระภาคของเราทั้งหลาย ตรัสไว้อย่างไร ตรัสบอกไว้ อย่างไร พวกเราพยากรณ์อย่างไร จึงจะชื่อว่าเป็นผู้กล่าว ตามที่พระผู้มีพระภาค ตรัสแล้ว จะไม่พึงกล่าวตู่พระผู้มีพระภาค ด้วยคำไม่จริง และพยากรณ์ธรรม สมควรแก่ธรรม ทั้งการคล้อยตามวาทะที่ถูกไรๆ จะไม่พึงถึงฐานะอันวิญญูชน จะติเตียนได้
[๘๐] ท่านพระสารีบุตรตอบว่า ดูกรอาวุโส พระผู้มีพระภาคตรัสว่า สุข และ ทุกข์ เป็นของอาศัยเหตุเกิดขึ้น สุขและทุกข์อาศัยอะไรเกิดขึ้น สุขและทุกข์อาศัยผัสสะ เกิดขึ้น บุคคลผู้กล่าวดังนี้ จึงจะชื่อว่า เป็นผู้กล่าวตามที่พระผู้มีพระภาคตรัสแล้ว ไม่กล่าวตู่พระผู้มีพระภาค ด้วยคำไม่จริง และพยากรณ์ธรรมสมควรแก่ธรรม ทั้งการ คล้อยตามวาทะที่ถูกไรๆ ก็จะไม่พึงถึงฐานะอันวิญญูชนจะติเตียนได้
ดูกรอาวุโส ในวาทะทั้ง ๔ นั้น แม้สุขและทุกข์ ที่พวกสมณพราหมณ์ ซึ่งเป็น ผู้กล่าวกรรมบัญญัติว่า ตนทำเอง ย่อมเกิดขึ้นเพราะผัสสะเป็นปัจจัย ฯลฯ แม้สุขและ ทุกข์ ที่พวกสมณพราหมณ์ ซึ่งเป็นผู้กล่าวกรรมบัญญัติว่า เกิดขึ้นเพราะอาศัยการที่มิใช่ ตนเอง กระทำ มิใช่ผู้อื่นกระทำให้ ก็ย่อมเกิดขึ้น เพราะผัสสะเป็นปัจจัย
ดูกรอาวุโส ในวาทะทั้ง ๔ นั้น พวกสมณพราหมณ์ ซึ่งเป็นผู้กล่าวกรรม ย่อมบัญญัติว่า สุขและทุกข์ตนทำเอง เว้นผัสสะเสีย เขาย่อมเสวยสุขและทุกข์ดังนี้ มิใช่ฐานะที่จะมีได้ ฯลฯ พวกสมณพราหมณ์ ซึ่งเป็นผู้กล่าวกรรม ย่อมบัญญัติว่า สุขและทุกข์เกิดขึ้น เพราะอาศัยการที่มิใช่ตนเองกระทำ มิใช่ผู้อื่นกระทำให้เว้นผัสสะ เสีย เขาย่อมเสวยสุขและทุกข์ ดังนี้ มิใช่ฐานะที่จะมีได้
[๘๑] ท่านพระอานนท์ ได้ยิน ท่านพระสารีบุตร สนทนาปราศรัย กับท่าน พระภูมิชะ ครั้งนั้นแล ท่านพระอานนท์ ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วได้ทูลถ้อยคำสนทนา ของท่าน พระสารีบุตร กับท่าน พระภูมิชะ เท่าที่มีมาแล้ว ทั้งหมด แด่พระผู้มีพระภาค
[๘๒] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดีละๆ อานนท์ ตามที่สารีบุตรพยากรณ์ชื่อว่า พึงพยากรณ์โดยชอบ ดูกรอานนท์ เรากล่าวว่าสุขและทุกข์ เป็นของอาศัยเหตุเกิดขึ้น สุขและทุกข์ อาศัยอะไรเกิดขึ้น สุขและทุกข์อาศัยผัสสะเกิดขึ้น บุคคลผู้กล่าวดังนี้ จึงจะชื่อว่า เป็นอันกล่าวตามที่เรากล่าวแล้ว ไม่กล่าวตู่เราด้วยคำไม่จริง และพยากรณ ์ธรรม สมควรแก่ธรรม ทั้งการคล้อยตามวาทะ ที่ถูกไรๆก็จะไม่พึงถึงฐานะ อันวิญญูชน จะติเตียนได้
ดูกรอานนท์ ในวาทะทั้ง ๔ นั้น แม้สุขและทุกข์ ที่พวกสมณพราหมณ์ ซึ่งเป็น ผู้กล่าวกรรมบัญญัติว่า ตนทำเอง ย่อมเกิดขึ้นเพราะผัสสะเป็นปัจจัย ฯลฯ แม้สุขและ ทุกข์ที่พวกสมณพราหมณ์ ซึ่งเป็นผู้กล่าวกรรมบัญญัติว่า เกิดขึ้นเพราะอาศัยการ ที่มิใช่ตนเองกระทำ มิใช่ผู้อื่นกระทำให้ ก็ย่อมเกิดขึ้น เพราะผัสสะเป็นปัจจัย
ดูกรอานนท์ ในวาทะทั้ง ๔ นั้น พวกสมณพราหมณ์ ซึ่งเป็นผู้กล่าวกรรม บัญญัติว่า สุขและทุกข์ ตนทำเอง เว้นผัสสะเสีย เขาย่อมเสวยสุขและทุกข์ ดังนี้ มิใช่ฐานะที่จะมีได้ ฯลฯ พวกสมณพราหมณ์ซึ่ งเป็นผู้กล่าวกรรมบัญญัติว่า สุขและทุกข์ เกิดขึ้น เพราะอาศัยการที่ตนเองกระทำ มิใช่ผู้อื่นกระทำให้ เว้นผัสสะเสีย เขาย่อม เสวยสุขและทุกข์ ดังนี้มิใช่ฐานะที่จะมีได้
[๘๓] ดูกรอานนท์ เมื่อกายมีอยู่ สุขและทุกข์อันเป็นภายในย่อมบังเกิดขึ้น เพราะความจงใจทางกายเป็นเหตุ เมื่อวาจามีอยู่ สุขและทุกข์อันเป็นภายใน ย่อมบังเกิดขึ้น เพราะความจงใจทางวาจา เป็นเหตุ หรือว่า เมื่อใจมีอยู่สุขและทุกข์ อันเป็นภายใน ย่อมบังเกิดขึ้น เพราะความจงใจทางใจเป็นเหตุ
ดูกรอานนท์ เพราะอวิชชา เป็นปัจจัยนั่นแหละ บุคคลย่อมปรุงแต่งกายสังขาร ซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์ อันเป็นภายในเกิดขึ้น ด้วยตนเองบ้าง บุคคลย่อมปรุงแต่งกายสังขาร ซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์ อันเป็นภายในเกิดขึ้น เพราะผู้อื่นบ้าง บุคคลรู้สึกตัว ย่อมปรุงแต่งกายสังขาร ซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์ อันเป็นภายในเกิดขึ้นบ้าง บุคคลไม่รู้สึกตัว ย่อมปรุงแต่งกายสังขาร ซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์ อันเป็นภายในเกิดขึ้นบ้าง
ดูกรอานนท์ บุคคลย่อมปรุงแต่ง วจีสังขาร ซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์ อันเป็นภายในเกิดขึ้นด้วยตนเองบ้าง บุคคลย่อมปรุงแต่งวจีสังขาร ซึ่งเป็นปัจจัย ให้สุขและทุกข์ อันเป็นภายในเกิดขึ้น เพราะผู้อื่นบ้าง บุคคลรู้สึกตัว ย่อมปรุงแต่ง วจีสังขาร ซึ่งเป็นปัจจัยให้สุข และทุกข์ อันเป็นภายในเกิดขึ้นบ้าง บุคคลไม่รู้สึกตัว ย่อมปรุงแต่งวจีสังขาร ซึ่งเป็นปัจจัยให้สุข และทุกข์ อันเป็นภายในเกิดขึ้นบ้าง
ดูกรอานนท์ บุคคลย่อมปรุงแต่งมโนสังขาร ซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์ อันเป็นภายใน เกิดขึ้นด้วยตนเองบ้าง บุคคลย่อมปรุงแต่งมโนสังขาร ซึ่งเป็นปัจจัย ให้สุข และทุกข์ อันเป็นภายใน เกิดขึ้นเพราะผู้อื่นบ้าง บุคคลรู้สึกตัว ย่อมปรุงแต่ง มโนสังขาร ซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์ อันเป็นภายในเกิดขึ้นบ้าง บุคคลไม่รู้สึกตัว ย่อมปรุงแต่งมโนสังขาร ซึ่งเป็นปัจจัย ให้สุขและทุกข์ อันเป็นภายในเกิดขึ้นบ้าง ดูกรอานนท์ อวิชชาแทรกอยู่แล้ว ในธรรมเหล่านี้
[๘๔] ดูกรอานนท์ ก็เพราะอวิชชาดับ ด้วยสำรอกโดยไม่เหลือ กายซึ่งเป็น ปัจจัยให้สุขและทุกข์ อันเป็นภายในเกิดขึ้น จึงไม่มี วาจาซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์ อันเป็นภายในเกิดขึ้นจึงไม่มี ใจซึ่งเป็นปัจจัยให้สุข และทุกข์อันเป็นภายในเกิดขึ้น จึงไม่มี เขต [ความจงใจเป็นเหตุงอกงาม] ซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์ อันเป็นภายใน เกิดขึ้นจึงไม่มี วัตถุ [ความจงใจอันเป็นที่ประดิษฐาน] ซึ่งเป็นปัจจัยให้สุขและทุกข์ อันเป็นภายในเกิดขึ้น จึงไม่มี อายตนะ [ความจงใจอันเป็นปัจจัย] ซึ่งเป็นปัจจัยให้สุข และทุกข์ อันเป็นภายในเกิดขึ้น จึงไม่มี หรืออธิกรณ์ [ความจงใจอันเป็นเหตุ] ซึ่งเป็นปัจจัย ให้สุข และทุกข์ อันเป็นภายในเกิดขึ้น จึงไม่มี
จบสูตรที่ ๕ |