เว็บไซต์ อนาคามี เผยแพร่ พุทธวจน คำสอนของพระศาสดา คำสอนตถาคต รวมพระสูตรสำคัญ อนาคามี เว็บไซต์เผยแพร่คำสอนของพระพุทธเจ้า
ค้นหาคำที่ต้องการ            

ฉวิโสธนสูตร ภิกษุพยากรณ์อรหัตตผลว่าชาติสิ้นแล้ว..เธออย่าพึ่งยินดี อย่าพึ่งคัดค้าน 1514
  (ย่อ)
๒. ฉวิโสธนสูตร (๑๑๒)

ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมพยากรณ์อรหัตตผลว่า ข้าพเจ้ารู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี

ดูกรภิกษุ ท.พวกเธออย่าเพ่อยินดี อย่าเพ่อคัดค้านคำกล่าวของภิกษุ รูปนั้น ครั้นไม่ยินดีไม่ คัดค้าน แล้ว พึงถามปัญหาเธอว่า ก็จิตของท่านผู้มีอายุ ผู้รู้อยู่ เห็นอยู่ อย่างไรเล่า จึงหลุดพ้นจาก อาสวะ

ต่อไปนี้เป็นลำดับขั้นการสอบถามภิกษุในการพยากรณ์อรหัตผล

(1) โวหาร ๔ ประการเป็นไฉน คือ
     ไม่ยินดียินร้ายในอารมณ์ที่ตนเห็นแล้ว ที่ตนฟังแล้ว ที่ตนทราบแล้ว ที่ตนรู้ชัดแล้ว

(2) อุปาทานขันธ์ ๕ ประการเป็นไฉน
     รูปูปาทานขันธ์ เวทนูปาทานขันธ์ สัญญูปาทานขันธ์ สังขารูปาทานขันธ์ วิญญาณูปาทานขันธ์

(3) ธาตุ ๖ ประการเป็นไฉน
      อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ อากาสธาตุ วิญญาณธาตุ

(4) อายตนะ ๖ เป็นไฉน
    
 จักษุและรูป โสตและเสียง ฆานะและกลิ่น ชิวหาและรส กายและโผฏฐัพพะ มโนและธรรมารมณ์

(5) รู้เห็นอยู่อย่างไรจึงถอนอนุสัย คือความถือตัวว่าเป็นเราว่าของเรา
     ฆราวาสคับแคบ เป็นทางมาแห่งธุลี บรรพชาเป็นช่องว่าง เรายังอยู่ครองเรือน จะประพฤติ
     พรหมจรรย์ ให้บริสุทธิ์ บริบูรณ์โดยส่วนเดียว ดุจสังข์ที่เขาขัดแล้ว นี้ไม่ใช่ทำได้ง่าย

(6) ถึงพร้อมด้วยสิกขาสาชีพ ของภิกษุทั้งหลาย
      ละปาณาติบาต ละอทินนาทาน ละกรรมอันเป็นข้าศึกแก่พรหมจรรย์ ละมุสาวาท
      ละวาจาส่อเสียด ละวาจาหยาบ ละเจรจาเพ้อเจ้อ

(7) เป็นผู้เว้นขาดจากสิกขาบทเหล่านี้
      เป็นผู้เว้นขาด จากการพรากพืชคาม และภูตคาม เป็นผู้ฉันหนเดียว งดฉัน ในเวลาราตรี
      เว้นขาดจากการฉันในเวลาวิกาล เว้นขาดจากการฟ้อนรำขับร้อง…

(8)
เป็นผู้ประกอบด้วยศีลขันธ์
     เป็นผู้มีศีลขันธ์ ของพระอริยะ เห็นรูปด้วยจักษุแล้ว ไม่เป็นผู้ถือเอาโดยนิมิต …สำรวมจักขุนทรีย์
     เป็นผู้ไม่ถูกอกุศลธรรมอันลามก คืออภิชฌา และโทมนัสครอบงำได้

(9) ประกอบด้วยอินทรียสังวร
     เป็นผู้ประกอบด้วยอินทรียสังวร ของพระอริยะ เป็นผู้ทำความรู้สึกตัว ในเวลาก้าวไป ถอยกลับ
     ในเวลาแลดู และเหลียวดู ในเวลางอแขน และเหยียดแขน ในเวลาฉัน ดื่ม เคี้ยว และลิ้ม

(10)
ละนิวรณ์ ๕ ประการ ได้แล้ว
      ละอภิชฌาในโลกได้แล้ว ละความชั่วคือพยาบาทแล้ว ละถีนมิทธะแล้ว ละอุทธัจจกุกกุจจะแล้ว
      ละวิจิกิจฉาแล้ว

(11) เข้าฌาน ๑ ๒ ๓ ๔
     ครั้นละนิวรณ์ ๕ ประการนี้ จึงเข้าปฐมฌาน เข้าทุติยฌาน เข้าตติยฌาน เข้าจตุตถฌาน

(12)
จิตน้อมไปเพื่ออาสวักขยญาณ
      เมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ผุดผ่อง ปราศจากอุปกิเลส เป็นจิตอ่อนโยน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น…       จึงได้น้อมจิตไปเพื่ออาสวักขยญาณ รู้ชัดว่านี้ทุกข์ นี้เหตุให้เกิดทุกข์ นี้ที่ดับทุกข์ นี้ปฏิปทา

(13) จิตหลุดพ้น จากกามาสวะ ภวาสวะ อวิชชาสวะ
       จิตหลุดพ้นจากกามาสวะ ภวาสวะ อวิชชาสวะ เมื่อจิตหลุดพ้นแล้วได้มีญาณรู้ว่าหลุดพ้น รู้ว่า
       ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้ มิได้มี

เรื่องสำคัญของพระพุทธเจ้า
การบำเพ็ญบารมีในอดีตชาติ
การประสูติ แสงสว่าง แผ่นดินไหว
แสวงหาสัจจะบำเพ็ญทุกรกิริยา
ปัญจวัคคีย์หลีก สิ่งที่ตรัสรู้
ตรัสรู้ แสดงเทศนาปัญจวัคคีย์
ปลงสังขาร ปรินิพพาน
ลำดับขั้นการปรินิพพาน
เทวดาแสดงฤทธิ์ขณะถวายเพลิง
แบ่งพระสรีระออกเป็น ๘ ส่วน
 
รวมพระสูตรบุคคลสำคัญ
พระโมคคัลลานะ
พระสารีบุตร
พระเทวทัต
นิครนถ์ปริพาชก
พระมหากัปปินะ
พระอนุรุทธะ
พระอุบาลี
(ดูทั้งหมด)
 


พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๔ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๙๖

๒. ฉวิโสธนสูตร (๑๑๒)

            [๑๖๖] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่พระวิหารเชตวัน อารามของอนาถ บิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุ ทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลายภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสแล้ว

            [๑๖๗] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสดังนี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัย นี้ ย่อมพยากรณ์อรหัตตผลว่า ข้าพเจ้ารู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี

           ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธออย่าเพ่อยินดี อย่าเพ่อคัดค้านคำกล่าวของภิกษุ รูปนั้น ครั้นไม่ยินดีไม่ คัดค้านแล้ว พึงถามปัญหาเธอว่า

       ดูกรท่านผู้มีอายุ โวหารอันพระผู้มีพระภาค พระองค์นั้น ผู้ทรงรู้ ทรงเห็น เป็น พระอรหันตสัมมาสัมพุทธ ตรัสไว้ชอบ นี้มี ๔ ประการ

(1)
โวหาร ๔ ประการเป็นไฉน คือ

คำกล่าวว่า เห็นในอารมณ์ที่ตนเห็นแล้ว
คำกล่าวว่า ได้ยินในอารมณ์ที่ตนฟังแล้ว
คำกล่าวว่า ทราบในอารมณ์ ที่ตนทราบแล้ว
คำกล่าวว่า รู้ชัดในอารมณ์ที่ตนรู้ชัดแล้ว

          นี้แล โวหาร ๔ ประการ อันพระผู้มีพระภาค พระองค์นั้น ผู้ทรงรู้ ทรงเห็นเป็น พระอรหันตสัมมาสัมพุทธตรัสไว้ชอบ ก็จิตของท่านผู้มีอายุ ผู้รู้อยู่ เห็นอยู่ อย่างไรเล่า จึงหลุดพ้นจาก อาสวะ ไม่ยึดมั่นในโวหาร ๔ นี้

            [๑๖๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้สิ้นอาสวะแล้ว อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ปลงภาระได้แล้ว บรรลุประโยชน์ตนแล้วโดยลำดับ สิ้น สัญโญชน์ในภพแล้ว พ้นวิเศษแล้ว เพราะรู้ชอบ จึงนับว่ามีธรรมอันสมควร จะพยากรณ์ ได้ดังนี้ว่า

       ดูกรท่านผู้มีอายุ ข้าพเจ้าไม่ยินดี ไม่ยินร้าย อันกิเลสไม่อาศัยไม่พัวพัน พ้นวิเศษแล้ว พรากได้แล้วในธรรมที่ข้าพเจ้าได้เห็น มีใจอันกระทำให้ปราศจาก เขตแดนได้แล้วอยู่

ข้าพเจ้าไม่ยินดี ไม่ยินร้าย ... พรากได้แล้วในธรรมที่ข้าพเจ้าได้ยิน มีใจอันกระทำ ให้ปราศจากเขตแดนได้แล้วอยู่

ข้าพเจ้าไม่ยินดี ไม่ยินร้าย ... พรากได้แล้วในธรรมที่ข้าพเจ้าได้ทราบ มีใจอันกระทำ ให้ปราศจากเขตแดนได้แล้วอยู่

ข้าพเจ้าไม่ยินดี ไม่ยินร้าย ... พรากได้แล้วในธรรมที่ข้าพเจ้าได้รู้ชัด มีใจอันกระทำ ให้ปราศจากเขตแดนได้แล้วอยู่

       ดูกรท่านผู้มีอายุ จิตของข้าพเจ้าผู้รู้อยู่ เห็นอยู่ อย่างนี้แล จึงได้หลุดพ้นจาก อาสวะ ไม่ยึดมั่นในโวหาร ๔ นี้

       ดูกรภิกษุทั้งหลาย คำกล่าวของภิกษุรูปนั้น พวกเธอควรชื่นชม อนุโมทนาว่า สาธุ ครั้นแล้ว พึงถามปัญหาให้ยิ่งขึ้นไปว่า ดูกรท่านผู้มีอายุ อุปาทานขันธ์ อันพระผู้มี พระภาค พระองค์นั้น ผู้ทรงรู้ ทรงเห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธ ตรัสไว้ชอบ นี้มี ๕ ประการแล

(2)
อุปาทานขันธ์ ๕ ประการเป็นไฉน

       รูปูปาทานขันธ์ เวทนูปาทานขันธ์ สัญญูปาทานขันธ์ สังขารูปาทานขันธ์ วิญญาณูปาทานขันธ์

        ดูกรท่านผู้มีอายุ นี้แลอุปาทานขันธ์ ๕ ประการ อันพระผู้มี พระภาค พระองค์นั้น ผู้ทรงรู้ ทรงเห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธ ตรัสไว้ชอบแล้ว ก็จิตของท่านผู้มีอายุ ผู้รู้อยู่ เห็นอยู่อย่างไรเล่า จึงหลุดพ้นจากอาสวะ ไม่ยึดมั่น ในอุปาทานขันธ์ ๕ นี้

            [๑๖๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้สิ้นอาสวะแล้ว อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ปลงภาระได้แล้ว บรรลุประโยชน์ตนแล้วโดยลำดับ สิ้นสัญโญชน์ในภพแล้ว พ้นวิเศษแล้วเพราะรู้ชอบ จึงนับว่ามีธรรมอันสมควรจะ พยากรณ์ได้ดังนี้ว่า

        ดูกรท่านผู้มีอายุ

        ข้าพเจ้ารู้แจ้งรูปแล้วแลว่า ไม่มีกำลังปราศจากความน่ารัก มิใช่เป็นที่ตั้งแห่งความ ชื่นใจ จึงทราบชัดว่า จิตของเราหลุดพ้นแล้ว เพราะสิ้น สำรอก ดับ สละ และสลัดคืน ซึ่งอุปาทานขันธ์ ที่ยึดมั่นในรูป และอนุสัยคือความตั้งใจ และความปักใจมั่นในรูปได้

        ข้าพเจ้ารู้แจ้งเวทนาแล้วแลว่า ... จิตของเราหลุดพ้นแล้ว เพราะสิ้น สำรอก ดับ สละ และสลัดคืน ซึ่งอุปาทานขันธ์ที่ยึดมั่นในเวทนา และอนุสัยคือความตั้งใจ และความปักใจมั่นในเวทนาได้

        ข้าพเจ้ารู้จักแจ้งสัญญาแล้วแลว่า ... จิตของเราหลุดพ้นแล้ว เพราะสิ้นสำรอก ดับ สละ และสลัดคืน ซึ่งอุปาทานขันธ์ ที่ยึดมั่นในสัญญา และอนุสัยคือความตั้งใจ และความปักใจมั่นในสัญญาได้

        ข้าพเจ้ารู้แจ้งสังขารแล้วแลว่า ... จิต ของเราหลุดพ้นแล้ว เพราะสิ้น สำรอก ดับ สละ และสลัดคืนซึ่งอุปาทานขันธ์ ที่ยึดมั่นในสังขาร และอนุสัยคือความตั้งใจ และความ ปักใจมั่น ในสังขารได้

        ข้าพเจ้ารู้แจ้งวิญญาณแล้วแลว่า ไม่มีกำลัง ปราศจากความน่ารัก มิใช่เป็นที่ตั้งแห่ง ความชื่นใจจึงทราบชัดว่า จิตของเราหลุดพ้นแล้ว เพราะสิ้น สำรอก ดับ สละ และ สลัดคืน ซึ่งอุปาทานขันธ์ ที่ยึดมั่นในวิญญาณ และอนุสัยคือความตั้งใจ และความ ปักใจ มั่นในวิญญาณได้

       ดูกรท่านผู้มีอายุ จิตของข้าพเจ้าผู้รู้อยู่ เห็นอยู่อย่างนี้แล จึงได้หลุดพ้นจาก อาสวะ ไม่ยึดมั่นในอุปาทานขันธ์ ๕ นี้

       ดูกรภิกษุทั้งหลาย คำกล่าวของภิกษุรูปนั้น พวกเธอควรชื่นชม อนุโมทนาว่า สาธุ ครั้นแล้วพึงถามปัญหาให้ยิ่งขึ้นไปว่า

        ดูกรท่านผู้มีอายุ ธาตุอันพระผู้มีพระภาค พระองค์นั้น ผู้ทรงรู้ ทรงเห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธ ตรัสไว้ชอบ นี้มี ๖ ประการ

(3)
ธาตุ ๖ ประการเป็นไฉน


       คือปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ อากาสธาตุ วิญญาณธาตุ ดูกรท่านผู้มีอายุ นี้แลธาตุ ๖ ประการอันพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ผู้ทรงรู้ ทรงเห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธตรัสไว้ชอบแล้ว ก็จิตของท่านผู้มีอายุ ผู้รู้อยู่ เห็นอยู่อย่างไรเล่า จึงหลุดพ้น จากอาสวะไม่ยึดมั่นในธาตุ ๖ นี้

            [๑๗๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้สิ้นอาสวะแล้ว อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ปลงภาระได้แล้ว บรรลุประโยชน์ตนแล้วโดยลำดับ สิ้น สัญโญชน์ ในภพแล้ว พ้นวิเศษแล้วเพราะรู้ชอบ จึงนับว่ามีธรรม อันสมควร จะ พยากรณ์ได้ดังนี้ว่า

        ดูกรท่านผู้มีอายุ ข้าพเจ้าครองปฐวีธาตุ โดยความเป็นอนัตตา มิใช่ครองอัตตา อาศัยปฐวีธาตุเลย จึงทราบชัดว่า

       จิตของเราหลุดพ้นแล้ว เพราะสิ้นสำรอก ดับ สละ และสลัดคืนซึ่งอุปาทานขันธ์ ที่ยึดมั่นอาศัยปฐวีธาตุ และอนุสัยคือความตั้งใจ และความปักใจมั่นอาศัยปฐวีธาตุได้

       ข้าพเจ้าครองอาโปธาตุโดยความเป็นอนัตตา ... เพราะสิ้น สำรอก ดับ สละ และ สลัดคืนซึ่งอุปาทานขันธ์ ที่ยึดมั่นอาศัยเตโชธาตุ และอนุสัยคือความตั้งใจ และความ ปักใจมั่นอาศัยเตโชธาตุได้

       ข้าพเจ้าครองวาโยธาตุโดยความเป็นอนัตตา ... เพราะสิ้น สำรอก ดับ สละ และ สลัดคืนซึ่งอุปาทานขันธ์ ที่ยึดมั่นอาศัยวาโยธาตุ และอนุสัยคือความตั้งใจ และความ ปักใจมั่นอาศัยวาโยธาตุได้

       ข้าพเจ้าครองอากาสธาตุ โดยความเป็นอนัตตา...เพราะสิ้น สำรอก ดับ สละ และ สลัดคืน ซึ่งอุปาทานขันธ์ ที่ยึดมั่นอาศัยอากาสธาตุแ ละอนุสัยคือความตั้งใจ และ ความปักใจมั่นอาศัยอากาสธาตุได้

       ข้าพเจ้าครองวิญญาณธาตุ โดยความเป็นอนัตตา มิใช่ครองอัตตาอาศัย วิญญาณธาตุ เลย จึงทราบชัดว่า จิตของเราหลุดพ้นแล้ว เพราะสิ้น สำรอก ดับ สละ และสลัดคืน ซึ่งอุปาทานขันธ์ที่ยึดมั่น อาศัยวิญญาณธาตุ และอนุสัยคือความตั้งใจ และความ ปักใจมั่นอาศัยวิญญาณธาตุได้ ดูกรท่านผู้มีอายุ จิตของข้าพเจ้าผู้รู้อยู่ เห็นอยู่อย่างนี้ แล จึงได้หลุดพ้นจากอาสวะไม่ยึดมั่นในธาตุ ๖ นี้

       ดูกรภิกษุทั้งหลาย คำกล่าวของภิกษุรูปนั้นพวกเธอควรชื่นชมอนุโมทนาว่า สาธุ ครั้นแล้วพึงถามปัญหาให้ยิ่งขึ้นไปว่า

(4)
อายตนะ ๖ เป็นไฉน

       ดูกรท่านผู้มีอายุ ก็อายตนะภายใน อายตนะ ภายนอก อันพระผู้มีพระภาค พระองค์ นั้น ผู้ทรงรู้ ทรงเห็น เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธ ตรัสไว้ชอบ นี้มีอย่างละ ๖ แล อย่างละ ๖ เป็นไฉน คือจักษุและรูป โสตและ เสียง ฆานะและกลิ่น ชิวหาและรส กายและโผฏฐัพพะมโน และธรรมารมณ์

       ดูกรท่านผู้มีอายุ นี้แลอายตนะภายในอายตนะภายนอกอย่างละ ๖ อันพระผู้มี พระภาค พระองค์นั้น ผู้ทรงรู้ ทรงเห็น เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธ ตรัสไว้ชอบแล้ว ก็จิต ของท่านผู้มีอายุ ผู้รู้อยู่ เห็นอยู่อย่างไรเล่าจึงหลุดพ้นจากอาสวะ ไม่ยึดมั่น ในอายตนะ ทั้งภายในทั้งภายนอกอย่างละ ๖ เหล่านี้

            [๑๗๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้สิ้นอาสวะแล้ว อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ปลงภาระได้แล้ว บรรลุประโยชน์ตนแล้ว โดยลำดับสิ้น สัญโญชน์ ในภพแล้ว พ้นวิเศษแล้ว เพราะรู้ชอบ จึงนับว่ามีธรรมอันสมควร จะพยากรณ์ ได้ดังนี้ว่า

ดูกรท่านผู้มีอายุ

       ข้าพเจ้าทราบชัดว่า จิตของเราหลุดพ้นแล้วเพราะสิ้น สำรอก ดับ สละ และสลัดคืน ซึ่งความพอใจ ความกำหนัด ความยินดี ตัณหา อุปาทานที่ยึดมั่น และอนุสัยคือความ ตั้งใจ และความปักใจมั่น ในจักษุ ในรูป ในจักษุวิญญาณ และในธรรมที่พึงรู้แจ้ง ด้วย จักษุวิญญาณ

       ข้าพเจ้าทราบชัดว่า จิตของเราหลุดพ้นแล้ว เพราะสิ้น สำรอก ดับ สละ และสลัดคืน ซึ่งความพอใจ ความกำหนัด ความยินดี ตัณหา อุปาทานที่ยึดมั่น และอนุสัยคือความ ตั้งใจและความปักใจมั่น ในโสต ในเสียง ในโสตวิญญาณ และใน ธรรมที่พึงรู้แจ้ง ด้วยโสตวิญญาณ

       ข้าพเจ้าทราบชัดว่า จิตของเราหลุดพ้นแล้ว เพราะสิ้น สำรอก ดับ สละ และสลัดคืน ซึ่งความพอใจ ความกำหนัด ความยินดีตัณหา อุปาทานที่ยึดมั่น และอนุสัยคือความ ตั้งใจ และความปักใจมั่น ในฆานะ ในกลิ่น ในฆานวิญญาณ และในธรรมที่พึงรู้แจ้ง ด้วยฆานวิญญาณ

       ข้าพเจ้าทราบชัดว่า จิตของเราหลุดพ้นแล้ว เพราะสิ้น สำรอก ดับ สละ และสลัดคืน ซึ่งความพอใจ ความกำหนัด ความยินดี ตัณหา อุปาทานที่ยึดมั่น และอนุสัยคือความ ตั้งใจและความปักใจมั่น ในชิวหา ในรส ในชิวหาวิญญาณ และในธรรมที่พึงรู้แจ้ง ด้วยชิวหาวิญญาณ

       ข้าพเจ้าทราบชัดว่า จิตของเราหลุดพ้นแล้ว เพราะสิ้น สำรอก ดับ สละ และสลัดคืน ซึ่งความพอใจ ความกำหนัด ความยินดี ตัณหาอุปาทานที่ยึดมั่น และอนุสัยคือความ ตั้งใจและความปักใจมั่น ในกาย ในโผฏฐัพพะ ในกายวิญญาณ และในธรรมที่พึงรู้แจ้ง ด้วยกายวิญญาณ

       ข้าพเจ้าทราบ ชัดว่า จิตของเราหลุดพ้นแล้ว เพราะสิ้น สำรอก ดับ สละ และ สลัดคืน ซึ่งความ พอใจ ความกำหนัด ความยินดี ตัณหา อุปาทานที่ยึดมั่น และ อนุสัย คือความ ตั้งใจและความปักใจมั่น ในมโน ในธรรมารมณ์ ในมโนวิญญาณ และในธรรม ที่พึงรู้แจ้ง ด้วยมโนวิญญาณ

       ดูกรท่านผู้มีอายุ จิตของข้าพเจ้าผู้รู้อยู่ เห็นอยู่อย่างนี้แล จึงได้หลุดพ้นจาก อาสวะ ไม่ยึดมั่นในอายตนะ ทั้งภายในทั้งภายนอก อย่างละ ๖ เหล่านี้

       ดูกรภิกษุทั้งหลาย คำกล่าวของภิกษุรูปนั้น พวกเธอควรชื่นชม อนุโมทนา ว่า สาธุ ครั้นแล้วพึงถามปัญหาให้ยิ่งขึ้นไปว่า

(5)
รู้เห็นอยู่อย่างไรจึงถอนอนุสัย คือความถือตัวว่าเป็นเราว่าของเรา

       ก็เมื่อท่านผู้มีอายุ รู้อยู่ เห็นอยู่อย่างไร จึงถอนอนุสัย คือความถือตัวว่าเป็นเรา ว่าของเรา ในกายอันมีวิญญาณนี้ และในนิมิต ทั้งหมด ในภายนอกได้ด้วยดี

            [๑๗๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุผู้สิ้นอาสวะแล้ว อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ปลงภาระได้แล้ว บรรลุประโยชน์ตนแล้ว โดยลำดับ สิ้นสัญโญชน์ในภพแล้ว พ้นวิเศษแล้วเพราะรู้ชอบ จึงนับว่ามีธรรมอันสมควรจะ พยากรณ์ได้ดังนี้ว่า

       ดูกรท่านผู้มีอายุ เมื่อก่อนข้าพเจ้าเป็นผู้ครองเรือน ยังเป็นผู้ไม่รู้ พระตถาคตบ้าง สาวกของพระตถาคตบ้าง แสดงธรรมแก่ข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้าฟังธรรมนั้นแล้ว จึงได้ความเชื่อในพระตถาคต

        ข้าพเจ้าประกอบด้วยการได้ความเชื่อโดยเฉพาะนั้น จึงพิจารณาเห็นดังนี้ว่า ฆราวาสคับแคบ เป็นทางมาแห่งธุลี บรรพชาเป็นช่องว่าง เรายังอยู่ครองเรือน จะประพฤติพรหมจรรย์ให้บริสุทธิ์ บริบูรณ์โดยส่วนเดียวดุจสังข์ ที่เขาขัดแล้ว นี้ไม่ใช่ ทำได้ง่าย อย่ากระนั้นเลย เราพึงปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้า กาสาวพัสตร์แล้ว ออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิตเถิด

       สมัยต่อมา ข้าพเจ้าจึงละโภคสมบัติน้อยบ้าง มากบ้าง ละวงศ์ญาติเล็กบ้าง ใหญ่บ้าง ปลงผมและหนวด นุ่งห่มผ้ากาสาวพัสตร์ แล้วออกจากเรือนบวช เป็น บรรพชิต

(6)
ถึงพร้อมด้วยสิกขาสาชีพ ของภิกษุทั้งหลาย

        ข้าพเจ้า เมื่อเป็นผู้บวชแล้วอย่างนี้ ถึงพร้อมด้วยสิกขาสาชีพของภิกษุทั้งหลาย เพราะละปาณาติบาต จึงเป็นผู้เว้นขาดจากปาณาติบาต วางอาชญา วางศาสตราแล้ว มีความละอาย ถึงความ เอ็นดู ได้เป็นผู้อนุเคราะห์ ด้วยความเกื้อกูลในสรรพสัตว์ และภูต

        เพราะละอทินนาทาน จึงเป็นผู้เว้นขาดจาก อทินนาทาน ถือเอาแต่ของ ที่เขา ให้ หวังแต่ของที่เขาให้มีตน เป็นคนสะอาด ไม่ใช่ขโมยอยู่

        เพราะละกรรม อันเป็นข้าศึกแก่พรหมจรรย์ จึงเป็นผู้ ประพฤติ พรหมจรรย์ ประพฤติห่างไกล และ เว้นจากเมถุน อันเป็นธรรมดาของชาวบ้าน

        เพราะละมุสาวาท จึงเป็นผู้เว้นขาดจากมุสาวาท เป็นผู้กล่าวคำจริง ดำรงอยู่ใน คำสัตย์ เป็นหลักฐาน เชื่อถือได้ไม่พูดลวงโลก

       เพราะละวาจาส่อเสียด จึงเป็นผู้เว้นขาดจากวาจาส่อเสียด ได้ยินจากฝ่ายนี้แล้ว ไม่บอกฝ่ายโน้น เพื่อทำลาย ฝ่ายนี้ หรือได้ยินจากฝ่ายโน้น แล้วไม่บอกฝ่ายนี้เพื่อ ทำลายฝ่ายโน้น ทั้งนี้ เมื่อเขา แตกกันแล้ว ก็สมานให้ดีกันหรือเมื่อเขาดีกันอยู่ ก็ส่งเสริมชอบความพร้อมเพรียงกัน ยินดีในคนที่พร้อมเพรียงกัน ชื่นชมในคนที่พร้อม เพรียงกัน เป็นผู้กล่าววาจาสมานสามัคคีกัน

       เพราะละวาจาหยาบ จึงเป็นผู้เว้นขาดจากวาจาหยาบเป็นผู้กล่าววาจา ซึ่งไม่มี โทษ เสนาะหู ชวนให้รักใคร่ จับใจ เป็นภาษาชาวเมือง อันคนส่วนมากปรารถนา และชอบใจ

       เพราะละการเจรจา เพ้อเจ้อ จึงเป็นผู้เว้นขาด จากการเจรจาเพ้อเจ้อ กล่าวถูก กาละ กล่าวตามเป็นจริง กล่าวอรรถ กล่าวธรรม กล่าววินัย เป็นผู้กล่าววาจา มีหลักฐาน มีที่อ้าง มีขอบเขต ประกอบด้วยประโยชน์ ตามกาล

(7)

เป็นผู้เว้นขาดจากสิกขาบทเหล่านี้

       ข้าพเจ้า เป็นผู้เว้นขาด จากการพรากพืชคาม และภูตคาม เป็นผู้ฉันหนเดียว งดฉัน ในเวลาราตรี
เว้นขาด จากการฉันในเวลาวิกาล
เป็นผู้เว้นขาด จากการฟ้อนรำขับร้องประโคมดนตรีและดูการเล่นอันเป็นข้าศึกแก่กุศล
เป็นผู้เว้นขาด จากการทัดทรง และตบแต่งด้วยดอกไม้ ของหอมและเครื่องประเทือง ผิว อันเป็นฐานะแห่งการแต่งตัว
เป็นผู้เว้นขาด จากการนั่งนอนบนที่นั่งที่นอน อันสูงและใหญ่
เป็นผู้เว้นขาด จากการรับทองและเงิน
เป็นผู้เว้นขาด จากการรับทาสีและทาส
เป็นผู้เว้นขาด จากการรับแพะและแกะ
เป็นผู้เว้นขาด จากการรับไก่และสุกร
เป็นผู้เว้นขาด จากการ รับช้าง โค ม้า และลา
เป็นผู้เว้นขาด จากการรับไร่นาและที่ดิน
เป็นผู้เว้นขาด จากการประกอบทูตกรรมและการรับใช้
เป็นผู้เว้นขาด จากการซื้อและการขาย
เป็นผู้เว้นขาด จากการโกงด้วยตราชั่ง โกงด้วยของปลอม และโกงด้วยเครื่องตวงวัด
เป็นผู้เว้นขาด จากการรับสินบน การล่อลวง และการตลบตะแลง
เป็นผู้เว้นขาด จากการตัด การฆ่า การจองจำ การตีชิง การปล้น และการกรรโชก

       ข้าพเจ้าได้เป็นผู้สันโดษ ด้วยจีวรเป็นเครื่องบริหารกาย และบิณฑบาตเป็น เครื่อง บริหารท้อง จะไปที่ใดๆ ย่อมถือเอาบริขารไปได้หมด เหมือนนกมีปีก จะบินไป ที่ใดๆ ย่อมมีภาระคือปีกของตนเท่านั้นบินไป

(8)

เป็นผู้ประกอบด้วยศีลขันธ์

            [๑๗๓] ข้าพเจ้าประกอบด้วยศีลขันธ์ ของพระอริยะเช่นนี้แล้ว จึงได้เสวยสุข อันปราศจากโทษภายใน เห็นรูปด้วยจักษุแล้ว ไม่เป็นผู้ถือเอาโดยนิมิต และโดย อนุพยัญชนะปฏิบัติ เพื่อสำรวมจักขุนทรีย์ อันมีการเห็นรูปเป็นเหตุ ซึ่งบุคคล ผู้ไม่ สำรวมอยู่ พึงถูกอกุศลธรรมอันลามก คืออภิชฌา และโทมนัสครอบงำได้ รักษา จักขุนทรีย์ ถึงความสำรวมในจักขุนทรีย์แล้ว ได้ยินเสียงด้วยโสตแล้ว... ดมกลิ่นด้วย ฆานะแล้ว ... ลิ้มรสด้วยชิวหาแล้ว ... ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกายแล้ว ... รู้ธรรมารมณ์ ด้วยมโนแล้ว ไม่เป็นผู้ถือเอาโดยนิมิต และโดยอนุพยัญชนะ ปฏิบัติเพื่อสำรวม มนินทรีย์ อันมีการรู้ธรรมารมณ์เป็นเหตุ ซึ่งบุคคลผู้ไม่สำรวมอยู่ พึงถูกอกุศลธรรม อันลามก คืออภิชฌาและโทมนัสครอบงำได้ รักษามนินทรีย์ ถึงความสำรวม ในมนินทรีย์แล้ว

(9)
ประกอบด้วยอินทรียสังวร

            [๑๗๔] ข้าพเจ้าประกอบด้วยอินทรียสังวร ของพระอริยะเช่นนี้แล้ว จึงได้ เสวยสุข อันไม่เจือทุกข์ภายใน ได้เป็นผู้ทำความรู้สึกตัว ในเวลาก้าวไป และ ถอยกลับ ในเวลาแลดูและเหลียวดู ในเวลางอแขน และเหยียดแขน ในเวลา ทรงผ้า สังฆาฏิ บาตร และจีวร ในเวลาฉัน ดื่ม เคี้ยว และลิ้ม ในเวลาถ่ายอุจจาระและ ปัสสาวะ ในเวลาเดิน ยืน นั่ง นอนหลับ ตื่น พูด และนิ่ง

            [๑๗๕] ก็ข้าพเจ้าประกอบด้วยศีลขันธ์ ของพระอริยะเช่นนี้ ประกอบด้วย อินทรียสังวร ของพระอริยะเช่นนี้ และประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ ของพระอริยะ เช่นนี้แล้ว จึงได้พอใจเสนาสนะอันสงัด คือ ป่า โคนไม้ ภูเขา ซอกเขา ถ้ำบนภูเขา ป่าช้า ป่าชัฏ ที่แจ้ง และลอมฟาง

(10)
ละนิวรณ์ ๕ ประการ ได้แล้ว

       ข้าพเจ้ากลับจากบิณฑบาต ภายหลัง เวลาอาหารแล้ว นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง ดำรงสติมั่นเฉพาะหน้า

ละอภิชฌาในโลกได้แล้ว มีใจปราศจากอภิชฌาอยู่ ชื่อว่า ได้ชำระจิตให้บริสุทธิ์ จากอภิชฌา

ละความชั่วคือพยาบาทแล้ว
เป็นผู้มีจิตไม่พยาบาท อนุเคราะห์ด้วยความเกื้อกูล ในสรรพสัตว์และภูตอยู่ ชื่อว่า ได้ชำระจิตให้บริสุทธิ์ จากความชั่ว คือพยาบาท

ละถีนมิทธะแล้ว
เป็นผู้มีจิตปราศจากถีนมิทธะ มีอาโลกสัญญา มีสติสัมปชัญญะ อยู่ชื่อว่าได้ชำระจิต ให้บริสุทธิ์ จากถีนมิทธะ

ละอุทธัจจกุกกุจจะแล้ว
เป็นผู้ไม่ฟุ้งซ่าน มีจิตสงบภายในอยู่ ชื่อว่าได้ชำระจิตให้ บริสุทธิ์จากอุทธัจจกุกกุจจะ

ละวิจิกิจฉาแล้ว เป็นผู้ข้ามความสงสัยได้ ไม่มีปัญหาอะไร ในกุศลธรรมทั้งหลายอยู่ ชื่อว่าได้ชำระจิต ให้บริสุทธิ์จากวิจิกิจฉา

(11)

เข้าฌาน ๑ ๒ ๓ ๔

            [๑๗๖] ข้าพเจ้าครั้นละนิวรณ์ ๕ ประการนี้ อันเป็นเครื่องทำใจให้ เศร้าหมอง ทำปัญญาให้ถอยกำลังแล้ว จึงได้สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม เข้าปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่ ได้เข้าทุติยฌาน มีความผ่องใส แห่งใจ ภายใน มีความเป็นธรรมเอกผุดขึ้น เพราะสงบวิตกและวิจาร ไม่มี วิตก ไม่มีวิจาร มีปีติและสุข เกิดแต่สมาธิอยู่ ได้เป็นผู้วางเฉย เพราะหน่ายปีติ มีสติ สัมปชัญญะอยู่ และเสวยสุขด้วยนามกาย เข้าตติยฌาน ที่พระอริยะเรียก ข้าพเจ้า นั้นได้ว่า ผู้วางเฉย มีสติ อยู่เป็นสุขอยู่ ได้เข้าจตุตถฌาน อันไม่มีทุกข์ ไม่มีสุขเพราะละสุข ละทุกข์ และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ ได้ มีสติบริสุทธิ์ เพราะอุเบกขาอยู่

(12)

จิตน้อมไปเพื่ออาสวักขยญาณ

            [๑๗๗] ข้าพเจ้าเมื่อจิตเป็นสมาธิ บริสุทธิ์ผุดผ่อง ไม่มีกิเลสเครื่องยียวน ปราศจากอุปกิเลส เป็นจิตอ่อนโยน ควรแก่การงาน ตั้งมั่น ถึงความไม่หวั่นไหวอย่างนี้ แล้ว จึงได้น้อมจิตไปเพื่ออาสวักขยญาณ ข้าพเจ้าได้รู้ชัดตามเป็นจริงว่านี้ทุกข์ นี้เหตุให้เกิดทุกข์ นี้ที่ดับทุกข์ นี้ปฏิปทาให้ถึงที่ดับทุกข์ ย่อมรู้ชัดตามเป็นจริงว่า เหล่านี้อาสวะ นี้เหตุให้เกิดอาสวะนี้ที่ดับอาสวะ นี้ปฏิปทาให้ถึงที่ดับอาสวะ

(13)

จิตหลุดพ้น จากกามาสวะ ภวาสวะ อวิชชาสวะ

       เมื่อข้าพเจ้ารู้อย่างนี้ เห็นอย่างนี้ จิตก็หลุดพ้นแม้จากกามาสวะ แม้จากภวาสวะ แม้จากอวิชชาสวะ เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว ได้มีญาณรู้ว่า หลุดพ้นแล้วรู้ชัดว่า ชาติ สิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็น อย่างนี้มิได้มี

       ดูกรท่านผู้มีอายุ เมื่อข้าพเจ้ารู้อยู่ เห็นอยู่อย่างนี้แล จึงถอนอนุสัย คือความ ถือตัว ว่าเป็นเรา ว่าของเรา ในกายอันมีวิญญาณนี้ และในนิมิตทั้งหมดในภายนอก ได้ด้วยดี

       ดูกรภิกษุทั้งหลาย คำกล่าวของภิกษุรูปนั้น พวกเธอควรชื่นชม อนุโมทนา ว่า สาธุ ครั้นแล้วพึงกล่าวแก่ภิกษุรูปนั้นอย่างนี้ว่า ดูกรท่านผู้มีอายุ เป็นลาภของพวก ข้าพเจ้า พวกข้าพเจ้าได้ดีแล้ว ที่พิจารณาเห็นท่านผู้มีอายุ เช่นตัวท่านเป็น สพรหมจารี

       พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระภาษิตนี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้น ต่างชื่นชมยินดี พระภาษิต ของ พระผู้มีพระภาคแล

จบ ฉวิโสธนสูตร ที่ ๒

 





พุทธวจน : อ่านคำสอนพระศาสดา อ่านแบบสบายตา โดยคัดลอกหนังสือทั้งเล่มมาจัดทำเป็นเว็บเพจ (คลิกอ่านพร้อมดาวน์โหลดไฟล์ pdf)
90 90 90 90
พุทธประวัติ ขุมทรัพย์ อริยสัจ
ภาคต้น
อริยสัจ
ภาคปลาย
ปฏิจจ ปฐมธรรม ตถาคต อนาคามี อินทรีย์
สังวร
สัตว์
สัตตานัง
ทาน
สกทาคามี
ฆราวาส
ชั้นเลิศ
มรรควิธี
ที่ง่าย
อริยวินัย เดรัจฉานวิชา กรรม สมถะ
วิปัสสนา
โสดาบัน นา
ปานสติ
จิต มโน
วิญญาณ
ก้าวย่าง
อย่างพุทธะ
ตามรอย
ธรรม
ภพ ภูมิ
พุทธวจน
สาธยาย
ธรรม
สังโยชน์