พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๒๓ หน้าที่ ๓๓๕
นิพพานสูตร
(พระอุทายี ถามพระสารีบุตร ว่า
นิพพานนี้ ไม่มีเวทนา จะเป็นสุขได้
อย่างไร )
[๒๓๘] สมัยหนึ่ง ท่านพระสารีบุตรอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวัน กลันทกนิวาปสถาน
ใกล้พระนครราชคฤห์ ณ ที่นั้นแล ท่านพระสารีบุตรกล่าวกะภิกษุ
ทั้งหลายว่า
ดูกรอาวุโสทั้งหลาย นิพพานนี้เป็นสุข ดูกรอาวุโสทั้งหลาย นิพพาน
นี้เป็นสุข
เมื่อท่านพระสารีบุตรกล่าวอย่างนี้แล้ว ท่านพระอุทายี ได้กล่าวกะท่าน
พระสารีบุตรว่า ดูกรอาวุโสสารีบุตร นิพพานนี้ไม่มีเวทนา จะเป็นสุขได้
อย่างไร
ท่านพระสารีบุตรกล่าวว่า ดูกรอาวุโส นิพพานนี้ไม่มีเวทนานั่นแหละ
เป็นสุข ดูกรอาวุโส กามคุณ ๕ ประการนี้ ๕ ประการเป็นไฉน คือ รูปที่จะพึงรู้แจ้ง ด้วยจักษุ อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ เป็นที่รัก ยั่วยวน ชวนให้กำหนัด เสียงที่จะพึงรู้แจ้ง ด้วยหู ฯลฯ กลิ่นที่จะพึงรู้แจ้งด้วยจมูก ฯลฯ รสที่จะพึง
รู้แจ้งด้วยลิ้น ฯลฯ โผฏฐัพพะ ที่จะพึงรู้แจ้งด้วยกาย อันน่าปรารถนา น่าใคร่
น่าพอใจ เป็นที่รัก ยั่วยวนชวนให้ กำหนัด กามคุณ ๕ ประการนี้แล ดูกรอาวุโส
สุขโสมนัสย่อมเกิดขึ้น เพราะอาศัย กามคุณ ๕ ประการนี้ นี้เรียกว่ากามสุข
ดูกรอาวุโส ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม ฯลฯ บรรลุปฐมฌาน อยู่ ถ้าเมื่อภิกษุนั้น อยู่ด้วยวิหารธรรมข้อนี้ สัญญามนสิการอัน สหรคต* ด้วย กาม ย่อมฟุ้งซ่าน ข้อนั้น เป็นอาพาธของเธอ เปรียบเหมือนความทุกข์พึงเกิดขึ้นแก่บุคคล
ผู้มีความสุข เพียงเพื่อเบียดเบียน ฉันใด สัญญามนสิการอัน สหรคต ด้วย กาม เหล่านั้น ย่อม ฟุ้งซ่านแก่ภิกษุนั้น ข้อนั้นเป็นอาพาธของเธอ ฉันนั้นเหมือนกัน ซึ่งพระผู้มีพระภาค ตรัสเรียกอาพาธนั้นว่า เป็นความทุกข์ ดูกรอาวุโส นิพพาน
เป็นสุขอย่างไร ท่านจะพึงทราบได้โดยปริยาย แม้นี้
* (สหรคต อ่านว่า สะ-หะ-ระ-คด แปลว่า จิตยังมีราคะ คือความกำหนัด)
อีกประการหนึ่ง ภิกษุ บรรลุทุติยฌาน ฯลฯ เพราะวิตกวิจารสงบไป
ถ้าเมื่อภิกษุนั้น อยู่ด้วยวิหารธรรมข้อนี้ สัญญามนสิการอัน สหรคต ด้วย วิตก ย่อม
ฟุ้งซ่าน ข้อนั้น เป็นอาพาธของเธอ เปรียบเหมือนความทุกข์พึงเกิดขึ้นแก่บุคคล
ผู้มีความสุข เพียงเพื่อเบียดเบียน ฉันใด สัญญามนสิการอัน สหรคต* ด้วย วิตก เหล่านั้น ย่อม ฟุ้งซ่าน แก่ภิกษุนั้น ข้อนั้นเป็นอาพาธของเธอ ฉันนั้นเหมือนกัน
ซึ่งพระผู้มีพระภาค ตรัสเรียกอาพาธนั้นว่า เป็นความทุกข์ ดูกรอาวุโส นิพพานเป็นสุขอย่างไร ท่านพึงทราบได้โดยปริยาย แม้นี้
อีกประการหนึ่ง ภิกษุ บรรลุตติยฌาน ฯลฯ ถ้าเมื่อภิกษุนั้นอยู่ด้วยวิหาร
ธรรมข้อนี้ สัญญามนสิการอัน สหรคต ด้วย ปีติ ย่อมฟุ้งซ่าน ข้อนั้นเป็นอาพาธของ
เธอ เปรียบเหมือนความทุกข์พึงเกิดขึ้นแก่บุคคลผู้มีความสุข เพียงเพื่อเบียดเบียน
ฉันใด สัญญามนสิการอัน สหรคต ด้วย ปีติ ย่อมฟุ้งซ่านแก่ภิกษุนั้น ข้อนั้นเป็น
อาพาธของเธอ ฉันนั้นเหมือนกัน ซึ่งพระผู้มีพระภาคตรัสเรียกอาพาธนั้นว่าเป็น
ความทุกข์ ดูกรอาวุโส นิพพานเป็นสุขอย่างไร ท่านพึงทราบได้โดยปริยาย
แม้นี้
อีกประการหนึ่ง ภิกษุ บรรลุจตุตถฌาน ฯลฯ ถ้าเมื่อภิกษุนั้นอยู่ด้วยวิหาร
ธรรมข้อนี้ สัญญามนสิการอัน สหรคต ด้วย อุเบกขา ย่อมฟุ้งซ่าน ข้อนั้นเป็นอาพาธ
ของเธอ เปรียบเหมือนความทุกข์พึงเกิดขึ้นแก่บุคคลผู้มีความสุข เพียงเพื่อเบียด
เบียน ฉันใด สัญญามนสิการอัน สหรคต ด้วย อุเบกขา ย่อมฟุ้งซ่านแก่ภิกษุนั้น
ข้อนั้น เป็นอาพาธของเธอ ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ซึ่งพระผู้มีพระภาคตรัสเรียกอาพาธ
นั้นว่าเป็นความทุกข์ ดูกรอาวุโส นิพพานเป็นสุขอย่างไร ท่านพึงทราบได้โดย
ปริยาย แม้นี้
อีกประการหนึ่ง เพราะล่วงรูปสัญญาโดยประการทั้งปวง ฯลฯ ภิกษุ
บรรลุ อากาสานัญจายตนฌาน โดยคำนึงเป็นอารมณ์ว่า อากาศไม่มีที่สุด ถ้าเมื่อ
ภิกษุนั้น อยู่ด้วยวิหารธรรมข้อนี้ สัญญามนสิการอัน สหรคต ด้วย รูป ย่อมฟุ้งซ่าน ข้อนั้น เป็นอาพาธของเธอ เปรียบเหมือนความทุกข์พึงเกิดขึ้นแก่บุคคลผู้มีความสุข
เพียงเพื่อ เบียดเบียน ฉันใด สัญญามนสิการอัน สหรคต ด้วย รูป ย่อมฟุ้งซ่านแก่
ภิกษุ นั้น ข้อนั้นเป็นอาพาธของเธอ ฉันนั้นเหมือนกัน ซึ่งพระผู้มีพระภาคตรัสเรียก
อาพาธนั้นว่าเป็นความทุกข์ ดูกรอาวุโส นิพพานเป็นสุขอย่างไร ท่านพึงทราบได้โดยปริยาย แม้นี้
อีกประการหนึ่ง ภิกษุ บรรลุวิญญาณัญจายตนฌาน ฯลฯ ถ้าเมื่อภิกษุนั้นอยู่
ด้วยวิหารธรรมข้อนี้ สัญญามนสิการอัน สหรคต ด้วย อากาสานัญจายตนะ ย่อมฟุ้งซ่าน
ข้อนั้นเป็นอาพาธของเธอ เปรียบเหมือนความทุกข์ พึงเกิดขึ้น แก่บุคคลผู้มีความสุข
เพียงเพื่อเบียดเบียน ฉันใด สัญญามนสิการอัน สหรคต ด้วย อากาสานัญจายตนะ ย่อมฟุ้งซ่านแก่ภิกษุนั้น ข้อนั้นเป็นอาพาธของเธอ ฉันนั้น เหมือนกัน ซึ่งพระผู้มี
พระภาคตรัสเรียกอาพาธนั้นว่าเป็นความทุกข์ ดูกรอาวุโส นิพพานเป็นสุขอย่างไร
ท่านพึงทราบโดยปริยาย แม้นี้
อีกประการหนึ่ง ภิกษุ บรรลุอากิญจัญญายตนฌาน ฯลฯ ถ้าเมื่อภิกษุนั้น
อยู่ด้วย วิหารธรรม ข้อนี้ สัญญามนสิการอัน สหรคต ด้วย วิญญาณัญจายตนะ ย่อม
ฟุ้งซ่าน ข้อนั้นเป็นอาพาธของเธอ เปรียบเหมือนความทุกข์พึงเกิดขึ้นแก่บุคคลผู้
มีความสุข เพียงเพื่อเบียดเบียน ฉันใด สัญญามนสิการอัน สหรคต ด้วย วิญญา
นัญจายตนะ ย่อมฟุ้งซ่านแก่ภิกษุนั้น ข้อนั้นเป็นอาพาธของเธอ ฉันนั้นเหมือนกัน
ซึ่งพระผู้มีพระภาค ตรัสเรียกอาพาธนั้นว่าเป็นความทุกข์ ดูกรอาวุโส นิพพานเป็น
สุขอย่างไร ท่านพึงทราบได้โดยปริยาย แม้นี้
อีกประการหนึ่ง ภิกษุ บรรลุเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน ฯลฯ ถ้าเมื่อ
ภิกษุนั้น อยู่ด้วยวิหารธรรมข้อนี้ สัญญามนสิการอัน สหรคต ด้วย อากิญจัญญายตนะ ย่อมฟุ้งซ่าน ข้อนั้นเป็นอาพาธของเธอ เปรียบเหมือนความทุกข์พึงเกิดขึ้นแก่
บุคคล ผู้มีความสุข เพียงเพื่อเบียดเบียน ฉันใด สัญญามนสิการอัน สหรคต ด้วย อากิญจัญญายตนะ ย่อมฟุ้งซ่านแก่ภิกษุนั้น ข้อนั้นเป็นอาพาธของเธอ ฉันนั้น
เหมือนกัน ซึ่งพระผู้มีพระภาคตรัสเรียกอาพาธนั้นว่าเป็นความทุกข์ ดูกรอาวุโส
นิพพานเป็นสุขอย่างไร ท่านพึงทราบได้โดยปริยาย แม้นี้
อีกประการหนึ่ง ภิกษุ บรรลุสัญญาเวทยิตนิโรธ เพราะล่วงเนวสัญญา
นาสัญญายตน ฌาน โดยประการทั้งปวง อาสวะทั้งหลายของเธอสิ้นรอบแล้ว เพราะ
เห็นด้วยปัญญา ดูกรอาวุโส นิพพานเป็นสุขอย่างไร ท่านพึงทราบได้โดยปริยาย
แม้นี้
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๓ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๕
อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาต
|