เว็บไซต์ อนาคามี เผยแพร่ พุทธวจน คำสอนของพระศาสดา คำสอนตถาคต รวมพระสูตรสำคัญ อนาคามี เว็บไซต์เผยแพร่คำสอนของพระพุทธเจ้า
ค้นหาคำที่ต้องการ            

 
มหาปุณณมสูตร ภิกษุ ๖๐ รูป มีจิตหลุดพ้นจากอาสวะ หลังได้สดับคำสอนของตถาคต 1492
 

(โดยย่อ)

มหาปุณณมสูตร

1) อุปาทานขันธ์
รูปูปาทานขันธ์ เวทนูปาทานขันธ์ สัญญูปาทานขันธ์ สังขารูปาทานขันธ์ วิญญาณูปาทานขันธ์

2) รูปขันธ์
รูปอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีต อนาคตปัจจุบัน เป็นไปในภายใน ในภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือประณีต อยู่ในที่ไกลหรือในที่ใกล้ก็ตาม นี่เป็นรูปขันธ์... เวทนา สัญญา... ก็เช่นกัน

3) ปัจจัยแห่งการบัญญัติ ขันธ์ทั้ง 5
มหาภูตรูป ๔ เป็นเหตุเป็นปัจจัย แห่งการบัญญัติ รูปขันธ์
ผัสสะ เป็นเหตุเป็นปัจจัย แห่งการบัญญัติ เวทนาขันธ์
ผัสสะ เป็นเหตุเป็นปัจจัย แห่งการ บัญญัติ สัญญาขันธ์
ผัสสะ เป็นเหตุ เป็นปัจจัย แห่งการบัญญัติ สังขารขันธ์
นามรูป เป็นเหตุ เป็นปัจจัย แห่งการบัญญัติ วิญญาณขันธ์

4) สักกายทิฐิ มีได้อย่างไร
ย่อมเล็ง เห็นรูป โดยความเป็นอัตตาบ้าง เล็งเห็นอัตตาว่ามีรูปบ้าง เล็งเห็นรูปใน อัตตาบ้าง เล็งเห็นอัตตาในรูปบ้าง ... เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็เช่นกัน

5) สักกายทิฐิ จะไม่มีได้อย่างไร
ย่อมไม่เล็ง เห็นรูป โดยความเป็นอัตตาบ้าง เล็งเห็นอัตตาว่ามีรูปบ้าง เล็งเห็นรูปใน อัตตาบ้าง เล็งเห็นอัตตาในรูปบ้าง ... (เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็เช่นกัน)

6) อะไรเป็นคุณ อะไรเป็นโทษ อะไรเป็นทางสลัดออก
อาการที่สุขโสมนัส อาศัยรูป เกิดขึ้น นี้เป็นคุณในรูป
อาการที่รูปไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา นี้เป็นโทษในรูป อาการที่กำจัดฉันทราคะ ละฉันทราคะ ในรูปได้ นี้เป็นทางสลัดออกในรูป

(เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็เช่นกัน)

7) ขันธ์ทั้ง5 ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่อัตตาของเรา
บุคคลเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงดังนี้ว่า รูปอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีต อนาคต ปัจจุบัน เป็นไป ในภายใน หรือมีในภายนอก หยาบหรือละเอียด เลวหรือประณีต อยู่ในที่ไกล หรือใน ที่ใกล้ก็ตาม ทั้งหมดนั่น ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่อัตตาของเรา (เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็เช่นกัน)

8) สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ นั่นของเรา นั่นเรา นั่นอัตตาของเรา
พ. รูป เที่ยงหรือไม่เที่ยง ..ไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าข้า
พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือสุขเล่า .. เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าข้า
พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวน ควรหรือที่จะเล็งเห็น สิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเรา นั่นอัตตาของเรา ..ไม่ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า
(เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็เช่นกัน)

เมื่อพระผู้มีพระภาค กำลังตรัสไวยากรณ์ภาษิต นี้อยู่ ภิกษุประมาณ ๖๐ รูปด้มีจิตหลุดพ้นจาก อาสวะ เพราะไม่ถือมั่นแล

เรื่องสำคัญของพระพุทธเจ้า
การบำเพ็ญบารมีในอดีตชาติ
การประสูติ แสงสว่าง แผ่นดินไหว
แสวงหาสัจจะบำเพ็ญทุกรกิริยา
ปัญจวัคคีย์หลีก สิ่งที่ตรัสรู้
ตรัสรู้ แสดงเทศนาปัญจวัคคีย์
ปลงสังขาร ปรินิพพาน
ลำดับขั้นการปรินิพพาน
เทวดาแสดงฤทธิ์ขณะถวายเพลิง
แบ่งพระสรีระออกเป็น ๘ ส่วน
 
รวมพระสูตรของบุคคลสำคัญ
พระโมคคัลลานะ
พระสารีบุตร
พระเทวทัต
นิครนถ์ปริพาชก
พระมหากัปปินะ
(ดูทั้งหมด)
 

 


พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๔ หน้าที่ ๘๔-๙๒

๙. มหาปุณณมสูตร (๑๐๙)


             [๑๒๐] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาค ประทับอยู่ที่ ปราสาทของอุบาสิกา วิสาขามิคารมารดา ในพระวิหารบุพพาราม เขตพระนครสาวัตถี

             สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาค มีภิกษุสงฆ์ห้อมล้อม ประทับนั่งกลางแจ้ง ในราตรีมีจันทร์เพ็ญ วันนั้นเป็นวันอุโบสถ ๑๕ ค่ำ

            ขณะนั้น ภิกษุรูปหนึ่งลุกจากอาสนะ ห่มจีวรเฉวียงบ่าข้างหนึ่ง ประนม อัญชลี ไปทางที่ประทับของพระผู้มีพระภาค แล้วกราบทูลพระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์จะขอทูลถามปัญหาสักเล็กน้อยกะพระผู้มีพระภาค ถ้าพระผู้มีพระภาค จะประทานโอกาสเพื่อพยากรณ์ปัญหาแก่ข้าพระองค์

             พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุ ถ้าอย่างนั้น เธอจงนั่งลงยังอาสนะ ของตน ประสงค์จะถามปัญหาข้อใด ก็ถามเถิด

1 (อุปาทานขันธ์)

             [๑๒๑] ครั้งนั้นแล ภิกษุรูปนั้นนั่งยังอาสนะของตนแล้ว ได้ทูลถามพระผู้มี พระภาคดังนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อุปาทานขันธ์ คือ รูปูปาทานขันธ์ เวทนูปาทานขันธ์ สัญญูปาทานขันธ์ สังขารูปาทานขันธ์ วิญญาณูปาทานขันธ์มี ๕ ประการเท่านี้ หรือหนอแล

             พ. ดูกรภิกษุ อุปาทานขันธ์ มี ๕ ประการเท่านี้ คือ รูปูปาทานขันธ์ เวทนูปาทานขันธ์ สัญญูปาทานขันธ์ สังขารูปาทานขันธ์ วิญญาณูปาทานขันธ์

             ภิกษุนั้นกล่าว ชื่นชม ยินดีพระภาษิต ของพระผู้มีพระภาคว่า ชอบแล้ว พระพุทธเจ้าข้า แล้วทูลถามปัญหา กะพระผู้มีพระภาค ยิ่งขึ้นไปว่า ข้าแต่พระองค์ ผู้เจริญ ก็อุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้ มีอะไรเป็นมูล

             พ. ดูกรภิกษุ อุปาทานขันธ์ ๕ เหล่านี้ มีฉันทะเป็นมูล ฯ
             ภิ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อุปาทานกับอุปาทานขันธ์ ๕ นั้นอย่างเดียวกัน หรือ หรือว่าอุปาทานอื่นจากอุปาทานขันธ์ ๕

             พ. ดูกรภิกษุ อุปาทานกับอุปาทานขันธ์ ๕ นั้น จะอย่างเดียวกันก็มิใช่ อุปาทาน จะอื่นจาก อุปาทานขันธ์ ๕ ก็มิใช่ ดูกรภิกษุ ความกำหนัดพอใจ ในอุปาทานขันธ์ ๕ นั่นแล เป็นตัวอุปาทานในอุปาทานขันธ์ ๕ นั้น

            [๑๒๒] ภิ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็ความต่างแห่งความกำหนัด พอใจใน อุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ พึงมีหรือ

            พระผู้มีพระภาคทรงรับว่า มี แล้วตรัสว่า ดูกรภิกษุ บุคคลบางคนในโลกนี้ มีความปรารถนาอย่างนี้ว่า ขอเราพึงมีรูปอย่างนี้ เวทนาอย่างนี้ สัญญาอย่างนี้ สังขารอย่างนี้ วิญญาณอย่างนี้ ในอนาคตกาลเถิด ดูกรภิกษุ อย่างนี้แลเป็นความ ต่าง แห่งความกำหนัดพอใจ ในอุปาทานขันธ์ทั้ง ๕

2 (รูปขันธ์)

            [๑๒๓] ภิ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขันธ์ทั้งหลายมีชื่อเรียกว่าขันธ์ ได้
ด้วยเหตุเท่าไร

            พ. ดูกรภิกษุ รูปอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีต ทั้งที่เป็นอนาคตทั้งที่ เป็น ปัจจุบัน เป็นไปในภายใน หรือมีในภายนอกก็ตาม หยาบหรือละเอียดก็ตาม เลว หรือ ประณีตก็ตาม อยู่ในที่ไกล หรือในที่ใกล้ก็ตาม นี่เป็นรูปขันธ์

            เวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีต ทั้งที่เป็นอนาคต ทั้งที่เป็น ปัจจุบัน เป็นไปภายใน หรือมีในภายนอกก็ตาม หยาบหรือละเอียดก็ตาม เลวหรือ ประณีตก็ตาม อยู่ในที่ไกลหรือในที่ใกล้ก็ตาม นี่เป็นเวทนาขันธ์

            สัญญาอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีต ทั้งที่เป็นอนาคต ทั้งที่เป็น ปัจจุบัน เป็นไปในภายใน หรือมีในภายนอกก็ตาม หยาบหรือละเอียดก็ตาม เลวหรือ ประณีต ก็ตาม อยู่ในที่ไกลหรือในที่ใกล้ก็ตาม นี่เป็นสัญญาขันธ์

            สังขารเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีต ทั้งที่เป็นอนาคต ทั้งที่เป็น ปัจจุบัน เป็นไปในภายใน หรือมีในภายนอกก็ตาม หยาบหรือละเอียดก็ตาม เลวหรือ ประณีต ก็ตาม อยู่ในที่ไกลหรือในที่ใกล้ก็ตาม นี่เป็นสังขารขันธ์

            วิญญาณอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีต ทั้งที่เป็นอนาคต ทั้งที่เป็น ปัจจุบัน เป็นไปในภายใน หรือมีในภายนอกก็ตาม หยาบหรือละเอียดก็ตาม เลว หรือ ประณีต ก็ตาม อยู่ในที่ไกลหรือในที่ใกล้ก็ตาม นี่เป็นวิญญาณขันธ์

            ดูกรภิกษุขันธ์ทั้งหลาย ย่อมมีชื่อเรียกว่าขันธ์ด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล

3 (ปัจจัยแห่งการบัญญัติ รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาชันนธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์)

            [๑๒๔] ภิ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอแล เป็นเหตุ เป็นปัจจัยแห่งการ บัญญัติ รูปขันธ์ อะไรหนอแล เป็นเหตุ เป็นปัจจัย แห่งการบัญญัติเวทนาขันธ์ อะไรหนอแล เป็นเหตุ เป็นปัจจัย แห่งการบัญญัติ สัญญาขันธ์อะไรหนอแล เป็นเหตุ เป็นปัจจัย แห่งการบัญญัติสังขารขันธ์ อะไรหนอแลเป็นเหตุ เป็นปัจจัย แห่งการบัญญัติ วิญญาณขันธ์

            พ. ดูกรภิกษุ
มหาภูตรูป ๔
เป็นเหตุเป็นปัจจัย แห่งการบัญญัติ รูปขันธ์
ผัสสะ เป็นเหตุเป็นปัจจัย แห่งการบัญญัติ เวทนาขันธ์
ผัสสะ เป็นเหตุเป็นปัจจัย แห่งการ บัญญัติ สัญญาขันธ์
ผัสสะ เป็นเหตุ เป็นปัจจัย แห่งการบัญญัติ สังขารขันธ์
นามรูป เป็นเหตุ เป็นปัจจัย แห่งการบัญญัติ วิญญาณขันธ์

4 (สักกายทิฐิ มี ได้อย่างไร)

            [๑๒๕] ภิ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็สักกายทิฐิ จะมีได้อย่างไร

            พ. ดูกรภิกษุ ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับในโลกนี้ เป็นผู้ไม่ได้เห็นพระอริยะ ไม่ฉลาดในธรรมของพระอริยะ ไม่ได้ฝึกในธรรมของพระอริยะ ไม่ได้เห็นสัตบุรุษ ไม่ฉลาดในธรรมของสัตบุรุษ ไม่ได้ฝึกในธรรมของสัตบุรุษ

ย่อมเล็งเห็นรูปโดยความเป็นอัตตาบ้าง เล็งเห็นอัตตาว่ามีรูปบ้าง เล็งเห็นรูปใน อัตตาบ้าง เล็งเห็นอัตตาในรูปบ้าง

ย่อมเล็งเห็นเวทนาโดยความเป็นอัตตาบ้าง เล็งเห็นอัตตาว่ามีเวทนาบ้าง เล็งเห็น เวทนา ในอัตตาบ้าง เล็งเห็นอัตตาในเวทนาบ้าง

ย่อมเล็งเห็นสัญญาโดยความเป็นอัตตาบ้าง เล็งเห็นอัตตาว่ามีสัญญาบ้าง เล็งเห็น สัญญาในอัตตาบ้างเล็งเห็นอัตตาในสัญญาบ้าง

ย่อมเล็งเห็นสังขารโดยความเป็นอัตตาบ้าง เล็งเห็นอัตตาว่ามีสังขารบ้าง เล็งเห็น สังขารในอัตตาบ้าง เล็งเห็นอัตตาในสังขารบ้าง

ย่อมเล็งเห็นวิญญาณโดยความเป็นอัตตาบ้าง เล็งเห็นอัตตาว่ามีวิญญาณบ้าง เล็งเห็นวิญญาณในอัตตาบ้าง เล็งเห็นอัตตาในวิญญาณบ้าง

            ดูกรภิกษุ อย่างนี้แลสักกายทิฐิจึงมีได้

5 (สักกายทิฐิจะ ไม่มี ได้อย่างไร)

            [๑๒๖] ภิ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สักกายทิฐิจะไม่มีได้อย่างไร

            พ. ดูกรภิกษุ อริยสาวกผู้ได้สดับแล้วในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ได้เห็นพระอริยะ ฉลาดในธรรมของพระอริยะ ฝึกดีแล้วในธรรมของพระอริยะ ได้เห็นสัตบุรุษ ฉลาด ในธรรมของสัตบุรุษ ฝึกดีแล้วในธรรมของสัตบุรุษ

            ย่อมไม่เล็งเห็นรูป โดยความเป็นอัตตาบ้าง ไม่เล็งเห็นอัตตาว่ามีรูปบ้าง ไม่เล็งเห็นรูปในอัตตาบ้าง ไม่เล็งเห็นอัตตาในรูปบ้าง

            ย่อมไม่เล็งเห็นเวทนา โดยความเป็นอัตตาบ้าง ไม่เล็งเห็นอัตตาว่ามี เวทนาบ้าง ไม่เล็งเห็นเวทนาในอัตตาบ้าง ไม่เล็งเห็นอัตตาในเวทนาบ้าง

            ย่อมไม่เล็งเห็นสัญญา โดยความเป็นอัตตาบ้าง ไม่เล็งเห็นอัตตาว่า มีสัญญา บ้าง ไม่เล็งเห็นสัญญาในอัตตาบ้าง ไม่เล็งเห็นอัตตาในสัญญาบ้าง

             ย่อมไม่เล็งเห็นสังขาร โดยความเป็นอัตตาบ้าง ไม่เล็งเห็นอัตตาว่า มีสังขาร บ้าง ไม่เล็งเห็นสังขารในอัตตาบ้าง ไม่เล็งเห็นอัตตาในสังขารบ้าง

            ย่อมไม่เล็งเห็นวิญญาณ โดยความเป็นอัตตาบ้าง ไม่เล็งเห็นอัตตาว่า มีวิญญาณบ้าง ไม่เล็งเห็นวิญญาณในอัตตาบ้าง ไม่เล็งเห็นอัตตาในวิญญาณบ้าง

             ดูกรภิกษุ อย่างนี้แล สักกายทิฐิจึงไม่มี

6 (อะไรเป็นคุณ อะไรเป็นโทษ อะไรเป็นทางสลัดออก)

            [๑๒๗] ภิ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
อะไรหนอแล เป็นคุณเป็นโทษ เป็นทางสลัดออก ในรูป
อะไรเป็นคุณเป็นโทษ เป็นทางสลัดออก ในเวทนา
อะไรเป็นคุณเป็นโทษ เป็นทางสลัดออก ในสัญญา
อะไรเป็นคุณเป็นโทษ เป็นทางสลัดออก ในสังขาร
อะไรเป็นคุณเป็นโทษ เป็นทางสลัดออก ในวิญญาณ

พ. ดูกรภิกษุ
อาการที่สุขโสมนัส
อาศัยรูป เกิดขึ้น นี้เป็นคุณในรูป
อาการที่รูปไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา นี้เป็นโทษในรูป อาการที่กำจัดฉันทราคะ ละฉันทราคะ ในรูปได้ นี้เป็นทางสลัดออกในรูป

อาการที่สุขโสมนัส อาศัยเวทนา เกิดขึ้น นี้เป็นคุณในเวทนา
อาการที่เวทนาไม่เที่ยงเป็นทุกข์ มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา นี้เป็นโทษในเวทนา อาการที่กำจัดฉันทราคะ ละฉันทราคะในเวทนาได้ นี้เป็นทางสลัดออกในเวทนา

อาการที่สุขโสมนัส อาศัยสัญญา เกิดขึ้น นี้เป็นคุณในสัญญา อาการที่สัญญาไม่เที่ยงเป็นทุกข์ มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา นี้เป็นโทษในสัญญา อาการที่กำจัดฉันทราคะ ละฉันทราคะในสัญญาได้ นี้เป็นทางสลัดออกในสัญญา

อาการที่สุขโสมนัส อาศัยสังขาร เกิดขึ้น นี้เป็นคุณในสังขาร อาการที่สังขารไม่เที่ยงเป็นทุกข์ มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา นี้เป็นโทษในสังขาร อาการที่กำจัดฉันทราคะ ละฉันทราคะในสังขารได้ นี้เป็นทางสลัดออกในสังขาร

อาการที่สุขโสมนัส อาศัยวิญญาณ เกิดขึ้น นี้เป็นคุณในวิญญาณ อาการที่วิญญาณไม่เที่ยงเป็นทุกข์ มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา นี้เป็นโทษ ในวิญญาณ
อาการที่กำจัดฉันทราคะ ละฉันทราคะในวิญญาณได้ นี้เป็นทางสลัดออกในวิญญาณ

7 (รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่อัตตาของเรา)

            [๑๒๘] ภิ. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็เมื่อรู้ เมื่อเห็นอย่างไรจึงไม่มีอนุสัย คือ ความถือตัว ว่าเป็นเราว่าของเรา ในกายอันมีวิญญาณนี้ และในนิมิตทั้งหมดใน ภายนอก

            พ. ดูกรภิกษุ
บุคคลเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงดังนี้ว่า
รูปอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีต ทั้งที่เป็นอนาคต ทั้งที่เป็นปัจจุบัน เป็นไป ในภายใน หรือมีในภายนอกก็ตาม หยาบหรือละเอียดก็ตาม เลวหรือประณีตก็ตาม อยู่ในที่ไกล หรือในที่ใกล้ก็ตาม ทั้งหมดนั่น ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่อัตตาของเรา

เห็นด้วยปัญญา อันชอบตามความเป็นจริงดังนี้ว่า
เวทนาอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีต ทั้งที่เป็นอนาคต ทั้งที่เป็นปัจจุบัน เป็นไป ในภายใน หรือมีในภายนอกก็ตาม หยาบหรือละเอียดก็ตาม เลวหรือประณีตก็ตาม อยู่ในที่ไกลหรือในที่ใกล้ก็ตาม ทั้งหมดนั่น ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่อัตตาของเรา

เห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงดังนี้ว่า

สัญญาอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีตทั้งที่เป็นอนาคต ทั้งที่เป็นปัจจุบัน เป็นไป ในภายใน หรือมีในภายนอกก็ตามหยาบ หรือละเอียดก็ตาม เลวหรือประณีตก็ตาม อยู่ในที่ไกลหรือในที่ใกล้ก็ตาม ทั้งหมดนั่น ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่อัตตาของเรา

เห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงดังนี้ว่า
สังขารเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีต ทั้งที่เป็นอนาคต ทั้งที่เป็นปัจจุบัน เป็นไปในภายใน หรือมีในภายนอกก็ตาม หยาบหรือละเอียดก็ตาม เลวหรือประณีต ก็ตาม อยู่ในที่ไกลหรือในที่ใกล้ก็ตาม ทั้งหมดนั่นไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่อัตตา ของเรา

เห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงดังนี้ว่า
วิญญาณอย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีต ทั้งที่เป็นอนาคต ทั้งที่เป็นปัจจุบัน เป็นไป ในภายในหรือมีในภายนอกก็ตาม หยาบหรือละเอียดก็ตามเลวหรือประณีตก็ตาม อยู่ในที่ไกลหรือในที่ใกล้ก็ตาม ทั้งหมดนั่น ไม่ใช่ของเราไม่ใช่เรา ไม่ใช่อัตตา ของเรา

             ดูกรภิกษุ เมื่อรู้ เมื่อเห็น อย่างนี้แล จึงไม่มีอนุสัยคือความถือตัวว่าเป็นเรา ว่าของเรา ในกายอันมีวิญญาณนี้ และในนิมิตทั้งหมดในภายนอก

            [๑๒๙] ลำดับนั้นแล มีภิกษุรูปหนึ่ง เกิดความปริวิตกแห่งใจขึ้นอย่างนี้ว่า จำเริญละ เท่าที่ว่ามานี้ เป็นอันว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณเป็นอนัตตา กรรมที่อนัตตาทำแล้ว จักถูกตนได้อย่างไร

            ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบความปริวิตกแห่งใจ ของภิกษุรูปนั้น ด้วยพระหฤทัย จึงรับสั่งกะภิกษุทั้งหลายว่า

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อที่โมฆบุรุษบางคนในธรรมวินัยนี้ ไม่รู้แล้ว ตกอยู่ใน อวิชชา ใจมีตัณหาเป็นใหญ่ พึงสำคัญคำสั่งสอนของศาสดาอย่างสะเพร่า ด้วยความ ปริวิตกว่าจำเริญละ เท่าที่ว่ามานี้ เป็นอันว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็น อนัตตา กรรมที่อนัตตาทำแล้ว จักถูกตนได้อย่างไร เราจะขอสอบถาม

8 (สิ่งใดไม่เที่ยงสิ่งนั้นเป็นทุกข์ ควรเล็งเห็นว่า นั่นของเรานั่นเรานั่นอัตตาของเรา)

            ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราได้แนะนำพวกเธอในธรรมนั้นๆ แล้วแล พวกเธอจะ สำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน รูป เที่ยงหรือไม่เที่ยง
ภิกษุเหล่านั้นทูลว่า ไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าข้า

พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือสุขเล่า
ภิ. เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าข้า

พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา ควรหรือหนอที่จะเล็งเห็น สิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเรา นั่นอัตตาของเรา
ภิ. ไม่ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า

พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน เวทนาเที่ยงหรือไม่เที่ยง
ภิ. ไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าข้า

พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ หรือเป็นสุขเล่า
ภิ. เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าข้า

พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา ควรหรือหนอที่จะเล็งเห็น สิ่งนั้น ว่า นั่นของเรา นั่นเรา นั่นอัตตาของเรา
ภิ. ไม่ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า

พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน สัญญาเที่ยงหรือไม่เที่ยง
ภิ. ไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าข้า

พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า
ภิ. เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าข้า ฯ

พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา ควรหรือหนอที่จะเล็งเห็น สิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเรา นั่นอัตตาของเรา
ภิ. ไม่ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า

พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน สังขารเที่ยงหรือไม่เที่ยง
ภิ. ไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าข้า

พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า
ภิ. เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าข้า

พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา ควรหรือหนอที่จะเล็งเห็น สิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเรา นั่นอัตตาของเรา
ภิ. ไม่ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า

พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกเธอจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน วิญญาณเที่ยง หรือ ไม่เที่ยง
ภิ. ไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าข้า

พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ หรือเป็นสุขเล่า
ภิ. เป็นทุกข์ พระพุทธเจ้าข้า

พ. ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา ควรหรือหนอที่จะเล็งเห็น สิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเรา นั่นอัตตาของเรา
ภิ. ไม่ควรเลย พระพุทธเจ้าข้า

            พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะเหตุนั้นแล พวกเธอพึงเห็นด้วย ปัญญา อันชอบตามความเป็นจริง ดังนี้ว่า
  รูป อย่างใดอย่างหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีต ทั้งที่เป็นอนาคต ทั้งที่เป็นปัจจุบัน
  เป็นไปในภายใน หรือ มีในภายนอก ก็ตาม
  หยาบ หรือ ละเอียด ก็ตาม
  เลว หรือ ประณีต ก็ตาม
  อยู่ในที่ไกล หรือ ในที่ใกล้ ก็ตาม
ทั้งหมดนั่น ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่อัตตาของเรา

            พึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงดังนี้ว่า เวทนา อย่างใด อย่างหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีต ทั้งที่เป็นอนาคต ทั้งที่เป็นปัจจุบัน เป็นไปในภายใน หรือ มีในภายนอก ก็ตาม หยาบหรือละเอียดก็ตามเลวหรือประณีตก็ตาม อยู่ในที่ไกล หรือ ในที่ใกล้ก็ตาม ทั้งหมดนั่น ไม่ใช่ของเราไม่ใช่เรา ไม่ใช่อัตตาของเรา

            พึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงดังนี้ว่า สัญญา อย่างใด อย่างหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีต ทั้งที่เป็นอนาคต ทั้งที่เป็นปัจจุบัน เป็นไปในภายใน หรือมี ในภายนอก ก็ตาม หยาบหรือละเอียดก็ตาม เลวหรือประณีตก็ตาม อยู่ในที่ไกล หรือในที่ใกล้ก็ตาม ทั้งหมดนั่น ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่อัตตาของเรา

            พึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงดังนี้ว่า สังขาร เหล่าใด เหล่าหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีต ทั้งที่เป็นอนาคต ทั้งที่เป็นปัจจุบัน เป็นไปในภายใน หรือมีในภายนอก ก็ตาม หยาบหรือละเอียดก็ตาม เลวหรือประณีตก็ตาม อยู่ในที่ไกล หรือในที่ใกล้ก็ตาม ทั้งหมดนั่น ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่อัตตาของเรา

            พึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามความเป็นจริงดังนี้ว่า วิญญาณ อย่างใด อย่างหนึ่ง ทั้งที่เป็นอดีต ทั้งที่เป็นอนาคต ทั้งที่เป็นปัจจุบัน เป็นไปในภายใน หรือ มี ในภายนอกก็ตาม หยาบหรือละเอียดก็ตาม เลวหรือประณีตก็ตาม อยู่ในที่ไกล หรือในที่ใกล้ก็ตาม ทั้งหมดนั่น ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่อัตตา ของเรา

            ดูกรภิกษุทั้งหลายอริยสาวกผู้สดับแล้วเห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่าย แม้ในรูป แม้ในเวทนา แม้ในสัญญา แม้ในสังขาร แม้ในวิญญาณ เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมคลาย กำหนัด เพราะคลายกำหนัด จิตย่อมหลุดพ้น เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว ย่อมมีญาณรู้ว่า หลุดพ้นแล้วรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี

9 (ภิกษุ 60 รูป สำเร็จอรหันต์)

            พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระภาษิตนี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นต่างชื่นชมยินดี พระภาษิต ของพระผู้มีพระภาค และเมื่อพระผู้มีพระภาค กำลังตรัสไวยากรณ์ภาษิต นี้อยู่ ภิกษุประมาณ ๖๐ รูป ได้มีจิตหลุดพ้นจากอาสวะ เพราะไม่ถือมั่นแล

จบ มหาปุณณมสูตร ที่ ๙

 






พุทธวจน : อ่านคำสอนพระศาสดา อ่านแบบสบายตา โดยคัดลอกหนังสือทั้งเล่มมาจัดทำเป็นเว็บเพจ (คลิกอ่านพร้อมดาวน์โหลดไฟล์ pdf)
90 90 90 90
พุทธประวัติ ขุมทรัพย์ อริยสัจ
ภาคต้น
อริยสัจ
ภาคปลาย
ปฏิจจ ปฐมธรรม ตถาคต อนาคามี อินทรีย์
สังวร
สัตว์
สัตตานัง
ทาน
สกทาคามี
ฆราวาส
ชั้นเลิศ
มรรควิธี
ที่ง่าย
อริยวินัย เดรัจฉานวิชา กรรม สมถะ
วิปัสสนา
โสดาบัน นา
ปานสติ
จิต มโน
วิญญาณ
ก้าวย่าง
อย่างพุทธะ
ตามรอย
ธรรม
ภพ ภูมิ
พุทธวจน
สาธยาย
ธรรม
สังโยชน์