จิตที่ดำเนินไปดีแล้ว ย่อมหลุดพ้นจากอาสวะ
นิสสารณียสูตร พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๒ หน้าที่ ๒๔๗-๒๕๐
(หนังสือ จิต มโน วิญญาณ หน้า 99)
ภิกษุทั้งหลาย ธาตุที่พึงพรากได้ (นิสฺสารณิยธาตุ)
๕ ประการนี้ ๕ ประการอะไรบ้าง คือ
๑. เมื่อภิกษุ มนสิการ ถึงกามทั้งหลาย
จิตของเธอย่อมไม่แล่นไป ย่อมไม่เลื่อมใส ย่อมไม่ตั้งอยู่ ย่อมไม่น้อมไปในกาม ทั้งหลาย แต่เมื่อเธอมนสิการถึงเนกขัมมะ (ออกจากกาม) จิตของเธอย่อมแล่นไป ย่อม
เลื่อมใส ย่อมตั้งอยู่ ย่อมน้อมไปในเนกขัมมะ จิตของเธอนั้นชื่อว่าเป็นจิตดำเนินไป ดีแล้ว อบรมดีแล้ว ตั้งอยู่ดีแล้ว หลุดพ้นดีแล้ว พรากออกดีแล้วจากกาม ทั้งหลาย อาสวะ ทุกข์ และความเร่าร้อนเหล่าใด ย่อมเกิดเพราะกามเป็นปัจจัย
เธอหลุดพ้นแล้ว
จากอาสวะ ทุกข์ และความเร่าร้อนเหล่านั้น เธอย่อมไม่เสวย
เวทนาที่เกิดเพราะเหตุนั้น นี้เรากล่าวว่า เป็นการพรากออก
แห่งกามทั้งหลาย.
๒. เมื่อภิกษุ มนสิการ
ถึงพยาบาท
จิตของเธอย่อมไม่แล่นไป ย่อมไม่เลื่อมใส
ย่อมไม่ตั้งอยู่ ย่อมไม่น้อมไปในพยาบาท แต่เมื่อเธอมนสิการถึงความไม่พยาบาทจิตของเธอย่อมแล่นไป
ย่อมเลื่อมใส ย่อมตั้งอยู่ ย่อมน้อมไปในความไม่พยาบาท จิตของเธอนั้นชื่อว่าเป็นจิตดำเนินไป ดีแล้ว อบรมดีแล้ว
ตั้งอยู่ดีแล้ว หลุดพ้นดีแล้ว พรากออกดีแล้วจากพยาบาท
อาสวะ ทุกข์ และความเร่าร้อนเหล่าใด ย่อมเกิดเพราะ
พยาบาทเป็นปัจจัย
เธอหลุดพ้นแล้วจากอาสวะ ทุกข์
และความเร่าร้อนเหล่านั้น เธอย่อมไม่เสวยเวทนา ที่เกิด
เพราะเหตุนั้น นี้เรากล่าวว่า เป็น การพรากออกแหง่ พยาบาท.
๓. เมื่อภิกษุ มนสิการ ถึงวิหิงสา (เบียดเบียน)
จิตของเธอย่อมไม่แล่นไป ย่อมไม่เลื่อมใส
ย่อมไม่ตั้งอยู่ ย่อมไม่น้อมไปในวิหิงสา แต่เมื่อเธอมนสิการถึงอวิหิงสา จิตของเธอย่อมแล่นไป ย่อมเลื่อมใส ย่อมตั้งอยู่
ย่อมน้อมไปใน อวิหิงสา จิตของเธอนั้นชื่อว่าเป็นจิตดำเนิน
ไปดีแล้ว อบรมดีแล้ว ตั้งอยู่ดีแล้ว หลุดพ้นดีแล้ว พรากออก
ดีแล้วจาก วิหิงสา อาสวะ ทุกข์ และความเร่าร้อนเหล่าใด
ย่อมเกิดเพราะวิหิงสาเป็นปัจจัย
เธอหลุดพ้นแล้วจากอาสวะ
ทุกข์ และความเร่าร้อนเหล่านั้น เธอย่อมไม่เสวยเวทนา
ที่เกิดเพราะเหตุนั้น นี้เรากล่าวว่า เป็นการพรากออก
แห่งวิหิงสา.
๔. เมื่อภิกษุ มนสิการ
ถึงรูปทั้งหลาย
จิตของเธอย่อมไม่แล่นไป ย่อมไม่เลื่อมใส
ย่อมไม่ตั้งอยู่ ย่อมไม่น้อมไปในรูปทั้งหลายแต่เมื่อเธอ
มนสิการถึงอรูป จิตของเธอย่อมแล่นไป ย่อมเลื่อมใส
ย่อมตั้งอยู่ ย่อมน้อมไปในอรูป จิตของเธอนั้นชื่อว่าเป็น
จิตดำเนินไป ดีแล้ว อบรมดีแล้ว ตั้งอยู่ดีแล้ว หลุดพ้นดีแล้ว
พรากออกดีแล้วจากรูปทั้งหลาย อาสวะ ทุกข์ และความ
เร่าร้อนเหล่าใด ย่อมเกิดเพราะรูปเป็นปัจจัย
เธอหลุดพ้นแล้ว
จากอาสวะ ทุกข์ และความเร่าร้อนเหล่านั้น เธอย่อมไม่เสวย
เวทนาที่เกิดเพราะเหตุนั้น นี้เรากล่าวว่า เป็นการพรากออก
แห่งรูปทั้งหลาย
๕. เมื่อภิกษุ มนสิการ
ถึงสักกายะ
จิตของเธอย่อมไม่แล่นไป ย่อมไม่เลื่อมใส
ย่อมไม่ตั้งอยู่ ย่อมไม่น้อมไปในสักกายะ แต่เมื่อเธอ
มนสิการถึงความดับแห่งสักกายะ จิตของเธอย่อมแล่นไป
ย่อมเลื่อมใส ย่อมตั้งอยู่ ย่อมน้อมไปในความดับแห่งสักกายะ
จิตของเธอนั้นชื่อว่าเป็นจิตดำเนินไป ดีแล้ว อบรมดีแล้ว
ตั้งอยู่ดีแล้ว หลุดพ้นดีแล้ว พรากออกดีแล้วจากสักกายะ
อาสวะ ทุกข์ และความเร่าร้อนเหล่าใด ย่อมเกิดเพราะสักกายะ
เป็นปัจจัย
เธอหลุดพ้นแล้วจากอาสวะ ทุกข์ และความ
เร่าร้อนเหล่านั้น เธอย่อมไม่เสวยเวทนา ที่เกิดเพราะเหตุนั้น
นี้เรากล่าวว่า เป็นการพรากออกแห่งสักกายะ
-------------------------------------------------------------------------------------------
ผู้ที่ไม่มีความเพลินในกามก็ดี
ผู้ที่ไม่มีความเพลินในพยายาทก็ดี
ผู้ที่ไม่มีความเพลินในวิหิงสาก็ดี (เบียดเบียน)
ผู้ที่ไม่มีความเพลินในรุปก็ดี
ผู้ที่ไม่มีความเพลินในสักกายะก็ดี (ยึดว่ากายนี้เป็นของเรา)
เรากล่าวว่าเป็นผู้ไม่มีอาลัย ตัดตัณหาได้แล้ว คลายสังโยชน์ได้แล้ว ทำที่สุดแห่งทุกข์ได้แล้ว เพราะ
ละมานะได้โดยชอบ.
ภิกษุทั้งหลาย ธาตุที่พึงพรากได้ ๕ ประการนี้แล
|