พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๑ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๑๗-๑๑๙
โปตลิยสูตร
[๑๐๐] ครั้งนั้นแล ปริพาชกชื่อโปตลิยะ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ได้ปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วพระผู้มีพระภาคได้ตรัสถามโปตลิยปริพาชกว่า
ดูกรโปตลิยะ บุคคล ๔ จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลก ๔ จำพวกเป็นไฉน คือ
๑)
บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้กล่าวติเตียนบุคคลผู้ควรติเตียน ตามความเป็นจริง โดยกาลอันควร เป็นผู้ ไม่กล่าวสรรเสริญ บุคคลผู้ควรสรรเสริญตามความเป็นจริง โดยกาลอันควร
๒) บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้กล่าวสรรเสริญ บุคคลผู้ควรสรรเสริญ ตามความเป็นจริง โดยกาลอันควร ไม่กล่าวติเตียน บุคคลผู้ควรติเตียน ตามความเป็นจริง โดยกาลอันควร
๓) บุคคลบางคนในโลกนี้ ไม่กล่าวติเตียนบุคคลผู้ควรติเตียน ตามความเป็นจริง โดยกาลอันควร ทั้งไม่กล่าวสรรเสริญ ผู้ที่ควรสรรเสริญ ตามความเป็นจริง โดยกาล อันควร
๔) บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้กล่าวติเตียนบุคคลผู้ควรติเตียน ตามความเป็นจริง โดยกาลอันควร ทั้งเป็นผู้ กล่าวสรรเสริญบุคคล ผู้ควรสรรเสริญตามความเป็นจริง โดยกาลอันควร
ดูกรโปตลิยะ บุคคล ๔ จำพวกนี้แล มีปรากฏอยู่ในโลก
ดูกรโปตลิยะ บรรดาบุคคล ๔ จำพวกนี้แล ท่านชอบใจบุคคลจำพวกไหนว่า เป็นผู้งามกว่า และประณีตกว่า
โปตลิยปริพาชกกราบทูลว่า ท่านพระโคดม บุคคล ๔ จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลก ๔ จำพวกเป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้กล่าวติเตียนบุคคล ผู้ควรติเตียนตามความเป็นจริง โดยกาลอันควร แต่ไม่กล่าวสรรเสริญบุคคล ผู้ควรสรรเสริญ ตามความเป็นจริง โดยกาลอันควรจำพวก ๑ ฯลฯ
บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้กล่าวติเตียนบุคคลผู้ควรติเตียนตามความเป็นจริง โดยกาลอันควร ทั้งเป็นผู้กล่าวสรรเสริญบุคคลผู้ควรสรรเสริญตามความเป็นจริง โดยกาลอันควรจำพวก ๑ บุคคล ๔ จำพวกนี้แล มีปรากฏอยู่ในโลกบรรดาบุคคล ๔ จำพวกนี้ ข้าพเจ้าชอบใจบุคคลผู้ไม่กล่าวติเตียน บุคคลผู้ควรติเตียนตามความเป็นจริง โดยกาลอันควร และไม่กล่าวสรรเสริญบุคคลที่ควรสรรเสริญตามความเป็นจริง โดยกาลอันควรว่า เป็นผู้งามกว่า และประณีตกว่าบุคคล ๔ จำพวกนี้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะมีความงาม คือ อุเบกขา
พ. ดูกรโปตลิยะ บุคคล ๔ จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลก ๔ จำพวกเป็นไฉน ฯลฯ บรรดาบุคคล ๔ จำพวกนี้ บุคคลผู้กล่าวติเตียนบุคคลที่ควรติเตียน ตามความเป็นจริง โดยกาลอันควร และผู้สรรเสริญบุคคลที่ควรสรรเสริญ ตามความเป็นจริง โดยกาลอันควรนี้ เป็นผู้งามกว่า และประณีตกว่าบุคคล ๔ จำพวกนี้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะมีความงาม คือ ความเป็นผู้รู้จักกาลในอันควรติเตียนและสรรเสริญนั้นๆ
โป. ท่านพระโคดม บุคคล ๔ จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลก ฯลฯ
ท่านพระโคดม บรรดาบุคคล ๔ จำพวกนี้ ข้าพเจ้าชอบใจบุคคลที่กล่าวติเตียน บุคคล ที่ควรติเตียนตามความเป็นจริง โดยกาลอันควร และกล่าวสรรเสริญบุคคล ที่ควรสรรเสริญ ตามความเป็นจริง โดยกาลอันควรว่า เป็นผู้งามกว่า และประณีตกว่า บุคคล ๔ จำพวกนี้ ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะมีความงาม คือ ความเป็นผู้รู้กาล ในอันติเตียน และสรรเสริญนั้นๆ ข้าแต่พระโคดม ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก
ข้าแต่พระโคดม ภาษิตของพระองค์แจ่มแจ้งนัก ท่านพระโคดม ทรงประกาศ ธรรม โดยอเนกปริยาย เปรียบเหมือนบุคคลหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทาง แก่คน หลงทาง หรือตามประทีปไว้ในเวลามืดด้วยหวังว่า ผู้มีจักษุจักเห็นรูปได้ ฉะนั้น ข้าพระองค์นี้ ขอถึงท่านพระโคดม กับทั้งพระธรรมและภิกษุสงฆ์ว่าเป็นสรณะ ขอท่าน พระโคดมโปรดทรงจำข้าพระองค์ว่า เป็นอุบาสกผู้ถึงสรณะตลอดชีวิต ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป
|