เว็บไซต์ อนาคามี เผยแพร่คำพระศาสดา เผยแพร่คำสอนตถาคต เว็บไซต์เผยแพร่พระสุตรคำสอนของพระพุทธเจ้า คลิปคำสอน คลิปสาธยายธรรม
  
หนังสือพุทธวจนออนไลน์   ดูหนังสือทั้งหมด
90 90 90 90 90
 
พุทธประวัติ ขุมทรัพย์
อริยสัจ
ภาคต้น
อริยสัจ
ภาคปลาย
ปฏิจจ ปฐมธรรม ตถาคต อนาคามี อินทรีย์
สังวร
สัตว์
สัตตานัง
ทาน
สกทาคามี
ฆราวาส
ชั้นเลิศ
มรรควิธี
ที่ง่าย
 
   
อริยวินัย เดรัจฉานวิชา กรรม สมถะ
วิปัสสนา
โสดาบัน อานา
ปานสติ
จิต มโน
วิญญาณ
ก้าวย่าง
อย่างพุทธะ
ตามรอย
ธรรม
ภพ ภูมิ
พุทธวจน
สาธยาย
ธรรม
สังโยชน์  
   
ค้นหาคำที่ต้องการ          

  อริยวินัย พุทธวจน   ดาวน์โหลดหนังสือ(ไฟล์ PDF)
ออกไปหน้าสารบาญ > หน้า1 หน้า2 หน้า3 หน้า4 หน้า5 หน้า6 หน้า7 หน้า8 หน้า9 หน้า10 หน้า11 หน้า12 หน้า13
วินัยสงฆ์ (ศีล ๒๒๗)
 
 


ศีล ๒๒๗

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี

              พระวินัย ๒๒๗ ข้อ ของพระ เป็นกฎหมายหรือข้อห้ามของพระภิกษุสงฆ์เถรวาท ตามพระวินัย บัญญัติ จัดอยู่ในส่วน อาทิพรหมจาริยกาสิกขา พระวินัย ๒๒๗ บทในพระ ปาฏิโมกข์ ที่พระพุทธเจ้า ทรงวางข้อกำหนด ไม่พึงละเมิดไว้เพื่อความเป็นระเบียบ เรียบร้อยของ คณะ สงฆ์ และเพื่อเป็นข้อปฏิบัติพื้นฐาน อันเอื้อเฟื้อต่อการประพฤติพรหมจรรย์ ของพระภิกษุสงฆ์ มีโทษในการล่วง ละเมิดร้ายแรงที่สุดถึงปาราชิก หรือขาดจากความเป็นพระสงฆ์

              พระวินัย ๒๒๗ ไม่ใช่ศีล แต่เรียกว่า พระวินัย ผู้ทำผิดศีลเรียกว่า ล่วงพระวินัย เป็น อาบัติ ระดับชั้นต่าง ๆ ตามความหนักเบา สามารถแบ่งระดับอาบัติออกได้เป็นลำดับขั้น ตั้งแต่ขั้น รุนแรง จนกระทั่งเบาที่สุด ในอาบัติระดับเบาจะต้องมีการเผยความผิด อาบัติ ระดับเบาเช่น ปาจิตตีย์ สามารถแก้ได้โดยกล่าวแสดงความผิดของตน กับพระภิกษุรูปอื่นเพื่อ เป็นการแสดง ถึง ความสำนึก ผิด และเพื่อจะตั้งใจประพฤติตนใหม่ หรือที่เรียกว่า การแสดงอาบัติ, ปลงอาบัติ แต่ถ้าถึงขั้น ปาราชิกย่อมขาด จากความเป็นพระ และไม่สามารถบวชเป็นพระสงฆ์ได้อีก ซึ่งพระวินัย ไม่ใช่ศีล แต่เป็นเสมือนกฎหมายของพระภิกษุ แต่หากจะกล่าวถึงศีลพระนั้น มีเพียง ๔๓ ข้อ คือ จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล จึงจะเป็นศีลพระที่แท้จริงตามพุทธบัญญัติ

 

คำเรียกศีล

ระดับอาบัติ

คำเรียกอาบัติ

การแก้อาบัติ

  ปาราชิก (๔)

ครุกาบัติ

 ปาราชิก

 ขาดจากความเป็นพระเมื่อล่วงศีล  (ไม่สามารถแก้ได้)

  สังฆาทิเสส (๑๓)

ครุกาบัติ

สังฆาทิเสส

 อยู่ปริวาสกรรมเพื่อสำนึกผิด

  อนิยต (๒)

ครุกาบัติ, ลหุกาบัติ ตามแต่กรณี

 เป็นได้ทั้งปาราชิก, สังฆาทิเสส และปาจิตตีย์ ตามแต่กรณี

 ขาดจากความเป็นพระ,  อยู่ปริวาสกรรม หรือปลงลหุกาบัติ

 นิสสัคคิยปาจิตตีย์ (๓๐)

ลหุกาบัติ

 นิสสัคคิยปาจิตตีย์

 สละวัตถุอาบัติและปลงลหุกาบัติ,  สละวัตถุอาบัติ, ปลงลหุกาบัติ

  ปาจิตตีย์ (๙๒)

ลหุกาบัติ

 ปาจิตตีย์

 ปลงลหุกาบัติ

  ปาฏิเทสนียะ (๔)

ลหุกาบัติ

 ปาฏิเทสนียะ

 ปลงลหุกาบัติ

  เสขิยวัตร (๗๕) *

ลหุกาบัติ

 ทุกกฎ

 ปลงลหุกาบัติ

  อธิกรณสมถะ (๗)

-

-

 (วิธีระงับอธิกรณ์)

รวม ๒๒๗

 

 

 


*
พระไตรปิฏกทุกสำนักในประเทศไทย ไม่นับเอา เสขียวัตร (๗๕ ข้อ) มาเป็นบทสวดปาติโมกข์
แต่วินัยสงฆ์(ของไทย)ได้นับรวมเข้าไปด้วย ทำให้บทสวดปาติโมกข์ทุกกึ่งเดือนตามพระไตรปิฎก จาก๑๕๐ ข้อ เป็น ๒๒๗ ข้อ ซึ่งเป็นวินัยสงฆ์ ที่แปลกแยกไปจาพระไตรปิฏกทั้งของไทย ของประเทศต่างๆ ที่มีสิกขาบท ๑๕๐ ข้อ


ปาราชิก
(๔ ข้อ)

ปาราชิก คือประเภทของโทษที่เกิดจากการล่วงละเมิดสิกขาบทประเภท ครุกาบัติที่เรียกว่า อาบัติปาราชิกคำศัพท์ว่า ปาราชิกนั้น แปลว่า ยังผู้ต้องพ่าย หมายถึง ผู้ต้องพ่ายแพ้ในตัวเอง ที่ไม่สามารถปฏิบัติ ในพระธรรมวินัยที่พระพุทธเจ้าทรงประทานไว้ให้ได้

ปาราชิก มี ๔ ข้อ อยู่ใน ศีล ๒๒๗ ได้แก่

๑. เสพเมถุน แม้กับสัตว์เดรัจฉาน (ร่วมสัมพันธ์ทางเพศกับมนุษย์ หรืออมนุษย์ หรือสัตว์ แม้แต่ ซากศพก็ไม่ละเว้น)
๒. ถือเอาทรัพย์ที่เจ้าของ ไม่ได้ให้ มาเป็นของตน จากบ้านก็ดี จากป่าก็ดี (ขโมย) ได้ราคา ๕ มาสก (๕ มาสกเท่ากับ ๑ บาท)
๓. พรากกายมนุษย์จากชีวิต (ฆ่าคน) แสวงหา และใช้เครื่องมือกระทำเอง หรือจ้างวานฆ่าคน หรือพูดพรรณาคุณแห่งความตาย ให้คนนั้น ๆ ยินดีที่จะตาย (โดยมีเจตนาหวังให้ตาย)ไม่เว้นแม้แต่การแท้งเด็กในครรภ์
๔. กล่าวอวดอุตริมนุสธรรมที่ไม่จริง อันเป็นความเห็นอย่างประเสริฐ อย่างสามารถ น้อมเข้าใน ตัวเองว่า เรารู้อย่างนี้ เราเห็นอย่างนี้ (ไม่รู้จริง แต่โอ้อวดความสามารถของตัวเอง) ยกเว้น เข้าใจตัวเอง ผิดอาบัติปาราชิกทั้ง ๔ นี้เป็นอาบัติหนักที่เรียกว่า อเตกิจฉา คือแก้ไขไม่ได้เลย

โทษของอาบัติปาราชิก

              พระภิกษุต้องอาบัติปาราชิกสี่ข้อใดข้อหนึ่ง แม้จะไม่กล่าวลาสิกขาบท ก็ถือว่าขาดจาก ความ เป็นพระภิกษุทันที เมื่อความผิดสำเร็จ เมื่อขาดจากความเป็นพระแล้ว ก็ถือว่าไม่ใช่พระ ภิกษุอีกต่อไป ไม่สามารถอยู่ร่วมกับภิกษุอื่นหรือคณะหมู่สงฆ์ได้เลย ต้องลาสิกขาบท ออกจาก เป็นพระภิกษุทันที มิฉะนั้นจะกลายเป็นพวกอลัชชี (แปลว่า ผู้ไม่ละอาย)
              นอกจากนั้น จะไม่ สามารถกลับเข้ามาบวชใหม่ ได้เลยตลอดชีวิต แม้จะบวชเข้ามาได้ ก็ไม่ใช่พระภิกษุ ที่ถูกต้อง ตามพระธรรมวินัย และไม่อาจเจริญในพระธรรมวินัย จนไม่สามารถบรรลุ มรรคผลนิพพานใด ๆ เลยตลอดชีวิต (เพียงชาติที่ยังมีชีวิตอยู่เท่านั้น) เพราะเป็นมูลเฉทคือ ตัดรากเหง้า เปรียบ เสมือนคนถูกตัดศีรษะ เป็นตาลยอดด้วน แต่ว่าไม่ห้ามขึ้นสวรรค์ ซึ่งแตกต่างกับ อนันตริยกรรม ที่ห้ามทั้งสวรรค์และนิพพาน เพราะอาบัติปาราชิกนั้นมีไว้สำหรับ เพศบรรชิต
               ถ้าพระภิกษุผู้ต้อง อาบัติปาราชิกนั้นสำนึกผิด และลาสิกขาบทออกจากเป็นพระภิกษุ แล้วทำบุญ กุศล แล้วตายไป ก็จะสามารถขึ้นสวรรค์ได้ แต่ถ้ายังดื้อด้านไม่ยอมลาสิกขาบท และ ครองอยู่ใน ผ้าเหลืองจนตาย ตายไปต้องตกนรกที่ลึกที่สุดคือ มหาขุมนรกอเวจี

อกรณียกิจ ๔
              นอกจากอาบัติปาราชิกทั้ง 4 ที่มีอยุ่ในพระวินัยนี้แล้ว ยังมีคำสอนต้องห้ามสำหรับ พระภิกษุ ที่เหมือนกับอาบัติปาราชิกซึ่งก็คือ อกรณียกิจ 4 คิอกิจที่สมณะไม่ควรทำ ซึ่งอยู่ในส่วน ของ คำสอนอนุศาสน์ 8 ประการ่ ภิกษุผู้เป็นอุปัชฌาย์จะต้องมีหน้าที่บอกอกรณียกิจ 4 ประการแก่ กุลบุตรผุ้ที่กำลังจะเข้ามาบวชเป็นพระภิกษุใหม่ทันที เพราะมันล่อแหลมทำให้ต้องอาบัติง่ายๆ จนขาดจากความเป็น พระภิกษุ ทันที และนอกจากนี้ยังเป็นสิ่งที่คอยระลึกเตือนใจ ภิกษุเก่า ผู้บวชมาก่อนว่าสิ่งนั้นทั้งสี่ข้อไม่ควรทำ



สังฆาทิเสส (๑๓ ข้อ)

              สังฆาทิเสสคือประเภทของโทษที่เกิดจากการล่วงละเมิดสิกขาบทประเภท ครุกาบัติ ที่เรียกว่า อาบัติสังฆาทิเสส จัดเป็นอาบัติโทษรุนแรงรองจากปาราชิก มีทั้งหมด 13 ประการดังนี้

๑. ทำน้ำอสุจิเคลื่อน
๒. แตะต้องสัมผัสกายสตรี
๓. พูดเกี้ยวพาราสีสตรี
๔. พูดจาให้สตรีบำเรอกามให้
๕. ทำตัวเป็นพ่อสื่อ
๖. สร้างกุฏิด้วยการขอ
๗. มีเจ้าภาพสร้างกุฏิให้แต่ไม่ให้สงฆ์แสดงที่ก่อน
๘. ใส่ความว่าปาราชิกโดยไม่มีมูล
๙. แกล้งสมมติแล้วใส่ความว่าปาราชิกโดยไม่มีมูล
๑๐. ทำสงฆ์แตกแยก(สังฆเภท)
๑๑. เข้าข้างภิกษุที่ทำสงฆ์แตกแยก
๑๒. ภิกษุทำตนเป็นคนหัวดื้อ
๑๓. ประจบสอพลอคฤหัสถ์

              คำว่าสังฆาทิเสสแปลว่าอาบัติที่ต้องอาศัยสงฆ์ในกรรมเบื้องต้นและกรรมที่เหลือ กล่าวคือเมื่อภิกษุต้องอาบัติดังกล่าวแล้ว ต้องแจ้งแก่สงฆ์ ๔ รูปเพื่อขอประพฤติวัตรที่ชื่อมานัต เมื่อสงฆ์อนุญาตแล้วจึงประพฤติวัตรดังกล่าวเป็นเวลา ๖ คืน เมื่อพ้นแล้วจึงขอให้สงฆ์ ๒๐ รูปทำสังฆกรรมสวดอัพภานให้ เมื่อพระสงฆ์สวดอัพภานเสร็จสิ้น ถือว่าภิกษุรูปนั้นพ้นจากอาบัติข้อนี้

              ในกรณีที่ภิกษุต้องอาบัติข้อนี้แล้วปกปิดไว้ เมื่อมาแจ้งแก่หมู่สงฆ์แล้ว ต้องอยู่ ปริวาสกรรม เท่ากับจำนวนวันที่ปกปิดไว้ก่อน เช่น ภิกษุต้องอาบัติสังฆาทิเสสแล้วปกปิด ไว้หนึ่ง เดือน เมื่อแจ้งแก่สงฆ์แล้วต้องอยู่ปริวาสหนึ่งเดือน แล้วจึงขอประพฤติวัตรมานัตต่อไป



อนิยต (๒ ข้อ)

              อนิยต คือประเภทของโทษที่เกิดจากการล่วงละเมิดสิกขาบท ประเภทกึ่งกลางระหว่าง ครุกาบัติ หรือลหุกาบัติที่เรียกว่า อาบัติอนิยต ซึ่งอาบัตินี้ขึ้นอยู่กับว่าพระวินัยธรจะวินิจฉัยว่า ควรจะให้ปรับ อาบัติแบบไหน ตามแต่จะได้โทษหนัก หรือเบา อย่างใดอย่างหนึ่ง ซึ่งมีทั้งหมด 2 ประการดังนี้

๑. นั่งในที่ ลับตา กับสตรี สองต่อสอง
๒. นั่งในที่ ลับหู   กับสตรี สองต่อสอง

คำว่า อนิยต แปลว่า อาบัติที่ไม่แน่นอนว่าจะให้ปรับเป็น อาบัติปาราชิก, สังฆาทิเสส หรือ ปาจิตตีย์ กล่าวคือเมื่อมีผู้พบเห็น หรือได้ยินว่าพระภิกษุอยู่กับสตรีด้วยกัน สองต่อสอง โดยที่ไม่มีบุคคลที่สาม (ชายผู้ที่รู้เดียงสา)อยู่ด้วย จึงได้ไปรายงานต่อ พระวินัยธรให้ได้ รับทราบ จากนั้นพระวินัย ก็จะทำการ ไต่สวน กับพระภิกษุผู้ถูกกล่าวหา หากพระภิกษุนั้น ยอมรับสารภาพว่า ได้กระทำใดๆ อย่างใด อย่างหนึ่งกับสตรีที่อยู่ด้วยกัน ตามที่โจกท์คฤหัสถ์ ได้กล่าวหา ทางพระวินัยธรก็จะทำการ วินิจฉัยว่า ควรจะให้ปรับอาบัติแบบไหน ตามแต่หนัก หรือเบา ตามทางของพระวินัยอย่างใด อย่างหนึ่ง ยกตัวอย่างเช่น

* ถ้าพระภิกษุยอมรับว่าเสพเมถุนกับสตรี จึงให้ปรับอาบัติเป็นปาราชิก
* ถ้าพระภิกษุยอมรับว่าแตะต้องหรือพูดจาเกี้ยวพาราณาสีกับสตรี จึงให้ปรับอาบัติ เป็นสังฆาทิเสส
* ถ้าพระภิกษุไม่ได้กระทำใดๆกับสตรี แต่อยู่ด้วยกันสองต่อสอง จึงให้ปรับอาบัติเป็นปาจิตตีย์




นิสสัคคิยปาจิตตีย์ (๓๐ ข้อ)

              นิสสัคคิยปาจิตตีย์คือประเภทของโทษที่เกิดจากการล่วงละเมิดสิกขาบทประเภท ลหุกาบัติที่เรียกว่า อาบัตินิสสัคคิยปาจิตตีย์ จัดเป็นอาบัติโทษเบา มีทั้งหมด ๓๐ ประการดังนี้

๑. เก็บจีวรที่เกินความจำเป็นไว้เกิน ๑๐ วัน
๒. อยู่โดยปราศจากจีวรแม้แต่คืนเดียว
๓. เก็บผ้าที่จะทำจีวรไว้เกินกำหนด ๑ เดือน
๔. ใช้ให้ภิกษุณีซักผ้า
๕. รับจีวรจากมือของภิกษุณี
๖. ขอจีวรจากคฤหัสถ์ที่ไม่ใช่ญาติ เว้นแต่จีวรหายหรือถูกขโมย
๗. รับจีวรเกินกว่าที่ใช้นุ่ง เมื่อจีวรถูกชิงหรือหายไป
๘. พูดทำนองขอจีวรดีๆ กว่าที่เขากำหนดจะถวายไว้แต่เดิม
๙. พูดให้เขารวมกันซื้อจีวรดีๆ มาถวาย
๑๐. ทวงจีวรจากคนที่รับอาสาเพื่อซื้อจีวรถวายเกินกว่า ๓ ครั้ง
๑๑. หล่อเครื่องปูนั่งที่เจือด้วยไหม
๑๒. หล่อเครื่องปูนั่งด้วยขนเจียม (ขนแพะ แกะ) ดำล้วน
๑๓.ใช้ขนเจียมดำเกิน ๒ ส่วนใน ๔ ส่วน หล่อเครื่องปูนั่ง
๑๔. หล่อเครื่องปูนั่งใหม่ เมื่อของเดิมยังใช้ไม่ถึง 6 ปี
๑๕. เมื่อหล่อเครื่องปูนั่งใหม่ ให้เอาของเก่าเจือปนลงไปด้วย
๑๖. นำขนเจียมไปด้วยตนเองเกิน ๓ โยชน์ เว้นแต่มีผู้นำไปให้
๑๗. ใช้ภิกษุณีที่ไม่ใช้ญาติทำความสะอาดขนเจียม
๑๘. รับเงินทองที่ได้จากการถวายของคฤหัสถ์
๑๙. ซื้อ-ขายด้วยเงินทอง
๒๐. ซื้อขายโดยใช้ของแลก
๒๑. เก็บบาตรที่มีใช้เกินความจำเป็นไว้เกิน ๑๐ วัน
๒๒. ขอบาตรเมื่อบาตรเป็นแผลไม่เกิน ๕ แห่ง
๒๓. เก็บเภสัช ๕ (เนยใส เนยข้น น้ำมัน น้ำผึ้ง น้ำอ้อย) ไว้เกิน ๗ วัน
๒๔ แสวงหาและทำผ้าอาบน้ำฝนไว้เกินกำหนด ๑ เดือนก่อนหน้าฝน
๒๕. ให้จีวรภิกษุอื่นแล้วแต่กลับชิงคืนในภายหลัง
๒๖. ขอด้ายเอามาทอเป็นจีวร
๒๗. กำหนดให้ช่างทอทำให้ดีขึ้น
๒๘. เก็บผ้าจำนำพรรษา (ผ้าที่ถวายภิกษุเพื่ออยู่พรรษา) เกินกำหนด
๒๙. อยู่ป่าแล้วเก็บจีวรไว้ในบ้านเกิน ๖ คืน
๓๐. น้อมลาภสงฆ์มาเพื่อให้เขาถวายตน

คำว่า สัคคิยปาจิตตีย์ แปลว่า อาบัติประเภทที่พระภิกษุผู้กระทำผิดโดยการรับหรือได้ของอย่างหนึ่งมา จะต้องทำการสละของนั้น ก่อนจึงจะแสดงอาบัติได้ กล่าวคือเมื่อพระภิกษุได้ทำการครองครอบสิ่งของจตุปัจจัย เช่น เงินทอง จีวร บาตร เป็นต้นอย่างมากเกินความจำเป็นจึงถือว่ามีโทษอาบัติ การจะปลงอาบัติสัคคิยปาจิตตีย์ ได้นั้นจะต้องทำการสละสิ่งของที่มีอยู่ แล้วทำการปลงอาบัติได้


ปาจิตตีย์ (๙๒ ข้อ)

ปาจิตตีย์ มี ๙๒ ข้อได้แก่

๑. ห้ามพูดปด
๒. ห้ามด่า
๓. ห้ามพูดส่อเสียด
๔. ห้ามกล่าวธรรมพร้อมกับผู้ไม่ได้บวชในขณะสอน
๕.ห้ามนอนร่วมกับอนุปสัมบัน(ผู้ไม่ใช้ภิกษุ)เกิน ๓ คืน
๖. ห้ามนอนร่วมกับผู้หญิง
๘. ห้ามบอกคุณวิเศษที่มีจริงแก่ผู้มิได้บวช
๙. ห้ามบอกอาบัติชั่วหยาบของภิกษุแก่ผู้มิได้บวช
๑๐ ห้ามขุดดินหรือใช้ให้ขุด

๑๑. ห้ามทำลายต้นไม้
๑๒. ห้ามพูดเฉไฉเมื่อถูกสอบสวน
๑๓. ห้ามติเตียนภิกษุผู้ทำการสงฆ์โดยชอบ
๑๔. ห้ามทิ้งเตียงตั่งของสงฆ์ไว้กลางแจ้ง
๑๕. ห้ามปล่อยที่นอนไว้ ไม่เก็บงำ
๑๖. ห้ามนอนแทรกภิกษุผู้เข้าไปอยู่ก่อน
๑๗. ห้ามฉุดคร่าภิกษุออกจากวิหารของสงฆ์
๑๘. ห้ามนั่งนอนทับเตียงหรือตั่งที่อยู่ชั้นบน
๑๙. ห้ามพอกหลังคาวิหารเกิน ๓ ชั้น
๒๐. ห้ามเอาน้ำมีสัตว์รดหญ้าหรือดิน

๒๑. ห้ามสอนนางภิกษุณีเมื่อมิได้รับมอบหมาย
๒๒. ห้ามสอนนางภิกษุณีตั้งแต่อาทิตย์ตกแล้ว
๒๓. ห้ามไปสอนนางภิกษุณีถึงที่อยู่
๒๔. ห้ามติเตียนภิกษุอื่นว่าสอนนางภิกษุณีเพราะเห็นแก่ลาภ
๒๕.ห้ามให้จีวรแก่นางภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ
๒๖. ห้ามเย็บจีวรให้นางภิกษุณีผู้มิใช่ญาติ
๒๗. ห้ามเดินทางไกลร่วมกับนางภิกษุณี
๒๘. ห้ามชวนนางภิกษุณีเดินทางเรือร่วมกัน
๒๙. ห้ามฉันอาหารที่นางภิกษุณีไปแนะให้เขาถวาย
๓๐. ห้ามนั่งในที่ลับสองต่อสองกับภิกษุณี

๓๑. ห้ามฉันอาหารในโรงพักเดินทางเกิน ๓ มื้อ
๓๒. ห้ามฉันอาหารรวมกลุ่ม
๓๓. ห้ามรับนิมนต์แล้วไปฉันอาหารที่อื่น
๓๔. ห้ามรับบิณฑบาตเกิน ๓ บาตร
๓๕. ห้ามฉันอีกเมื่อฉันในที่นิมนต์เสร็จแล้ว
๓๖. ห้ามพูดให้ภิกษุที่ฉันแล้วฉันอีกเพื่อจับผิด
๓๗. ห้ามฉันอาหารในเวลาวิกาล
๓๘. ห้ามฉันอาหารที่เก็บไว้ค้างคืน
๓๙. ห้ามขออาหารประณีตมาเพื่อฉันเอง
๔๐. ห้ามฉันอาหารที่มิได้รับประเคน

๔๑. ห้ามยื่นอาหารด้วยมือให้ชีเปลือยและนักบวชอื่นๆ
๔๒. ห้ามชวนภิกษุไปบิณฑบาตด้วยแล้วไล่กลับ
๔๓. ห้ามเข้าไปแทรกแซงในสกุลที่มีคน ๒ คน
๔๔. ห้ามนั่งในที่ลับมีที่กำบังกับมาตุคาม (ผู้หญิง)
๔๕. ห้ามนั่งในที่ลับ (หู) สองต่อสองกับมาตุคาม
๔๖. ห้ามรับนิมนต์แล้วไปที่อื่นไม่บอกลา
๔๗.ห้ามขอของเกินกำหนดเวลาที่เขาอนุญาตไว้
๔๘. ห้ามไปดูกองทัพที่ยกไป
๔๙. ห้ามพักอยู่ในกองทัพเกิน ๓ คืน

๕๐. ห้ามดูเขารบกันเป็นต้น เมื่อไปในกองทัพ
๕๑. ห้ามดื่มสุราเมรัย
๕๒. ห้ามจี้ภิกษุ
๕๓. ห้ามว่ายน้ำเล่น
๕๔. ห้ามแสดงความไม่เอื้อเฟื้อในวินัย
๕๕. ห้ามหลอกภิกษุให้กลัว
๕๖. ห้ามติดไฟเพื่อผิง
๕๗. ห้ามอาบน้ำบ่อยๆเว้นแต่มีเหตุ
๕๘. ให้ทำเครื่องหมายเครื่องนุ่งห่ม
๕๙. วิกัปจีวรไว้แล้ว (ทำให้เป็นสองเจ้าของ-ให้ยืมใช้) จะใช้ต้องถอนก่อน
๖๐. ห้ามเล่นซ่อนบริขารของภิกษุอื่น

๖๑. ห้ามฆ่าสัตว์
๖๒. ห้ามใช้น้ำมีตัวสัตว์
๖๓. ห้ามรื้อฟื้นอธิกรณ์(คดีความ-ข้อโต้เถียง)ที่ชำระเป็นธรรมแล้ว
๖๔. ห้ามปกปิดอาบัติชั่วหยาบของภิกษุอื่น
๖๕. ห้ามบวชบุคคลอายุไม่ถึง ๒๐ ปี
๖๖. ห้ามชวนพ่อค้าผู้หนีภาษีเดินทางร่วมกัน
๖๗. ห้ามชวนผู้หญิงเดินทางร่วมกัน
๖๘. ห้ามกล่าวตู่พระธรรมวินัย (ภิกษุอื่นห้ามและสวดประกาศเกิน ๓ ครั้ง)
๖๙. ห้ามคบภิกษุผู้กล่าวตู่พระธรรมวินัย
๗๐. ห้ามคบสามเณรผู้กล่าวตู่พระธรรมวินัย

๗๑. ห้ามพูดไถลเมื่อทำผิดแล้ว
๗๒. ห้ามกล่าวติเตียนสิกขาบท
๗๓. ห้ามพูดแก้ตัวว่า เพิ่งรู้ว่ามีในปาฏิโมกข์
๗๔. ห้ามทำร้ายร่างกายภิกษุ
๗๕. ห้ามเงื้อมือจะทำร้ายภิกษุ
๗๖. ห้ามโจทภิกษุด้วยอาบัติสังฆาทิเสสที่ไม่มีมูล
๗๗. ห้ามก่อความรำคาญแก่ภิกษุอื่น
๗๘. ห้ามแอบฟังความของภิกษุผู้ทะเลาะกัน
๗๙. ให้ฉันทะแล้วห้ามพูดติเตียน
๘๐. ขณะกำลังประชุมสงฆ์ ห้ามลุกไปโดยไม่ให้ฉันทะ

๘๑. ร่วมกับสงฆ์ให้จีวรแก่ภิกษุแล้ว ห้ามติเตียนภายหลัง
๘๒. ห้ามน้อมลาภสงฆ์มาเพื่อบุคคล
๘๓. ห้ามเข้าไปในตำหนักของพระราชา
๘๔. ห้ามเก็บของมีค่าที่ตกอยู่
๘๕. เมื่อจะเข้าบ้านในเวลาวิกาล ต้องบอกลาภิกษุก่อน
๘๖. ห้ามทำกล่องเข็มด้วยกระดูก งา หรือเขาสัตว์
๘๗. ห้ามทำเตียง ตั่งมีเท้าสูงกว่าประมาณ
๘๘. ห้ามทำเตียง ตั่งที่หุ้มด้วยนุ่น
๘๙. ห้ามทำผ้าปูนั่งมีขนาดเกินประมาณ
๙๐. ห้ามทำผ้าปิดฝีมีขนาดเกินประมาณ

๙๑. ห้ามทำผ้าอาบน้ำฝนมีขนาดเกินประมาณ
๙๒. ห้ามทำจีวรมีขนาดเกินประมาณ

 



ปาฏิเทสนียะ (๔ ข้อ)

              ปาฏิเทสนียะคือประเภทหนึ่งของโทษที่เกิดจากการล่วงละเมิดสิกขาบทประเภท ลหุกาบัติที่เรียกว่า อาบัติปาฏิเทสนียะ จัดเป็นอาบัติโทษเบา มีทั้งหมด 4 ประการดังนี้

๑. ห้ามรับของคบเคี้ยว ของฉันจากมือภิกษุณีมาฉัน
๒. ให้ไล่นางภิกษุณีที่มายุ่งให้เขาถวายอาหาร
๓. ห้ามรับอาหารในสกุลที่สงฆ์สมมุติว่าเป็นเสขะ (อริยบุคคล แต่ยังไม่ได้บรรลุเป็นอรหันต์)
๔. ห้ามรับอาหารที่เขาไม่ได้จัดเตรียมไว้ก่อนมาฉันเมื่ออยู่ป่า

คำว่า ปาฏิเทสนียะ แปลว่า ที่พึงแสดงคืน



เสขิยวัตร (๗๕ ข้อ)
(พระไตรปิฎกของไทยทุกสำนัก และของต่างประเทศไม่นับรวม เสขียวัตร ๗๕ ข้อเป็นบทสวด ปาฏิโมกข์ทุกกึ่งเดือน แต่พระวินัยสงฆ์ของไทยได้นับรวมเข้าไปด้วย ทำให้บทสวดปาติโมกข์ของ ภิกษุไทย มีศีลปาติโมกข์เป็นรวมเป็น ๒๒๗ ข้อ)

              เสขิยวัตร เป็นส่วนหนึ่งของวินัยบัญญัติของภิกษุ (ศีล ๒๒๗ ข้อ) กล่าวคือ วัตรที่ภิกษุจะต้องศึกษา จัดเป็น ๔ หมวด ได้แก่

๑. สารูป(ว่าด้วยความเหมาะสมแก่สมณเพศในการประพฤติปฏิบัติต่อชุมชน) มี ๒๖ ข้อ
๒. โภชนปฏิสังยุต(ว่าด้วยการฉันอาหาร) มี ๓๐ ข้อ
๓. ธัมมเทสนาปฏิสังยุต(ว่าด้วยการแสดงธรรม) มี ๑๖ ข้อ
๔. ปกิณณกะ(เป็นหมวดเบ็ดเตล็ด) มี ๓ ข้อ

หมวด “สารูป” มี ๒๖ สิกขาบท :
ว่าด้วยกิริยามารยาทที่ควรประพฤติในเวลาเข้าไปในหมู่บ้าน เริ่มตั้งแต่การนุ่งห่ม การสำรวม ระวังอิริยาบถ การพูดคุย ให้อยู่ในอาการที่เหมาะสม

๑. นุ่งให้เป็นปริมณฑล (ล่างปิดเข่า บนปิดสะดือไม่ห้อยหน้าห้อยหลัง)
๒. ห่มให้เป็นปริมณฑล (ให้ชายผ้าเสมอกัน)
๓. ปกปิดกายด้วยดีไปในบ้าน
๔. ปกปิดกายด้วยดีนั่งในบ้าน
๕. สำรวมด้วยดีไปในบ้าน
๖. สำรวมด้วยดีนั่งในบ้าน
๗. มีสายตาทอดลงไปในบ้าน (ตาไม่มองโน่นมองนี่)
๘. มีสายตาทอดลงนั่งในบ้าน
๙. ไม่เวิกผ้าไปในบ้าน
๑๐. ไม่เวิกผ้านั่งในบ้าน
๑๑. ไม่หัวเราะดังไปในบ้าน
๑๒. ไม่หัวเราะดังนั่งในบ้าน
๑๓. ไม่พูดเสียงดังไปในบ้าน
๑๔. ไม่พูดเสียงดังนั่งในบ้าน
๑๕. ไม่โคลงกายไปในบ้าน
๑๖. ไม่โคลงกายนั่งในบ้าน
๑๗. ไม่ไกวแขนไปในบ้าน
๑๘. ไม่ไกวแขนนั่งในบ้าน
๑๙. ไม่สั่นศีรษะไปในบ้าน
๒๐. ไม่สั่นศีรษะนั่งในบ้าน
๒๑. ไม่เอามือค้ำกายไปในบ้าน
๒๒. ไม่เอามือค้ำกายนั่งในบ้าน
๒๓. ไม่เอาผ้าคลุมศีรษะไปในบ้าน
๒๔. ไม่เอาผ้าคลุมศีรษะนั่งในบ้าน
๒๕. ไม่เดินกระโหย่งเท้า ไปในบ้าน
๒๖. ไม่นั่งรัดเข่าในบ้าน

หมวด “โภชนปฏิสังยุต” มี ๓๐ สิกขาบท :
ว่าด้วยกิริยามารยาทที่ควรประพฤติในการรับบิณฑบาต และการฉันภัตตาหาร

๑. รับบิณฑบาตด้วยความเคารพ
๒. ในขณะบิณฑบาต จะแลดูแต่ในบาตร
๓. รับบิณฑบาตพอสมส่วนกับแกง (ไม่รับแกงมากเกินไป)
๔. รับบิณฑบาตแค่พอเสมอขอบปากบาตร
๕. ฉันบิณฑบาตโดยความเคารพ
๖. ในขณะฉันบิณฑบาต แลดูแต่ในบาตร
๗. ฉันบิณฑบาตไปตามลำดับ (ไม่ขุดให้แหว่ง)
๘. ฉันบิณฑบาตพอสมส่วนกับแกง ไม่ฉันแกงมากเกินไป
๙. ฉันบิณฑบาตไม่ขยุ้มแต่ยอดลงไป
๑๐. ไม่เอาข้าวสุกปิดแกงและกับด้วยหวังจะได้มาก
๑๑. ไม่ขอเอาแกงหรือข้าวสุกเพื่อประโยชน์แก่ตนมาฉัน หากไม่เจ็บไข้
๑๒. ไม่มองดูบาตรของผู้อื่นด้วยคิดจะยกโทษ
๑๓. ไม่ทำคำข้าวให้ใหญ่เกินไป
๑๔. ทำคำข้าวให้กลมกล่อม
๑๕. ไม่อ้าปากเมื่อคำข้าวยังมาไม่ถึง
๑๖. ไม่เอามือทั้งมือใส่ปากในขณะฉัน
๑๗. ไม่พูดในขณะที่มีคำข้าวอยู่ในปาก
๑๘. ไม่ฉันโดยการโยนคำข้าวเข้าปาก
๑๙. ไม่ฉันกัดคำข้าว
๒๐. ไม่ฉันทำกระพุ้งแก้มให้ตุ่ย
๒๑. ไม่ฉันพลางสะบัดมือพลาง
๒๒. ไม่ฉันโปรยเมล็ดข้าว
๒๓. ไม่ฉันแลบลิ้น
๒๔. ไม่ฉันดังจับๆ
๒๕. ไม่ฉันดังซูด ๆ
๒๖. ไม่ฉันเลียมือ
๒๗. ไม่ฉันเลียบาตร
๒๘. ไม่ฉันเลียริมฝีปาก
๒๙. ไม่เอามือเปื้อนจับภาชนะน้ำ
๓๐. ไม่เอาน้ำล้างบาตรมีเมล็ดข้าวเทลงในบ้าน

หมวด “ธรรมเทสนาปฏิสังยุต” มี ๑๖ สิกขาบท :
ว่าด้วยกิริยามารยาทในการแสดงธรรมแก่ผู้อื่น

๑. ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่มีร่มในมือ
๒. ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่มีไม้พลองในมือ
๓. ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่มีของมีคมในมือ
๔. ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่มีอาวุธในมือ
๕. ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่สวมเขียงเท้่า (รองเท้าไม้)
๖. ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่สวมรองเท้า
๗. ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่ไปในยาน
๘. ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่อยู่บนที่นอน

๙. ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่นั่งรัดเข่า
๑๐ ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่โพกศีรษะ
๑๑. ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่คลุมศีรษะ
๑๒. ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่อยู่บนอาสนะ (หรือเครื่องปูนั่ง) โดยภิกษุอยู่บนแผ่นดิน
๑๓. ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่นั่งบนอาสนะสูงกว่าภิกษ
๑๔. ไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่นั่งอยู่ แต่ภิกษุยืน
๑๕. ภิกษุเดินไปข้างหลังไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่เดินไปข้างหน้า
๑๖. ภิกษุเดินไปนอกทางไม่แสดงธรรมแก่คนไม่เป็นไข้ที่ไปในทาง

หมวด “ปกิณกะ” มี ๔ สิกขาบท :
ว่าด้วยกิริยามารยาท ในการถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ

๑. ภิกษุไม่เป็นไข้ไม่ยืนถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ
๒. ภิกษุไม่เป็นไข้ไม่ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ หรือบ้วนน้ำลายลงในของเขียว (พันธุ์ไม้ใบหญ้าต่างๆ)

๓. ภิกษุไม่เป็นไข้ไม่ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ หรือบ้วนน้ำลายลงในน้ำ


อธิกรณสมถะ (๗ ข้อ)

อธิกรณสมถะ การทำอธิกรณ์ให้สงบระงับ หมายถึง วิธีระงับอธิกรณ์ตามพระธรรมวินัย ๗ อย่าง คือ

๑. สัมมุขาวินัย ตัดสินในที่พร้อมหน้าทั้ง โจทย์และจำเลยพร้อมพยาน ตามพยานหลักฐาน
๒.สติวินัย ถือสติเป็นหลัก การยกเลิกความผิดเพราะเป็นพระอรหันต์ หรืออริยบุคคลที่จะไม่ทำผิด วินัยในข้อนั้นได้
๓.อมูฬหวินัย ผู้หายจากเป็นบ้า การเลิกความผิดเพราะผู้กระทำผิดนั้นวิกลจริตหรือเป็นบ้า
๔.ปฏิญญาตกรณะ ทำตามที่รับ การตัดสินตามการยอมรับผิด คำสารภาพของผู้กระทำผิด
๕.ตัสสปาปิยสิกา ลงโทษแก่ผู้ผิดที่ไม่รับ การลงโทษพยานผู้ที่ไม่ยอมพูดในการสอบสวนของ คณะสงฆ์
๖.เยภุยยสิกา การตัดสินตามมติเสียงข้างมาก
๗.ติณวัตถารกะ ดุจกลบไว้ด้วยหญ้า วิธีประณีประนอม การตัดสินยกฟ้อง เลิกแล้วต่อกัน (ในกรณี ทะเลาะกัน)