พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๖ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๓
สมณะใดไม่รู้ธรรม เหตุเกิด เหตุดับ และปฏิปทา ยังไม่นับว่าเป็นสมณะ
๓. สมณพราหมณสูตรที่ ๑
[๓๘] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิก เศรษฐีเขตพระนครสาวัตถี ...
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สมณะ หรือพราหมณ์ เหล่าใดเหล่าหนึ่ง
ไม่รู้จักชรา และมรณะ
ไม่รู้จักเหตุเกิด แห่งชรา และมรณะ
ไม่รู้จักความดับแห่งชรา และมรณะ
ไม่รู้จักปฏิปทาที่จะให้ถึง ความดับแห่งชรา และมรณะ
ไม่รู้จักชาติ ... ไม่รู้จักภพ ...ไม่รู้จักอุปาทาน ... ไม่รู้จักตัณหา ... ไม่รู้จักเวทนา ... ไม่รู้จักผัสสะ ... ไม่รู้จักสฬายตนะ ... ไม่รู้จักนามรูป ... ไม่รู้จักวิญญาณ ... ไม่รู้จักสังขาร
ไม่รู้จักเหตุเกิด แห่งสังขาร
ไม่รู้จักความดับ แห่งสังขาร
ไม่รู้จักปฏิปทา ที่จะให้ถึงความดับแห่งสังขาร
สมณะหรือ พราหมณ์เหล่านั้นจะสมมติว่าเป็นสมณะในหมู่สมณะ หรือ สมมติว่า เป็นพราหมณ์ ในหมู่พราหมณ์ หาได้ไม่ แลท่านเหล่านั้นมิได้กระทำ ให้แจ้ง ซึ่งประโยชน์ ของความเป็นสมณะ หรือประโยชน์ของความเป็นพราหมณ์ ด้วยปัญญา อันยิ่งเองใน ปัจจุบัน เข้าถึงอยู่
[๓๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง
รู้จักชราและมรณะ
รู้จักความดับ แห่งชราและมรณะ
รู้จักปฏิปทา ที่จะให้ถึงความดับแห่งชราและมรณะ
รู้จักชาติ ... รู้จักภพ ... รู้จักอุปาทาน ... รู้จักตัณหา ... รู้จักเวทนา ... รู้จักผัสสะ ... รู้จักสฬายตนะ ... รู้จักนามรูป ...รู้จักวิญญาณ ... รู้จักสังขาร ... รู้จักเหตุเกิดแห่งสังขาร รู้จักความดับแห่งสังขาร รู้จักปฏิปทาที่จะให้ถึงความดับแห่งสังขาร
สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้นแล สมมติได้ว่าเป็นสมณะในหมู่สมณะ และสมมติ ได้ว่าเป็นพราหมณ์ในหมู่พราหมณ์ และท่านเหล่านั้นได้กระทำให้แจ้ง ซึ่งประโยชน์ ของความเป็นสมณะ และประโยชน์ของความเป็นพราหมณ์ ด้วยปัญญา อันยิ่งเองในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๖ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๔
๔. สมณพราหมณสูตรที่ ๒
[๔๐] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิก เศรษฐีเขตพระนครสาวัตถี ... พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง ไม่รู้จักธรรมเหล่านี้
ไม่รู้จักเหตุเกิดแห่งธรรมเหล่านี้
ไม่รู้จักความดับแห่งธรรมเหล่านี้
ไม่รู้จักปฏิปทา ที่จะให้ถึงความดับแห่งธรรมเหล่านี้
ไม่รู้จักธรรมเหล่าไหน
ไม่รู้จักเหตุเกิด แห่งธรรมเหล่าไหน
ไม่รู้จักความดับ แห่งธรรมเหล่าไหน
ไม่รู้จักปฏิปทา ที่จะให้ถึงความดับ แห่งธรรมเหล่าไหน คือ
ไม่รู้จักชราและมรณะ
ไม่รู้จักเหตุเกิด แห่งชราและมรณะ
ไม่รู้จักปฏิปทา ที่จะให้ถึงความดับแห่งชราและมรณะ
ไม่รู้จักชาติ ...
ไม่รู้จักภพ ...
ไม่รู้จัก อุปาทาน ...
ไม่รู้จักตัณหา ...
ไม่รู้จักเวทนา ...
ไม่รู้จักผัสสะ ...
ไม่รู้จักสฬายตนะ ...
ไม่รู้จักนามรูป ...
ไม่รู้จักวิญญาณ ...
ไม่รู้จัก สังขาร
ไม่รู้จัก เหตุเกิด แห่งสังขาร
ไม่รู้จัก ความดับ แห่งสังขาร
ไม่รู้จัก ปฏิปทา ที่จะให้ถึงความดับแห่งสังขาร
ชื่อว่าไม่รู้จักธรรมเหล่านี้
ไม่รู้จักเหตุเกิดแห่งธรรมเหล่านี้
ไม่รู้จักความดับ แห่งธรรมนี้
ไม่รู้จักปฏิปทาที่จะให้ถึงความดับ แห่งธรรมเหล่านี้
สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้น จะสมมติว่าเป็นสมณะในหมู่สมณะ หรือสมมติ ว่าเป็นพราหมณ์ในหมู่พราหมณ์ หาได้ไม่และท่านเหล่านั้น มิได้กระทำให้แจ้ง ซึ่งประโยชน์ของความเป็นสมณะ หรือประโยชน์ของความเป็น พราหมณ์ ด้วยปัญญา อันยิ่งเองในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่
[๔๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็สมณะหรือพราหมณ์เหล่าใดเหล่าหนึ่ง รู้จักธรรมเหล่านี้ รู้จักเหตุเกิดแห่งธรรมเหล่านี้
รู้จักความดับแห่งธรรมเหล่านี้ รู้จักปฏิปทาที่จะให้ถึงความดับแห่งธรรมเหล่านี้
รู้จักธรรมเหล่าไหน
รู้จักเหตุเกิดแห่งธรรมเหล่าไหน
รู้จักความดับแห่งธรรมเหล่าไหน
รู้จักปฏิปทาที่จะให้ถึงความดับ แห่งธรรมเหล่าไหน
คือ
รู้จักชราและมรณะ
รู้จักเหตุเกิดแห่งชราและมรณะ
รู้จักความดับแห่งชราและมรณะ
รู้จักปฏิปทาที่ให้ถึงความดับแห่งชราและมรณะ
รู้จักชาติ ... รู้จักภพ ... รู้จักอุปาทาน ... รู้จักตัณหา ... รู้จักเวทนา ... รู้จักผัสสะ ... รู้จักสฬายตนะ ...รู้จักนามรูป ... รู้จักวิญญาณ ...
รู้จักสังขาร
รู้จักเหตุเกิดแห่งสังขาร
รู้จักความดับแห่งสังขาร
รู้จักปฏิปทา ที่จะให้ถึงความดับแห่งสังขาร
ชื่อว่า
รู้จักธรรมเหล่านี้
รู้จักเหตุเกิดแห่งธรรมเหล่านี้
รู้จักความดับแห่งธรรมเหล่านี้
รู้จักปฏิปทาที่จะให้ถึงความดับแห่งธรรมเหล่านี้
สมณะหรือพราหมณ์เหล่านั้นแล
สมมติได้ว่าเป็นสมณะในหมู่สมณะ
และสมมติได้ว่าเป็นพราหมณ์ในหมู่พราหมณ์ และท่านเหล่านั้น
ได้กระทำให้แจ้งซึ่งประโยชน์ของความเป็นสมณะ และ ประโยชน์ของความเป็นพราหมณ์ ด้วยปัญญาอันยิ่งเองในปัจจุบัน เข้าถึงอยู่
|