พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๘ พระสุตตันตปิฎก หน้าที่ ๔๒๗-๔๒๙
กุตุหลสาลาสูตร
ไม่พยากรณ์ภพใหม่ของสาวกที่ทำกาละด้วยเหตุใด
[๗๙๙] ครั้งนั้นแล วัจฉโคตรปริพาชก ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถึง ที่ประทับ ได้ปราศรัยกับพระผู้มีพระภาค ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ เมื่อวันก่อนๆ โน้น พวกสมณพราหมณ์ และ ปริพาชก ผู้ถือลัทธิอื่นมากด้วยกัน นั่งประชุมกันในศาลาวุ่นวาย ได้เกิดมีการสนทนา ขึ้น ในระหว่างว่า ปูรณกัสสปนี้แลเป็นเจ้าหมู่เจ้าคณะ เป็นคณาจารย์ มีชื่อเสียง มีเกียรติยศ เป็นเจ้าลัทธิ ชนส่วนมากยกย่องว่าดี
ปูรณกัสสปนั้น ย่อมพยากรณ์สาวก ผู้กระทำกาลกิริยาล่วงไปแล้ว ในอุปบัติ ทั้งหลายว่า ท่านโน่นบังเกิดในภพโน้น ท่านโน่นบังเกิดในภพโน้น ดังนี้ แม้สาวก คนใด ของท่านปูรณกัสสปนั้น เป็นบุรุษสูงสุด เป็นบุรุษยอดเยี่ยม บรรลุความปฏิบัติ ยอดเยี่ยมแล้ว ท่านปูรณกัสสปก็ย่อมพยากรณ์สาวก แม้นั้นผู้กระทำกาลกิริยา ล่วงไป แล้ว ในอุปบัติทั้งหลายว่า ท่านโน่นบังเกิดในภพโน้น ท่านโน่นบังเกิดในภพโน้น ดังนี้
แม้มักขลิโคสาล... แม้นิครณฐนาฏบุตร... แม้สญชัยเวลัฏฐบุตร... แม้ปกุธกัจจานะ... แม้อชิตเกสกัมพล ก็เป็นเจ้าหมู่เจ้าคณะ เป็นคณาจารย์ มีชื่อเสียง มีเกียรติยศเป็นเจ้าลัทธิ ชนส่วนมากยกย่องว่าดี แม้ท่าน อชิตเกสกัมพลนั้น ก็ย่อม พยากรณ์สาวก ผู้กระทำกาลกิริยาล่วงไปแล้วในอุปบัติทั้งหลายว่า ท่านโน่นบังเกิด ในภพโน้น ท่านโน่นบังเกิดในภพโน้น ดังนี้
แม้สาวกใดของ ท่านอชิตเกสกัมพลนั้น เป็นบุรุษสูงสุด เป็นบุรุษยอดเยี่ยม ได้บรรลุความปฏิบัติอันยอดเยี่ยมแล้ว ท่านอชิตเกสกัมพล ก็ย่อมพยากรณ์สาวก ผู้กระทำกาลกิริยาล่วงไปแล้ว แม้นั้นในอุปบัติทั้งหลายว่า ท่านโน่นบังเกิดในภพโน้น ท่านโน่นบังเกิดในภพโน้น ดังนี้เหมือนกัน
แม้พระสมณโคดมนี้ ก็เป็นเจ้าหมู่เจ้าคณะ เป็นคณาจารย์ มีชื่อเสียง มีเกียรติยศ เป็นเจ้าลัทธิ ชนส่วนมากยกย่องว่าดี แม้พระสมณโคดมนั้น ก็ทรงพยากรณ์ สาวกผู้กระทำกาลกิริยาล่วงไปแล้ว ในอุปบัติทั้งหลายว่า ท่านโน่นบังเกิดในภพโน้น ท่านโน่นบังเกิดในภพโน้น ดังนี้
(พระศาสดาไม่ได้พยากรณ์เหมือนเจ้าลัทธิอื่น เพียงพยากรณ์ว่าสาวกรูปนั้น ตัดตัณหาขาดแล้ว สิ้นสังโยชน์แล้ว ทำที่สุดแห่งทุกข์ได้)
และสาวกของพระสมณโคดมนั้น รูปใดเป็นบุรุษสูงสุด เป็นบุรุษยอดเยี่ยม ได้บรรลุความปฏิบัติอันยอดเยี่ยมแล้ว พระสมณโคดมก็ทรง พยากรณ์สาวกรูปนั้น ผู้กระทำกาลกิริยาล่วงไปแล้ว ในอุปบัติทั้งหลายว่า ท่านโน่น เกิดในภพโน้น ท่านโน่น บังเกิดในภพโน้น ดังนี้เหมือนกัน ยิ่งกว่านั้นพระสมณโคดม นั้น ยังทรงพยากรณ์สาวก รูปนั้น อย่างนี้ว่า รูปโน้นตัดตัณหาขาดแล้ว ถอนสังโยชน์ ทิ้งเสียแล้ว ทำที่สุดแห่ง ทุกข์แล้ว เพราะได้บรรลุเหตุที่ละมานะได้โดยชอบ ดังนี้
ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ข้าพเจ้านั้น มีความเคลือบแคลงสงสัยแท้ว่า อย่างไรๆ พระสมณโคดมก็ต้องทรงรู้ธรรมอันบุคคลพึงรู้ยิ่ง
[๘๐๐] พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรวัจฉะ จริงทีเดียว ควรที่ท่านจะสงสัย เคลือบแคลงใจ ความเคลือบแคลงเกิดขึ้นแล้วแก่ท่าน ในฐานะที่ควรสงสัย
ดูกรวัจฉะ เราย่อมบัญญัติความเกิดขึ้น แก่คนที่ยังมีอุปาทานเท่านั้น หาบัญญัติแก่คนที่หาอุปาทานมิได้ไม่ (ทรงบัญญัติภพใหม่ของผู้ยังไม่สิ้นอุปาทาน จะไม่บัญญัติผู้ที่สิ้นอุปาทาน)
ดูกรวัจฉะ ไฟมีเชื้อจึงลุกโพลง ไม่มีเชื้อหาลุกโพลงไม่แม้ฉันใด ดูกรวัจฉะ เราก็ย่อมบัญญัติความเกิดขึ้น แก่คนที่ยังมีอุปาทาน หาบัญญัติแก่คนที่หาอุปาทาน มิได้ ไม่ ฉันนั้นเหมือนกันแล
ว. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ สมัยใด เปลวไฟถูกลมพัด ย่อมไปไกลได้ ก็พระโคดมผู้เจริญจะทรงบัญญัติอะไรแก่เปลวไฟนี้ ในเพราะเชื้อเล่า
พ. ดูกรวัจฉะ สมัยใด เปลวไฟถูกลมพัด ย่อมไปไกลได้ เราย่อมบัญญัติเชื้อ คือ ลมนั้น ดูกรวัจฉะ เพราะว่าสมัยนั้น ลมย่อมเป็นเชื้อของเปลวไฟนั้น
ว. ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ สมัยใด สัตว์ย่อมทอดทิ้งกายนี้ด้วย ไม่เข้าถึง กายอันใดอันหนึ่งด้วย ก็พระโคดมผู้เจริญ จะทรงบัญญัติอะไรแก่สัตว์นี้ ในเพราะ อุปาทานเล่า
พ. ดูกรวัจฉะ สมัยใด สัตว์ทอดทิ้งกายนี้ด้วย ไม่เข้าถึงกายอันใดอันหนึ่ง ด้วย เราย่อมบัญญัติอุปาทาน คือ ตัณหานั่นแล
ดูกรวัจฉะ เพราะว่าสมัยนั้นตัณหาย่อมเป็นเชื้อของสัตว์นั้น |