พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๘ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๑๔๒
การพยากรณ์อรหัตตผลในตน (ปริยายสูตร)
[๒๓๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เหตุมีหรือหนอแล ที่จะให้ภิกษุอาศัยพยากรณ์ อรหัตผลเว้นจากเชื่อผู้อื่น หรือเว้นจากความชอบใจ เว้นจากการฟังต่อๆ กันมา เว้นจากการนึกเดาเอาตามเหตุ เว้นจากการถือเอาใจความ ตามความเห็นของตน ย่อมรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อ ความเป็นอย่างนี้มิได้มี ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ธรรมทั้งหลายของพวกข้าพระองค์ มีพระผู้มีพระภาค เป็นต้นเดิมเป็นผู้แนะนำ เป็นที่พึ่ง ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทานพระวโรกาส ขอเนื้อความแห่งภาษิตนี้ จงแจ่มแจ้งกะพระผู้มีพระภาคเถิด ภิกษุทั้งหลายได้ฟังต่อ พระผู้มีพระภาคแล้ว จักทรงจำไว้ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าอย่างนั้น พวกเธอจงฟัง จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว บัดนี้ ภิกษุเหล่านั้นทูลรับ พระดำรัส พระผู้มีพระภาคแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เหตุมีอยู่ ที่จะให้ภิกษุอาศัยพยากรณ์อรหัตผล เว้นจาก การเชื่อต่อผู้อื่น เว้นจากความชอบใจ เว้นจากการฟังต่อๆ กันมา เว้นจากการนึกเดา เอาตามเหตุ เว้นจากการถือเอาใจความตามความเห็นของตน ย่อมทราบชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็น อย่างนี้ มิได้มี
[๒๔๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เหตุที่จะให้ภิกษุอาศัยพยากรณ์ อรหัตผล ฯลฯ เป็นไฉน
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เห็นรูปด้วยจักษุแล้ว ย่อมรู้ชัดซึ่งราคะ โทสะ และโมหะ อันมีอยู่ในภายในว่าราคะ โทสะ และโมหะ มีอยู่ในภายในของเรา
(๑) ภิกษุเห็นรูปชนิดใดด้วยจักษุแล้ว
ย่อมรู้ชัด ซึ่งราคะ โทสะ และโมหะ อันมีอยู่ในภายใน ว่า
ราคะ โทสะ และโมหะ มีอยู่ในภายในของเรา
หรือรู้ชัด ซึ่งราคะ โทสะ และโมหะ อันไม่มีอยู่ในภายใน ว่า
ราคะ โทสะ และ โมหะ ไม่มีอยู่ในภายในของเรา
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมเหล่านี้พึงทราบด้วยการเชื่อต่อผู้อื่น พึงทราบด้วย ความชอบใจ พึงทราบด้วยการฟังต่อๆ กันมา พึงทราบด้วยการนึกเดาเอาตามเหตุ หรือพึงทราบด้วยการถือเอาใจความ ตามความเห็นของตนบ้างหรือหนอ ภิกษุเหล่านั้น กราบทูลว่า ไม่ใช่อย่างนั้นพระเจ้าข้า
พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมเหล่านี้พึงทราบได้ เพราะเห็นด้วยปัญญามิใช่หรือ
ภิ. อย่างนั้น พระเจ้าข้า
พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้ข้อนี้ก็เป็นเหตุให้ภิกษุ อาศัยพยากรณ์อรหัตผล เว้นจากการเชื่อผู้อื่น เว้นจากความชอบใจ เว้นจากการฟังต่อๆ กันมา เว้นจากการ นึกเดาเอาตามเหตุ เว้นจากการถือเอาใจความตามความเห็นของตน ย่อมรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้วกิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็น อย่างนี้มิได้มี ฯลฯ
[๒๔๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง ภิกษุลิ้มรสด้วยลิ้น …
[๒๔๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง ภิกษุรู้แจ้งธรรมารมณ์ด้วยใจ แล้ว ย่อมรู้ชัดซึ่งราคะ โทสะ และโมหะอันมีอยู่ ในภายในว่า ราคะ โทสะและโมหะ มีอยู่ในภายในของเรา หรือย่อมรู้ชัดซึ่งราคะ โทสะ และโมหะอันไม่มีอยู่ในภายในว่า ราคะ โทสะ และโมหะไม่มีอยู่ในภายใน ของเรา ภิกษุรู้แจ้งธรรมารมณ์อย่างใด ด้วยใจ แล้ว ย่อมรู้ชัดซึ่งราคะ โทสะและโมหะ อันมีอยู่ในภายในว่า ราคะ โทสะ และโมหะ มีอยู่ในภายในของเรา หรือย่อมรู้ชัด ซึ่งราคะ โทสะและโมหะอันไม่มีอยู่ ในภายในว่า ราคะ โทสะ และโมหะไม่มีอยู่ใน ภายในของเรา
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมเหล่านั้นพึงทราบได้ด้วยการเชื่อต่อผู้อื่น ทราบได้ ด้วยความชอบใจทราบได้ด้วยการฟังต่อๆ กันมา ทราบได้ด้วยการนึกเดาเอาตามเหตุ หรือพึงทราบได้ ด้วยการถือเอาใจความ ตามความเห็นของตน บ้างหรือหนอ
ภิ. ไม่ใช่อย่างนั้น พระเจ้าข้า
พ. ธรรมเหล่านี้พึงทราบได้เพราะเห็นด้วยปัญญามิใช่หรือ
ภิ. อย่างนั้น พระเจ้าข้า
พ. ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้ข้อนี้ก็เป็นเหตุให้ภิกษุ อาศัยพยากรณ์อรหัตผล เว้นจากการเชื่อต่อผู้อื่น เว้นจากความชอบใจ เว้นจากการฟังต่อๆ กันมา เว้นจากการ นึกเดาเอาตามเหตุ เว้นจากการถือเอาใจความ ตามความเห็นของตน ย่อมรู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำ ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็น อย่างนี้ มิได้มี
|