คืนหนึ่ง แบ่งเป็น ๓ ยาม ยามละ ๔ ชั่วโมง (ตั้งแต่ ๖โมงเย็น - ๖ โมงเช้า) ย่ำค่ำ- ย่ำรุ่ง
1. ปฐมยาม (ยามต้น) ตั้งแต่ย่ำค่ำ (๑๘ นาฬิกา- ๔ ทุ่ม หรือ ๒๒ นาฬิกา)
2. มัจฉิมยาม (ยามหลัง) ตั้งแต่ ๒๒ นาฬิกา-ตี ๒
3. ปัจฉิมยาม (ยามสุดท้าย) ตั้งแต่ตี ๒ ถึงย่ำรุ่ง หรือ ๖ นาฬิกา
หรือ (จากย่ำค่ำ- ย่ำรุ่ง)
ยาม ๑ (ปฐมญาณ) ๖ โมงเย็น - ๔ ทุ่ม
ยาม ๒ (มัจฉิมยาม) ๔ ทุ่ม -ตี ๒
ยาม ๓ (ปัจฉิมยาม) ตี ๒ – ๖ โมงเช้า |
|
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง (ภาษาไทย) เล่มที่ ๔ วินัยปิฎก มหาวรรค ภาค ๑ หน้าที่ ๑
พระวินัยปิฎก เล่ม ๔ มหาวรรค ภาค ๑
มหาขันธกะ
1
โพธิกถา ปฏิจจสมุปบาทมนสิการ
(ช่วงเวลาหลังตรัสรู้แล้ว ทรงทบทวนปฏิจจสมุปบาทต่ออีก ๗วัน )
[๑] โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า แรกตรัสรู้ ประทับอยู่ ณ ควงไม้ โพธิพฤกษ์ ใกล้ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ในอุรุเวลา ประเทศ.
ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคประทับนั่ง ด้วยบัลลังก์เดียว เสวยวิมุตติสุข ณ ควงไม้โพธิพฤกษ์ ตลอด ๗ วัน และทรงมนสิการปฏิจจสมุปบาท เป็นอนุโลม (ตามลำดับ,ตามๆกันมา) และ ปฏิโลม(ทบทวน,ย้อนกลับ) ตลอดปฐมยามแห่งราตรี(๑๘.๐๐-๒๒.๐๐) ว่าดังนี้
ปฏิจจสมุปบาท อนุโลม
เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร
เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ
เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป
เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ
เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ
เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา
เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา
เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน
เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ
เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ
เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส
เป็นอันว่ากองทุกข์ทั้งมวลนั่นย่อมเกิด ด้วยประการฉะนี้.
ปฏิจจสมุปบาท ปฏิโลม
อนึ่ง เพราะอวิชชานั่นแหละดับโดยไม่เหลือด้วยมรรคคือ วิราคะสังขาร* จึงดับ
(* วิราคะสังขาร แปลว่า ปราศจากสังขาร)
เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ
เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ
เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ
เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ
เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ
เพราะเวทนาดับ ตัณหาจึงดับ
เพราะตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ
เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ
เพราะภพดับ ชาติจึงดับ
เพราะชาติดับ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส จึงดับ
เป็นอันว่ากองทุกข์ทั้งมวลนั่นย่อมดับ ด้วยประการฉะนี้.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนั้นแล้ว
จึงทรงเปล่งอุทานนี้ ในเวลานั้น
ว่าดังนี้:-
2
พุทธอุทานคาถาที่ ๑
เมื่อใดแล ธรรมทั้งหลาย ปรากฏแก่พราหมณ์ ผู้มีเพียรเพ่งอยู่ เมื่อนั้น ความสงสัย ทั้งปวง
ของพราหมณ์นั้นย่อมสิ้นไป เพราะมารู้ธรรม
พร้อมทั้งเหตุ.
[๒]
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงมนสิการปฏิจจสมุปบาท เป็นอนุโลม และปฏิโลม ตลอด มัชฌิมยามแห่งราตรี (๒๒ นาฬิกา-ตี ๒) ว่าดังนี้
ปฏิจจสมุปบาท อนุโลม
เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร
เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ
เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป
เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ
เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ
เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา
เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา
เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน
เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ
เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ
เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส เป็นอันว่ากองทุกข์ทั้งมวลนั่นย่อมเกิด ด้วยประการฉะนี้.
ปฏิจจสมุปบาท ปฏิโลม
อนึ่ง เพราะอวิชชานั่นแหละดับโดยไม่เหลือด้วยมรรคคือวิราคะ สังขาร จึงดับ
เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ
เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ
เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ
เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ
เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ
เพราะเวทนาดับ ตัณหาจึงดับ
เพราะตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ
เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ
เพราะภพดับ ชาติจึงดับ
เพราะชาติดับ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส จึงดับ เป็นอันว่ากองทุกข์ทั้งมวลนั่นย่อมดับ ด้วยประการฉะนี้.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนั้นแล้ว จึงทรงเปล่งอุทานนี้ในเวลานั้นว่าดังนี้:-
3
พุทธอุทานคาถาที่ ๒
เมื่อใดแล ธรรมทั้งหลาย ปรากฏแก่พราหมณ์
ผู้มีเพียรเพ่งอยู่ เมื่อนั้น ความสงสัย ทั้งปวง
ของพราหมณ์นั้นย่อมสิ้นไป เพราะได้รู้ความ
สิ้นแห่งปัจจัย ทั้งหลาย.
[๓] ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงมนสิการปฏิจจสมุปบาท เป็นอนุโลม และ ปฏิโลม ตลอดปัจฉิมยามแห่งราตรี (๒๒ นาฬิกา-ตี ๒) ว่าดังนี้
ปฏิจจสมุปบาท อนุโลม
เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร
เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ
เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป
เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ
เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ
เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา
เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา
เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน
เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ
เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ
เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส เป็นอันว่ากองทุกข์ทั้งมวลนั่นย่อมเกิด ด้วยประการฉะนี้.
ปฏิจจสมุปบาท ปฏิโลม
อนึ่ง เพราะอวิชชานั่นแหละดับโดยไม่เหลือด้วยมรรคคือวิราคะ สังขาร จึงดับ
เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ
เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ
เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ
เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ
เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ
เพราะเวทนาดับ ตัณหาจึงดับ
เพราะตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ
เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ
เพราะภพดับ ชาติจึงดับ
เพราะชาติดับ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส จึงดับ เป็นอันว่ากองทุกข์ทั้งมวลนั่นย่อมดับ ด้วยประการฉะนี้.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนั้นแล้ว จึงทรงเปล่งอุทานนี้ ในเวลานั้น
ว่าดังนี้:-
4
พุทธอุทานคาถาที่ ๓
เมื่อใดแล ธรรมทั้งหลาย ปรากฏแก่พราหมณ์
ผู้มีเพียรเพ่งอยู่ เมื่อนั้น พราหมณ์นั้น ย่อมกำจัดมาร และเสนาเสียได้ ดุจพระอาทิตย์อุทัย
ทำอากาศให้สว่าง ฉะนั้น.
โพธิกถา จบ
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
5
อชปาลนิโครธกถา
เรื่องพราหมณ์หุหุกชาติ
[๔] ครั้นล่วง ๗ วัน พระผู้มีพระภาคทรงออกจากสมาธินั้น เสด็จจากควงไม้ โพธิพฤกษ์ เข้าไปยังต้นไม้อชปาลนิโครธ แล้วประทับนั่งด้วยบัลลังก์เดียว เสวย วิมุตติสุข ณ ควงไม้ อชปาลนิโครธ ตลอด ๗ วัน.
ครั้งนั้น พราหมณ์หุหุกชาติ* คนหนึ่ง ได้ไปในพุทธสำนัก ครั้นถึงแล้ว ได้ทูล ปราศรัย กับ พระผู้มีพระภาค ครั้นผ่านการทูลปราศรัยพอให้เป็นที่บันเทิง เป็นที่ระลึก ถึงกันไปแล้ว ได้ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.
(*พราหมณ์ ที่มีนิสัยชอบตวาดคนอื่นว่า หึ หึ)
พราหมณ์นั้นได้ยืนอยู่ ณ ที่ควร ส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้ทูลคำนี้แด่ผู้มีพระภาคว่า ท่านพระโคดม บุคคลชื่อว่าเป็นพราหมณ์ ด้วยเหตุเพียงเท่าไรหนอ ก็แล ธรรมเหล่าไหน ทำบุคคลให้เป็นพราหมณ์?
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนั้นแล้ว จึงทรงเปล่งอุทานนี้ ในเวลานั้น
ว่าดังนี้:-
6
พุทธอุทานคาถา
พราหมณ์ใด มีบาปธรรมอันลอยเสียแล้ว ไม่ตวาดผู้อื่นว่า หึ หึ ไม่มี กิเลส ดุจน้ำฝาด มีตน
สำรวมแล้ว ถึงที่สุดแห่งเวท มีพรหมจรรย์
อยู่จบแล้ว พราหมณ์นั้น ไม่มีกิเลส เครื่องฟูขึ้น ในอารมณ์ไหนๆในโลก ควรกล่าวถ้อยคำว่า
ตนเป็นพราหมณ์ โดยธรรม.
(นัยยะนี้ คำว่าพราหมณ์ หมายถึงอรหันต์ ผู้มีพรหมจรรย์อยู่จบแล้ว)
อชปาลนิโครธกถา จบ
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
7
มุจจลินทกถา
เรื่องมุจจลินทนาคราช
[๕] ครั้นล่วง ๗ วัน พระผู้มีพระภาคทรงออกจากสมาธินั้น เสด็จจากควงไม้ อชปาลนิโครธเข้าไปยังต้นไม้มุจจลินท์ แล้วประทับนั่งด้วยบัลลังก์เดียว เสวย วิมุตติสุข ณ ควงไม้มุจจลินท์ ตลอด ๗ วัน.
ครั้งนั้น เมฆใหญ่ในสมัยมิใช่ฤดูกาลตั้งขึ้นแล้ว ฝนตกพรำเจือด้วยลมหนาว ตลอด ๗ วัน. ครั้งนั้น มุจจลินทนาคราชออกจากที่อยู่ของตน ได้แวดวงพระกาย พระผู้มีพระภาคด้วยขนด ๗ รอบ ได้แผ่พังพานใหญ่(แผ่แม่เบี้ย)เหนือพระเศียรสถิตอยู่ ด้วยหวังใจว่า ความหนาว ความร้อน อย่าเบียดเบียนพระผู้มีพระภาค สัมผัส แห่ง เหลือบ ยุง ลม แดด และ สัตว์เลื้อยคลาน อย่าเบียดเบียนพระผู้มีพระภาค.
ครั้นล่วง ๗ วัน มุจจลินทนาคราชรู้ว่า อากาศปลอดโปร่งปราศ จากฝนแล้ว จึงคลายขนด จากพระกาย ของพระผู้มีพระภาค จำแลงรูปของตน เป็นเพศมาณพ (คน)ได้ยืนประคอง อัญชลีถวาย มนัสการพระผู้มีพระภาค ทางเบื้องพระพักตร์ พระผู้มีพระภาค.
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงทราบเนื้อความนั้นแล้ว จึงทรงเปล่งอุทานนี้ ในเวลานั้น
ว่าดังนี้:-
8
พุทธอุทานคาถา
ความสงัด เป็นสุขของบุคคลผู้สันโดษ มีธรรม
ปรากฏแล้ว เห็นอยู่ ความไม่ พยาบาท คือความสำรวมในสัตว์ทั้งหลาย เป็นสุขในโลก ความปราศจากกำหนัด คือความล่วงกามทั้งหลายเสียได้ เป็นสุขในโลก การกำจัด อัสมิมานะ* เสียได้ นั่นแล เป็นสุขอย่างยิ่ง.
(*การถือเขาถือเรา ความยึดมั่นในตัวตน)
- ความสงัด เป็นสุขของผู้สันโดษ ผู้มีธรรมปรากฏแล้ว
- ความไม่พยาบาท คือความสำรวมในสัตว์ทั้งหลาย เป็นสุขในโลก
- ความปราศจากกำหนัด ล่วงกามทั้งหลายเสียได้ เป็นสุขในโลก
- การกำจัด อัสมิมานะ (ความยึดในตัวตน)เสียได้ เป็นสุขอย่างยิ่ง |
|
มุจจลินทกถา จบ
Next หน้าถัดไป
|