เว็บไซต์ อนาคามี เผยแพร่ พุทธวจน คำสอนของพระศาสดา คำสอนตถาคต รวมพระสูตรสำคัญ อนาคามี เว็บไซต์เผยแพร่คำสอนของพระพุทธเจ้า
ค้นหาคำที่ต้องการ            

 
 บุคคล ๔ จำพวก เป็นไฉน (รวม ๒๐ จำพวก) 1319
 

(โดยย่อ)

บุคคล ๔ จำพวก เป็นไฉน

(จำพวกที่ ๑)
(๑) ยังละโอรัมภาคิยสังโยชน์ ไม่ได้ (สกทาคามี)
ยังละสังโยชน์ เพื่อให้ได้ อุบัติ ไม่ได้ … ยังละสังโยชน์ เพื่อให้ได้ ภพ ไม่ได้

(๒) ละโอรัมภาคิยสังโยชน์ ได้ (อนาคามี)
ยังละสังโยชน์ เพื่อให้ได้ อุบัติ ไม่ได้... ยังละสังโยชน์ เพื่อให้ได้ ภพ ไม่ได้

(๓) ละโอรัมภาคิยสังโยชน์ ได้ (อนาคามี ผู้อันตราปรินิพพายี-สะเก็ดไฟลอยและดับในอากาศ)
ละสังโยชน์ เพื่อให้ได้ อุบัติ ได้ ...ยังละสังโยชน์ เพื่อให้ได้ ภพ ไม่ได้

(๔) ละโอรัมภาคิยสังโยชน์ ได้  (อรหันตขีณาสพ-ไม่มีสะเก็ดไฟ)
ละสังโยชน์ เพื่อให้ได้ อุบัติ ได้ …ละสังโยชน์ เพื่อให้ได้ ภพ ได้


(จำพวกที่ 2 - 10)
2) ผู้ฉลาดผูกไม่ฉลาดแก้ ฉลาดแก้ ไม่ฉลาดผูก ฉลาดทั้งผูก-ทั้งแก้  ไม่ฉลาดทั้งผูก-ทั้งแก้

3) รู้ธรรมแต่หัวข้อ รู้ธรรมเมื่ออธิบาย พอแนะนำได้ ผู้มีบทเป็นอย่างยิ่ง
4) ดำรงชีพด้วยความหมั่น..ด้วยผลของกรรม ..ด้วยผลความหมั่นก็ไม่ใช..่ ด้วยผลของกรรมก็ไม่ใช่
5) บุคคลผู้มีโทษ บุคคลผู้มากด้วยโทษ  บุคคลผู้มีโทษน้อย  บุคคลผู้หาโทษมิได้
6) ไม่บริบูรณ์ศีลสมาธิปัญญา..บ.ศีลไม่สมาธิไม่ปัญญา..บ.ศีลสมาธิ-ไม่ปัญญา..บ.ศีลสมาธิปัญญา
7) ไม่หนักในศีล-ไม่มีศีลเป็นใหญ่.ไม่หนักสมาธิ-ปัญญา..หนักในศีล-สมาธิ หนักปัญญา-ปัญญาใหญ่
8) จิตไม่ออก-กายไม่ออก... จิตออก-กายไม่ออก.. จิตยังไม่ออก-กายออก.. กายออก-จิตออก
9) กล่าวธรรมน้อยได้ประโยชน์-ไม่ได้ประโยชน์ กล่าวมากได้ประโยชน์-ไม่ได้ประโยชน์
10) นักพูดย่อมจำนน-โดยอรรถโดยพยัญชนะ ไม่จำนวนโดยอรรถ-โดยพยัญชนะ

เรื่องสำคัญของพระพุทธเจ้า
การบำเพ็ญบารมีในอดีตชาติ
การประสูติ แสงสว่าง แผ่นดินไหว
แสวงหาสัจจะบำเพ็ญทุกรกิริยา
ปัญจวัคคีย์หลีก สิ่งที่ตรัสรู้
ตรัสรู้ แสดงเทศนาปัญจวัคคีย์
ปลงสังขาร ปรินิพพาน
ลำดับขั้นการปรินิพพาน
เทวดาแสดงฤทธิ์ขณะถวายเพลิง
แบ่งพระสรีระออกเป็น ๘ ส่วน
รวมพระสูตร
พระโมคคัลลานะ
พระสารีบุตร
พระเทวทัต
นิครนถ์ปริพาชก
พระมหากัปปินะ
(ดูทั้งหมด)

 

พระไตรปิฎกเล่มที่ ๒๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๓

บุคคล ๔ จำพวก เป็นไฉน


               [๑๓๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลก ๔ จำพวกเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย

(จำพวกที่ 1)

      (๑) บุคคลบางคนในโลกนี้
ยังละโอรัมภาคิยสังโยชน์
(สังโยชน์เบื่องต่ำ) ไม่ได้
ยังละสังโยชน์ อันเป็นปัจจัย เพื่อให้ได้ อุบัติ (การเกิด) ไม่ได้
ยังละสังโยชน์ อันเป็นปัจจัย เพื่อให้ได้ ภพ (ผืนนา) ไม่ได้

      (๒) อนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้
ละโอรัมภาคิยสังโยชน์ ได้
แต่ยังละสังโยชน์ อันเป็นปัจจัย เพื่อให้ได้ อุบัติ ไม่ได้
ยังละสังโยชน์ อันเป็นปัจจัยเพื่อให้ได้ ภพ ไม่ได้

      (๓) อนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้
ละโอรัมภาคิยสังโยชน์ ได้
ละสังโยชน์ อันเป็นปัจจัยเพื่อให้ได้ อุบัติ ได้
แต่ยังละสังโยชน์ อันเป็นปัจจัยเพื่อให้ได้ ภพ ไม่ได้

       (๔) อนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้
ละโอรัมภาคิยสังโยชน์ ได้
ละสังโยชน์ อันเป็นปัจจัยเพื่อให้ได้ อุบัติ ได้
ละสังโยชน์ อันเป็นปัจจัย เพื่อให้ได้ ภพ ได้

        ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลจำพวกไหน ยังละโอรัมภาคิยสังโยชน์ไม่ได้ ยังละสังโยชน์ อันเป็นปัจจัย เพื่อให้ได้อุบัติไม่ได้ ยังละสังโยชน์ อันเป็นปัจจัย เพื่อให้ได้ภพไม่ได้ คือ พระสกทาคามี (๑)
        ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลนี้แล ยังละโอรัมภาคิยสังโยชน์ไม่ได้ ยังละสังโยชน์ อันเป็นปัจจัย เพื่อให้ได้อุบัติไม่ได้ ยังละสังโยชน์อันเป็นปัจจัย เพื่อให้ได้ภพไม่ได้

        ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลจำพวกไหน ละโอรัมภาคิยสังโยชน์ได้ แต่ยังละ สังโยชน์ อันเป็นปัจจัย เพื่อให้ได้อุบัติไม่ได้ ยังละสังโยชน์อันเป็นปัจจัย เพื่อให้ได้ ภพ ไม่ได้ คือ พระอนาคามี (๒) ผู้มีกระแสในเบื้องบน ไปสู่อกนิฏฐภพ
         ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลนี้แล ละโอรัมภาคิยสังโยชน์ได้ แต่ยังละสังโยชน์ อันเป็นปัจจัยเพื่อให้ได้ อุบัติไม่ได้ ยังละสังโยชน์อันเป็นปัจจัยเพื่อให้ได้ภพไม่ได้

        ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลจำพวกไหน ละโอรัมภาคิยสังโยชน์ได้ละสังโยชน์ อันเป็นปัจจัย เพื่อให้ได้อุบัติได้ แต่ยังละสังโยชน์อันเป็นปัจจัยเพื่อให้ได้ภพไม่ได้ คือ พระอนาคามีผู้ อันตราปรินิพพายี (๓)
         ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลนี้แล ละโอรัมภาคิยสังโยชน์ได้ ละสังโยชน์อันเป็น ปัจจัย เพื่อให้ได้อุบัติได้แต่ยังละ สังโยชน์อันเป็นปัจจัยเพื่อให้ได้ภพไม่ได้


         ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลจำพวกไหน ละโอรัมภาคิยสังโยชน์ ได้ละสังโยชน์ อันเป็นปัจจัย เพื่อให้ได้อุบัติได้ ละสังโยชน์อันเป็นปัจจัย เพื่อให้ได้ภพได้ คือ พระอรหันตขีณาสพ (๔)
         ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลนี้แล ละโอรัมภาคิยสังโยชน์ได้ ละสังโยชน์อันเป็น ปัจจัย เพื่อให้ได้ อุบัติได้ ละสังโยชน์อันเป็นปัจจัยเพื่อให้ได้ภพได้

ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้แล มีปรากฏ อยู่ในโลก
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

(จำพวกที่ 2)


          [๑๓๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลก๔ จำพวกเป็นไฉน คือ
   บุคคลผู้ฉลาดผูกไม่ฉลาดแก้ ๑
   ฉลาดแก้ไม่ฉลาดผูก ๑
   ฉลาดทั้งผูกฉลาดทั้งแก้ ๑
   ไม่ฉลาดทั้งผูกไม่ฉลาดทั้งแก้ ๑

ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้แล มีปรากฏอยู่ในโลก

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

(จำพวกที่ 3)

               [๑๓๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลก๔ จำพวกเป็นไฉน คือ
   อุคฆฏิตัญญู ผู้อาจรู้ธรรมแต่พอท่านยกหัวข้อขึ้นแสดง ๑
   วิปจิตัญญู ผู้อาจรู้ธรรม ต่อเมื่อท่านอธิบาย ความแห่งหัวข้อนั้น ๑
   เนยยะผู้พอ แนะนำได้ ๑
   ปทปรมะ ผู้มีบทเป็นอย่างยิ่ง ๑

ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวก นี้แล มีปรากฏอยู่ในโลก
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

(จำพวกที่ 4)

               [๑๓๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้แล มีปรากฏอยู่ในโลก๔ จำพวกเป็นไฉน คือ
บุคคลผู้ดำรงชีพด้วยผลของความหมั่น ไม่ใช่ดำรงชีพด้วยผล ของกรรม ๑
บุคคลผู้ดำรงชีพ ด้วยผลของกรรม ไม่ใช่ดำรงชีพด้วยผลของความหมั่น ๑
บุคคลผู้ดำรงชีพด้วยผลของความหมั่น ทั้งดำรงชีพด้วยผลของกรรม ๑
บุคคล ผู้ดำรงชีพด้วยผลของความหมั่นก็ไม่ใช่ ดำรงชีพด้วย ผลของกรรมก็ไม่ใช่ ๑

ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้แล มีปรากฏอยู่ในโลก
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

(จำพวกที่ 5)

               [๑๓๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลก
๔ จำพวกเป็นไฉน คือ
   บุคคลผู้มีโทษ ๑
   บุคคลผู้มากด้วยโทษ ๑
   บุคคลผู้มีโทษน้อย ๑
   บุคคลผู้หาโทษมิได้ ๑


        ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลเป็นผู้มีโทษอย่างไร บุคคลบางคน ในโลกนี้ เป็นผู้ประกอบด้วยกายกรรม อันมีโทษ เป็นผู้ประกอบด้วยวจีกรรมอันมีโทษ เป็นผู้ประกอบด้วย มโนกรรมอันมีโทษ

        ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลเป็นผู้มีโทษอย่างนี้แล ก็บุคคลเป็นผู้มากด้วยโทษ อย่างไร บุคคล บางคนในโลกนี้ เป็นผู้ประกอบด้วยกายกรรม วจีกรรม และ มโนกรรม อันมีโทษเป็นส่วนมาก ที่หาโทษมิได้เป็นส่วนน้อย

        ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลเป็นผู้มาก ด้วยโทษอย่างนี้แล ก็บุคคลเป็นผู้ มีโทษน้อยอย่างไร บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ประกอบด้วยกายกรรม วจีกรรม และมโนกรรม อันไม่มีโทษเป็นส่วนมาก ที่มีโทษเป็นส่วนน้อย

        ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลเป็นผู้มีโทษน้อยอย่างนี้แล ก็บุคคลเป็นผู้หาโทษ มิได้อย่างไร บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ประกอบด้วยกายกรรม วจีกรรม และ มโนกรรม อันหาโทษมิได้

         ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลเป็นผู้หาโทษมิได้อย่างนี้แล

         ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้แล มีปรากฏอยู่ในโลก

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

(จำพวกที่ 6)

                [๑๓๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลก
๔ จำพวกเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย

         บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ไม่กระทำให้ บริบูรณ์ ในศีล ไม่กระทำให้บริบูรณ์ ในสมาธิ ไม่กระทำให้บริบูรณ์ ในปัญญา

         อนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล แต่ไม่กระทำให้ บริบูรณ์ ในสมาธิ ไม่กระทำให้บริบูรณ์ในปัญญา

        อนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล กระทำให้บริบูรณ์ ในสมาธิ แต่ไม่กระทำให้บริบูรณ์ในปัญญา

        อนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล กระทำให้บริบูรณ์ ในสมาธิ กระทำให้บริบูรณ์ในปัญญา 

        ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล๔ จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลก

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

(จำพวกที่ 7)

               [๑๓๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลก ๔ จำพวกเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย
         บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้ไม่หนักในศีล ไม่มีศีลเป็นใหญ่ เป็นผู้ไม่หนัก ใน สมาธิ ไม่มีสมาธิเป็นใหญ่ เป็นผู้ไม่หนักในปัญญา ไม่มีปัญญาเป็นใหญ่

        อนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้หนักในศีล มีศีลเป็นใหญ่ แต่เป็นผู้ไม่หนัก ในสมาธิ ไม่มีสมาธิเป็นใหญ่ เป็นผู้ไม่หนักในปัญญา ไม่มีปัญญาเป็นใหญ่

        อนึ่ง บุคคล บางคนในโลกนี้ เป็นผู้หนักในศีล มีศีลเป็นใหญ่ เป็นผู้หนักใน สมาธิ มีสมาธิ เป็นใหญ่ แต่เป็นผู้ไม่หนักในปัญญา ไม่มีปัญญาเป็นใหญ่

        อนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้หนักในศีล มีศีลเป็นใหญ่ เป็นผู้หนัก ในสมาธิ มีสมาธิ เป็นใหญ่ เป็นผู้หนักในปัญญา มีปัญญาเป็นใหญ่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้แลมีปรากฏ อยู่ในโลก
-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


(จำพวกที่ 8)

               [๑๓๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้ มีปรากฏอยู่ในโลก ๔ จำพวกเป็นไฉน คือ บุคคลมีกายออกไปแล้ว
   มีจิตยังไม่ออก ๑
   มีกายยังไม่ออก
   มีจิตออกไปแล้ว ๑
   มีกายยังไม่ออกด้วยมีจิตยังไม่ออกด้วย ๑
   มีกายออกไปแล้วด้วย มีจิตออกไปแล้วด้วย ๑

        ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลเป็นผู้มีกายออกไปแล้ว มีจิตยังไม่ออกไปอย่างไร บุคคลบางคน ในโลกนี้ เสพเสนาสนะอันสงัดคือ ป่าและราวป่า เขาตรึกถึง กามวิตกบ้าง ตรึกถึงพยาบาทวิตกบ้าง ตรึกถึงวิหิงสาวิตกบ้าง ในเสนาสนะนั้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลเป็นผู้มีกายออกไปแล้ว มีจิต ยังไม่ออกอย่างนี้แล

        ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลเป็นผู้มีกายยังไม่ออกไปมีจิตออกไปอย่างไร บุคคลบางคนในโลกนี้ ไม่เสพเสนาสนะอันสงัด คือป่าและราวป่า เขาตรึกถึง เนกขัมมวิตกบ้าง อัพยาบาทวิตกบ้าง อวิหิงสาวิตกบ้างในที่นั้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลเป็นผู้มีกายยังไม่ออกไป มีจิตออกไปแล้ว อย่างนี้แล

        ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลเป็นผู้มีกายยังไม่ออกด้วย มีจิตยังไม่ออกด้วย อย่างไร บุคคล บางคน ในโลกนี้ ไม่เสพเสนาสนะอันสงัด คือ ป่าและราวป่า เขาตรึกถึงกามวิตกบ้าง ตรึกถึง พยาบาทวิตกบ้าง ตรึกถึงวิหิงสาวิตกบ้าง ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลเป็นผู้มีกายยังไม่ออกด้วย มีจิตยังไม่ออกด้วยอย่างนี้แล

        ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็บุคคลเป็นผู้มีกายออกไปแล้วด้วย มีจิตออกไปแล้ว ด้วยอย่างไร บุคคล บางคนในโลกนี้ เสพเสนาสนะอันสงัด คือ ป่าและราวป่าเขาตรึก ถึงเนกขัมมวิตกบ้าง อัพยาบาทวิตก บ้าง อวิหิงสาวิตกบ้าง ในเสนาสนะนั้น

        ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลเป็นผู้มีกายออกไปแล้วด้วย มีจิตออกไปแล้ว ด้วยอย่างนี้แล ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคล ๔ จำพวกนี้แล มีปรากฏอยู่ในโลก

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

(จำพวกที่ 9)

                [๑๓๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมกถึก ๔ จำพวกนี้ ๔ จำพวกเป็นไฉน ดูกรภิกษุทั้งหลาย

        ธรรมกถึกบางคนในโลกนี้ กล่าวธรรมน้อยและไม่ประกอบด้วย ประโยชน์ ทั้งบริษัทก็เป็นผู้ไม่ฉลาด ต่อประโยชน์และมิใช่ประโยชน์ ธรรมกถึก เห็นปานนี้ ย่อมถึงการนับว่า เป็นธรรมกถึกสำหรับบริษัท เห็นปานนั้น

        อนึ่งธรรมกถึกบางคนในโลกนี้ ย่อมกล่าวธรรมน้อย และประกอบด้วยประโยชน์ ทั้งบริษัท ก็เป็นผู้ฉลาดต่อประโยชน์และมิใช่ประโยชน์ ธรรมกถึกเห็นปานนี้ ย่อมถึงการนับว่า เป็นธรรมกถึก สำหรับบริษัทเป็นปานนั้น

        อนึ่ง ธรรมกถึกบางคนในโลกนี้ ย่อมกล่าวธรรมมาก แต่ไม่ประกอบด้วย ประโยชน์ ทั้งบริษัท ก็เป็นผู้ไม่ฉลาดต่อประโยชน์และมิใช่ประโยชน์ ธรรมกถึก เห็นปานนี้ ย่อมถึงการนับว่า เป็นธรรมกถึก สำหรับบริษัทเห็นปานนั้น

        อนึ่ง ธรรมกถึกบางคนในโลกนี้ ย่อมกล่าวธรรมมากและประกอบด้วยประโยชน์ ทั้งบริษัทก็เป็น ผู้ฉลาดต่อประโยชน์และมิใช่ประโยชน์ ธรรมกถึกเห็นปานนี้ ย่อมถึงการนับว่า เป็นธรรมกถึกสำหรับ บริษัทเห็นปานนั้น ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมกถึก ๔ จำพวกนี้แล

-------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

(จำพวกที่ 10)

                [๑๔๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย นักพูด ๔ จำพวกนี้ ๔ จำพวกเป็นไฉน นักพูดย่อมจำนนโดยอรรถ แต่ไม่จำนนโดยพยัญชนะก็มี
นักพูดจำนนโดยพยัญชนะ แต่ไม่จำนนโดยอรรถก็มี
นักพูดจำนนทั้งโดยอรรถ ทั้งโดยพยัญชนะก็มี
นักพูดไม่จำนนทั้งโดยอรรถ ทั้งโดยพยัญชนะก็มี

ดูกรภิกษุทั้งหลาย นักพูด ๔ จำพวกนี้แล

         ดูกรภิกษุทั้งหลาย ข้อที่ภิกษุผู้ประกอบด้วย ปฏิสัมภิทา ๔ พึงถึงความ จำนนโดยอรรถ หรือโดยพยัญชนะ นี้ไม่ใช่ฐานะ ไม่ใช่โอกาส


 






พุทธวจน : อ่านคำสอนพระศาสดา อ่านแบบสบายตา โดยคัดลอกหนังสือทั้งเล่มมาจัดทำเป็นเว็บเพจ (คลิกอ่านพร้อมดาวน์โหลดไฟล์ pdf)
90 90 90 90
พุทธประวัติ ขุมทรัพย์ อริยสัจ
ภาคต้น
อริยสัจ
ภาคปลาย
ปฏิจจ ปฐมธรรม ตถาคต อนาคามี อินทรีย์
สังวร
สัตว์
สัตตานัง
ทาน
สกทาคามี
ฆราวาส
ชั้นเลิศ
มรรควิธี
ที่ง่าย
อริยวินัย เดรัจฉานวิชา กรรม สมถะ
วิปัสสนา
โสดาบัน นา
ปานสติ
จิต มโน
วิญญาณ
ก้าวย่าง
อย่างพุทธะ
ตามรอย
ธรรม
ภพ ภูมิ
พุทธวจน
สาธยาย
ธรรม
สังโยชน์