พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๓ (สุตตันตปิฎก) หน้าที่ ๗๖
ภริยาสูตร
[๖๐] ครั้งนั้น เมื่อเวลาเช้า พระผู้มีพระภาคทรงนุ่งแล้ว ทรงถือบาตร และ จีวร เสด็จเข้าไปยังนิเวศน์ของท่าน อนาถบิณฑิกเศรษฐี ประทับนั่งบนอาสนะ ที่ปูลาดแล้ว ก็สมัยนั้นมนุษย์ทั้งหลาย ในนิเวศน์ของท่าน อนาถบิณฑิกเศรษฐี ส่งเสียงอื้ออึง ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสถามว่า
ดูกรคฤหบดี เหตุไรหนอ มนุษย์ทั้งหลายในนิเวศน์ของท่าน จึงส่งเสียงอื้ออึง เหมือนชาวประมงแย่งปลากัน อนาถบิณฑิกเศรษฐีกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ นางสุชาดาคนนี้ ข้าพระองค์ นำมาจากตระกูลมั่งคั่ง มาเป็นสะใภ้ในเรือน นางไม่เชื่อถือ แม่ผัว พ่อผัว สามีแม้แต่พระผู้มีพระภาค นางก็ไม่สักการะ เคารพนับถือบูชา
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาค ตรัสเรียกนางสุชาดา หญิงสะใภ้ในเรือนว่า มานี่แน่ะ นางสุชาดา นางสุชาดาห ญิงสะใภ้ในเรือน ทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว เข้าไปเฝ้า พระผู้มีพระภาค ถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้วนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง
ครั้นแล้ว พระผู้มีพระภาคตรัสถามว่า
ดูกรนางสุชาดา ภริยาของบุรุษ ๗ จำพวกนี้
๗ จำพวกเป็นไฉน คือ
ภริยาเสมอด้วยเพชฌฆาต ๑
เสมอด้วยโจร ๑
เสมอด้วยนาย ๑
เสมอด้วยแม่ ๑
เสมอด้วยพี่สาวน้องสาว๑
เสมอด้วยเพื่อน ๑
เสมอด้วยทาสี ๑
ดูกรนางสุชาดาภริยาของบุรุษ ๗ จำพวกนี้แล เธอเป็นจำพวกไหนใน ๗ จำพวกนั้น
นางสุชาดากราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ หม่อมฉันยังไม่รู้ทั่วถึงความ แห่ง พระดำรัส ที่พระผู้มีพระภาคตรัสแล้วโดยย่อนี้ได้โดยพิสดาร ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานพระวโรกาส ขอพระผู้มีพระภาคโปรดทรงแสดงธรรมแก่หม่อมฉัน โดยที่หม่อมฉัน จะพึงรู้ทั่วถึงเนื้อความแห่งพระดำรัส ที่พระผู้มีพระภาคตรัสโดยย่อนี้ โดยพิสดารเถิด
พ. ดูกรนางสุชาดา ถ้าอย่างนั้น เธอจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว นางสุชาดา หญิงสะใภ้ในเรือน ทูลรับพระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคตรัสพระพุทธพจน์นี้ว่า
(1) ภริยาผู้มีจิตประทุษร้ายไม่อนุเคราะห์ด้วยประโยชน์เกื้อกูลยินดีในชายอื่น ดูหมิ่น สามี เป็นผู้อันเขาซื้อมาด้วยทรัพย์พยายามจะฆ่าผัว ภริยาของบุรุษเห็นปานนี้ เรียกว่า วธกาภริยา ภริยาเสมอด้วยเพชฌฆาต สามีของหญิงประกอบด้วยศิลปกรรม พาณิชยกรรม และกสิกรรม ได้ทรัพย์ใดมา
(2) ภริยาปรารถนาจะยักยอกทรัพย์ แม้มีอยู่น้อยนั้นเสีย ภริยาของบุรุษเห็นปานนี้ เรียกว่า โจรภริยา ภริยาเสมอด้วยโจร
(3) ภริยาที่ไม่สนใจการงาน เกียจคร้าน กินมาก ปากร้าย ปากกล้า ร้ายกาจ กล่าวคำหยาบ ข่มขี่ผัวผู้ขยันขันแข็ง ภริยาของบุรุษเห็นปานนี้ เรียกว่า อัยยาภริยาภริยาเสมอด้วยนาย
(4) ภริยาใดอนุเคราะห์ด้วยประโยชน์เกื้อกูลทุกเมื่อ ตามรักษา สามีเหมือนมารดา รักษาบุตร รักษาทรัพย์ที่สามีหามาได้ไว้ภริยาของบุรุษ เห็นปานนี้ เรียกว่า มาตาภริยา
(5) ภริยาเสมอด้วยมารดา ภริยาที่เป็นเหมือนพี่สาวน้องสาว มีความเคารพในสามี ของตน เป็นคนละอายบาป เป็นไปตามอำนาจสามี ภริยาของบุรุษเห็นปานนี้ เรียกว่า ภคินีภริยา
(6) ภริยาเสมอด้วยพี่สาวน้องสาว ภริยาใดในโลกนี้เห็นสามีแล้วชื่นชมยินดี เหมือน เพื่อนผู้จากไปนานแล้วกลับมา เป็นหญิงมีตระกูล มีศีลมีวัตรปฏิบัติสามี ภริยาของ บุรุษเห็นปานนี้ เรียกว่า สขีภริยา ภริยาเสมอด้วยเพื่อน
(7) ภริยาใดสามีเฆี่ยนตี ขู่ตะคอกก็ไม่โกรธ ไม่คิดพิโรธโกรธตอบสามี อดทนได้ เป็นไปตามอำนาจสามี ภริยาของบุรุษเห็นปานนี้ เรียกว่า ทาสีภริยา
ภริยาเสมอด้วยทาสี ภริยาที่เรียกว่าวธกาภริยา ๑
โจรีภริยา ๑
อัยยาภริยา ๑
ภริยาทั้ง ๓ จำพวกนั้น ล้วนแต่เป็น คนทุศีลหยาบช้า ไม่เอื้อเฟื้อ เมื่อตายไป ย่อม เข้าถึงนรก
ส่วนภริยาที่เรียกว่า มาตาภริยา ๑ ภคินีภริยา ๑
สขีภริยา ๑
ทาสีภริยา ๑
ภริยาทั้ง ๔ จำพวกนั้น เพราะตั้งอยู่ในศีล ถนอมรักไว้ยั่งยืน เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงสุคติ
ดูกรนางสุชาดา ภริยาของบุรุษ ๗ จำพวกนี้แล เธอเป็นภริยาจำพวกไหน ใน ๗ จำพวกนั้น
ส. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ขอพระผู้มีพระภาค โปรดทรงจำ หม่อมฉันว่า เป็นภริยาของสามีผู้เสมอด้วยทาสี
|