เว็บไซต์ อนาคามี เผยแพร่ พุทธวจน คำสอนของพระศาสดา คำสอนตถาคต รวมพระสูตรสำคัญ อนาคามี เว็บไซต์เผยแพร่คำสอนของพระพุทธเจ้า
ค้นหาคำที่ต้องการ            

 
  รวมเรื่อง พระมหาปชาบดีโคตมีเถรี (ภิกษุณีอรหันต์) เอตทัคคด้าน "ผู้รู้ราตรีนาน" 1390
  P1385 P1386 P1387 P1388 P1389 P1390 P1392 P1393
รวมพระสูตร
เกี่ยวกับภิกษุณี
 
 


(6) P1390 (โดยย่อ)

นันทโกวาทสูตร 
(1) นางปชาบดีพร้อมด้วยภิกษุณี ประมาณ ๕๐๐ รูป ฟังธรรมจาก ภิกษุนันทกะ (เอตทัคคะ)
(2)
หมวด อายตนะภายใน ๖ จักษุ โสต ฆานะ ชิวหา กาย มโน ไม่เที่ยง เป็นทุกข์
(3)
หมวด อายนะภายนอก ๖ รูป เสียง กลิน รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์
(4)
หมวดวิญญาณ ๖ จักษุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ ... 
(5)
ธรรมชาติที่อิง อาศัยกันเกิดขึ้น เพราะปัจจัยที่อาศัยการเกิดนั้นดับลง
(6) โพชฌงค์ที่ภิกษุเจริญแล้ว ทำให้มากแล้วย่อมเป็นเหตุให้เข้าถึงเจโตวิมุติ  ปัญญาวิมุติ 
(7)
รับสั่งให้ท่านพระนันทกะให้โอวาทนี้อีกครั้ง แก่ภิกษุณี ๕๐๐ รูป ในวันรุ่งขึ้น
(8)
พระนันทกะ แสดงธรรมครั้งที่ ๒ ให้กับภิกษูณี ๕๐๐ รูป ตามที่พระผู้มี พระภาครับสั่ง

เรื่องสำคัญของพระพุทธเจ้า
การบำเพ็ญบารมีในอดีตชาติ
การประสูติ แสงสว่าง แผ่นดินไหว
แสวงหาสัจจะบำเพ็ญทุกรกิริยา
ปัญจวัคคีย์หลีก สิ่งที่ตรัสรู้
ตรัสรู้ แสดงเทศนาปัญจวัคคีย์
ปลงสังขาร ปรินิพพาน
ลำดับขั้นการปรินิพพาน
เทวดาแสดงฤทธิ์ขณะถวายเพลิง
แบ่งพระสรีระออกเป็น ๘ ส่วน

 


พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๔ หน้าที่ ๓๖๕


6/6... P1390
๔.  นันทโกวาทสูตร  (๑๔๖)


(1)

พระมหาปชาบดีพร้อมด้วยภิกษุณี ประมาณ ๕๐๐  รูป ฟังธรรมจาก ภิกษุนันทกะ

        [๗๖๖]  ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้
สมัยหนึ่ง  พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่ พระวิหารเชตวัน อารามของอนาถบิณฑิก เศรษฐี เขตพระนคร สาวัตถี ครั้งนั้นแล พระมหาปชาบดีโคตมี พร้อมด้วยภิกษุณี ประมาณ ๕๐๐  รูป เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคยังที่ประทับ ถวายอภิวาทพระผู้มี พระภาคแล้ว ได้ยืน ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งพอยืนเรียบร้อย แล้ว ได้กราบทูลพระผู้มี พระภาคดังนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงโอวาท สั่งสอน พวกภิกษุณี  จงรับสั่งแสดงธรรมแก่พวกภิกษุณีเถิด 

        [๗๖๗]  ก็สมัยนั้นแล ภิกษุผู้เถระทั้งหลาย ย่อมโอวาทพวกภิกษุณี โดยเป็น เวรกัน แต่ท่าน พระนันทกะ  ไม่ปรารถนาจะโอวาทพวกภิกษุณี โดยเป็นเวรกัน ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคจึงตรัสถาม ท่านพระอานนท์ว่า 

        ดูกรอานนท์วันนี้ เวรโอวาท ภิกษุณีโดยเป็นเวรกัน ของใครหนอแล  ท่านพระอานนท์ กราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ ผู้เจริญ  ภิกษุทั้งปวงทำเวรโอวาท ภิกษุณี โดยเป็นเวร กันหมดแล้ว แต่ท่านพระนันทกะ รูปนี้ ไม่ปรารถนาจะโอวาท พวกภิกษุณี โดยเป็น เวรกัน ต่อนั้นพระผู้มี พระภาคจึงตรัสกะ ท่านพระนันทกะว่า 

        ดูกรนันทกะ  เธอจงโอวาทสั่งสอนพวกภิกษุณีดูกรพราหมณ์  เธอจงกล่าว แสดงธรรมกถาแก่พวกภิกษุณี เถิด ท่านพระนันทกะทูลรับพระผู้มีพระภาคว่า ชอบแล้ว พระพุทธเจ้าข้า แล้วนุ่งสบงทรงบาตรจีวร  เข้าไปบิณฑบาตยังพระนคร สาวัตถี ในเวลาเช้า 

        ครั้นกลับจากบิณฑบาต ภายหลังเวลาอาหารแล้ว เข้าไปยัง วิหารราชการาม แต่รูปเดียว  ภิกษุณีเหล่านั้น ได้เห็นท่านพระนันทกะเดินมาแต่ไกล พากันแต่งตั้ง อาสนะและตั้งน้ำสำหรับล้างเท้าไว้  ท่านพระนันทกะนั่งบนอาสนะ  ที่แต่งตั้งไว้แล้ว  จึงล้างเท้า  แม้ภิกษุณีเหล่านั้น  ก็ถวายอภิวาทท่าน พระนันทกะ แล้วนั่ง  ณ  ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง 

        [๗๖๘]  พอนั่งเรียบร้อยแล้ว  ท่านพระนันทกะ* ได้กล่าวดังนี้ว่า  ดูกรน้องหญิง ทั้งหลายจักต้องมี ข้อสอบถามกันแล ในข้อสอบถามนั้น  น้องหญิง ทั้งหลายรู้อยู่  พึงตอบว่ารู้  ไม่รู้อยู่ก็พึงตอบว่าไม่รู้  หรือน้องหญิงรูปใด  มีความ เคลือบแคลงสงสัย  น้องหญิงรูปนั้น  พึงทวนถามข้าพเจ้าในเรื่องนั้นว่า  ข้าแต่ท่าน ผู้เจริญ  ข้อนี้เป็น อย่างไร  ข้อนี้มีเนื้อความอย่างไร 
* เอตทัคคะ ผู้กล่าวสอนนางภิกษุณี

        ภิกษุณีเหล่านั้นกล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ พวกดิฉันย่อมพอใจ ยินดีต่อ พระผู้เป็นเจ้านันทกะ ด้วยเหตุที่พระผู้เป็นเจ้านันทกะ ปวารณาแก่พวกดิฉันเช่นนี้ 
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

(2)

(หมวด อายตนะภายใน ๖)


        [๗๖๙]  น.  ดูกรน้องหญิงทั้งหลาย  พวกท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน  จักษุเที่ยงหรือไม่เที่ยง
ภิกษุณี.  ไม่เที่ยง  เจ้าข้า 

น.  ก็สิ่งใดไม่เที่ยง  สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุข 
ภิกษุณี.  เป็นทุกข์  เจ้าข้า 

น.  ก็สิ่งใดไม่เที่ยง  เป็นทุกข์  มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือที่จะตามเห็น สิ่งนั้นว่า  นั่นของเรา  นั่นเรา  นั่นอัตตาของเรา 
ภิกษุณี.  ไม่ควรเลย  เจ้าข้า 

น.  ดูกรน้องหญิงทั้งหลาย  พวกท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
โสต
เที่ยงหรือ ไม่เที่ยง 

ภิกษุณี.  ไม่เที่ยง  เจ้าข้า  ฯลฯ

น.  ฆานะเที่ยงหรือไม่เที่ยง 
ภิกษุณี.  ไม่เที่ยง  เจ้าข้า  ฯลฯ

น.  ชิวหาเที่ยงหรือไม่เที่ยง 
ภิกษุณี.  ไม่เที่ยง  เจ้าข้า  ฯลฯ

น.  กายเที่ยงหรือไม่เที่ยง 
ภิกษุณี.  ไม่เที่ยง  เจ้าข้า  ฯลฯ

น.  มโนเที่ยงหรือไม่เที่ยง 
ภิกษุณี.  ไม่เที่ยง  เจ้าข้า 

น.  ก็สิ่งใดไม่เที่ยง  สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุข
ภิกษุณี.  เป็นทุกข์  เจ้าข้า 

น.  ก็สิ่งใดไม่เที่ยง  เป็นทุกข์  มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา  ควรหรือที่จะตามเห็น สิ่งนั้นว่า  นั่นของเรา  นั่นเรา  นั่นอัตตาของเรา 
ภิกษุณี.  ไม่ควรเลย  เจ้าข้า 

น.  นั่นเพราะเหตุไร  ฯ
ภิกษุณี. เพราะเมื่อก่อน พวกดิฉันมิได้เห็นข้อนั้นดีด้วยปัญญาชอบตามความเป็นจริง ว่า อายตนะภายใน  ๖  ของเรา ไม่เที่ยง แม้เพราะเหตุนี้  เจ้าข้า 

        น.  ดูกรน้องหญิงทั้งหลาย  ถูกละๆ  พระอริยสาวกผู้เห็นเรื่องนี้ด้วยปัญญา ชอบ  ตามความเป็นจริง  ย่อมมีความเห็นอย่างนี้แล 
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

(3)
(หมวด อายนะภายนอก ๖)


        [๗๗๐]  น.  ดูกรน้องหญิงทั้งหลาย  พวกท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน  รูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง 
ภิกษุณี.  ไม่เที่ยง  เจ้าข้า 

น.  ก็สิ่งใดไม่เที่ยง  สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุข ฯ
ภิกษุณี.  เป็นทุกข์  เจ้าข้า 

น.  ก็สิ่งใดไม่เที่ยง  เป็นทุกข์  มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา  ควรหรือที่จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า  นั่นของเรา  นั่นเรา  นั่นอัตตาของเรา
ภิกษุณี.  ไม่ควรเลย  เจ้าข้า 

น.  ดูกรน้องหญิงทั้งหลาย  พวกท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน  เสียงเที่ยงหรือไม่เที่ยง 
ภิกษุณี.  ไม่เที่ยง  เจ้าข้า  ฯลฯ

น.  กลิ่นเที่ยงหรือไม่เที่ยง 
ภิกษุณี.  ไม่เที่ยง  เจ้าข้า  ฯลฯ

น.  รสเที่ยงหรือไม่เที่ยง 
ภิกษุณี.  ไม่เที่ยง  เจ้าข้า  ฯลฯ

น.  โผฏฐัพพะเที่ยงหรือไม่เที่ยง 
ภิกษุณี.  ไม่เที่ยง  เจ้าข้า 

น.  ธรรมารมณ์ เที่ยงหรือไม่เที่ยง 
ภิกษุณี.  ไม่เที่ยง  เจ้าข้า 

น.  ก็สิ่งใดไม่เที่ยง  สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุข 
ภิกษุณี.  เป็นทุกข์  เจ้าข้า 

น.  ก็สิ่งใดไม่เที่ยง  เป็นทุกข์  มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา  ควรหรือที่จะ ตามเห็น สิ่งนั้นว่า  นั่นของเรา  นั่นเรา  นั่นอัตตาของเรา 
ภิกษุณี.  ไม่ควรเลย  เจ้าข้า 

น.  นั่นเพราะเหตุไร 
ภิกษุณี. เพราะเมื่อก่อน พวกดิฉันมิได้เห็นข้อนั้นดีด้วยปัญญาชอบ ตามความ เป็นจริงว่า อายตนะภายนอก ๖  ของเราไม่เที่ยง แม้เพราะเหตุนี้เจ้าข้า 

        น.  ดูกรน้องหญิงทั้งหลาย ถูกละๆ  พระอริยสาวกผู้เห็นเรื่องนี้ด้วยปัญญา ชอบ ตามความเป็นจริง ย่อมมีความเห็นอย่างนี้แล 
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

(4)
(หมวดวิญญาณ ๖)


       [๗๗๑]  น. ดูกรน้องหญิงทั้งหลาย  พวกท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน  จักษุวิญญาณ เที่ยงหรือไม่เที่ยง 
ภิกษุณี.  ไม่เที่ยง  เจ้าข้า 

น.  ก็สิ่งใดไม่เที่ยง  สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุข 
ภิกษุณี.  เป็นทุกข์  เจ้าข้า

น.  ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์  มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือที่จะตามเห็น สิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเรา นั่นอัตตาของเรา 
ภิกษุณี. ไม่ควรเลย  เจ้าข้า 

น.  ดูกรน้องหญิงทั้งหลาย พวกท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน
โสตวิญญาณ เที่ยง หรือไม่เที่ยง 
ภิกษุณี.  ไม่เที่ยง  เจ้าข้า  ฯลฯ

น.  ฆานวิญญาณ เที่ยงหรือไม่เที่ยง 
ภิกษุณี.  ไม่เที่ยง  เจ้าข้า  ฯลฯ

น.  ชิวหาวิญญาณ เที่ยงหรือไม่เที่ยง 
ภิกษุณี.  ไม่เที่ยง  เจ้าข้า  ฯลฯ

น.  กายวิญญาณ เที่ยงหรือไม่เที่ยง 
ภิกษุณี.  ไม่เที่ยง  เจ้าข้า  ฯลฯ

น.  มโนวิญญาณเที่ยงหรือไม่เที่ยง 
ภิกษุณี.  ไม่เที่ยง  เจ้าข้า 

น.  ก็สิ่งใดไม่เที่ยง  สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุข 
ภิกษุณี.  เป็นทุกข์  เจ้าข้า 

น.  ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือที่จะตามเห็น สิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเรา นั่นอัตตาของเรา 
ภิกษุณี.  ไม่ควรเลย  เจ้าข้า 

น.  นั่นเพราะเหตุไร 

ภิกษุณี. เพราะเมื่อก่อน พวกดิฉันมิได้เห็นข้อนั้นดีด้วยปัญญาชอบ ตามความเป็นจริง ว่า หมวดวิญญาณ ๖ ของเราไม่เที่ยง แม้เพราะเหตุนี้ เจ้าข้า 

น.  ดูกรน้องหญิงทั้งหลาย  ถูกละๆ  พระอริยสาวกผู้เห็นเรื่องนี้ด้วยปัญญาชอบ  ตามความเป็นจริง  ย่อมมีความเห็นอย่างนี้แล 
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

(5)
(ธรรมชาติที่อิง อาศัยกันเกิดขึ้น)

        [๗๗๒] น. ดูกรน้องหญิงทั้งหลาย เปรียบเหมือนประทีปน้ำมันกำลังติดไฟอยู่ 
มีน้ำมันก็ไม่เที่ยง แปรปรวนไปเป็นธรรมดา
ไส้ก็ไม่เที่ยง แปรปรวนไปเป็น ธรรมดา 
เปลวไฟ ก็ไม่เที่ยงแปรปรวนไปเป็นธรรมดา
แสงสว่าง ก็ไม่เที่ยง แปรปรวนไป เป็น ธรรมดา

        ดูกรน้องหญิงทั้งหลาย ผู้ใดกล่าวอย่างนี้ว่า ประทีปน้ำมันที่กำลังติดไฟ อยู่โน้น มีน้ำมันก็ไม่เที่ยง แปรปรวนไปเป็นธรรมดา ไส้ก็ไม่เที่ยง แปรปรวนไปเป็น ธรรมดา เปลวไฟก็ไม่เที่ยง แปรปรวนไปเป็นธรรมดา แต่ว่าแสงสว่าง ของประทีป นั้นแล เที่ยง ยั่งยืน เป็นไปติดต่อ ไม่มี ความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา ผู้ที่กล่าวนั้น ชื่อว่า พึงกล่าวชอบหรือหนอแล 
ภิกษุณี. หามิได้ เจ้าข้า 

น.  นั่นเพราะเหตุไร  ภิกษุณี.  ข้าแต่ท่านผู้เจริญ เพราะประทีปน้ำมันที่กำลังติดไฟ อยู่โน้น มีน้ำมัน ก็ไม่เที่ยง แปรปรวนไปเป็นธรรมดา ใส้ก็ไม่เที่ยง แปรปรวนไปเป็น ธรรมดา เปลวไฟ ก็ไม่เที่ยง แปรปรวนไปเป็นธรรมดา แสงสว่างของประทีปนั้น ก็ต้องไม่เที่ยง แปรปรวนไปเป็นธรรมดา เช่นกัน   

        [๗๗๓]  น. ดูกรน้องหญิงทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล บุคคลใด พึงกล่าว อย่างนี้ว่า อายตนะภายใน ๖ ของเรา ไม่เที่ยง แต่เราอาศัยอายตนะภายในเสวย เวทนาใด เป็นสุขก็ตาม เป็นทุกข์ก็ตาม มิใช่ทุกข์มิใช่สุขก็ตาม เวทนานั้นเที่ยง ยั่งยืน เป็นไปติดต่อ ไม่มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา บุคคลผู้กล่าวอย่างนั้น  ชื่อว่ากล่าวชอบหรือหนอแล 
ภิกษุณี.  หามิได้  เจ้าข้า 

น.  นั่นเพราะเหตุไร 
ภิกษุณี.  ข้าแต่ท่านผู้เจริญ 
เพราะเวทนาที่เกิดแต่อายตนะภายในนั้นๆ อาศัยปัจจัย ที่เกิดแต่อายตนะภายในนั้นๆ แล้วจึงเกิดขึ้นได้  เพราะปัจจัยที่เกิดแต่อายตนะภายใน นั้นๆ ดับเวทนาที่เกิด แต่อายตนะภายในนั้นๆ จึงดับไป

น.  ดูกรน้องหญิงทั้งหลาย ถูกละๆ พระอริยสาวกผู้เห็นเรื่องนี้ด้วยปัญญาชอบ  ตามความเป็นจริง ย่อมมีความเห็นอย่างนี้แล 

        [๗๗๔]  น.  ดูกรน้องหญิงทั้งหลาย เปรียบเหมือนต้นไม้ใหญ่มีแก่นตั้งอยู่  มีรากก็ไม่เที่ยง แปรปรวนไปเป็นธรรมดา ลำต้นก็ไม่เที่ยง  แปรปรวนไปเป็น ธรรมดา  กิ่งและใบก็ไม่เที่ยงแปรปรวนไปเป็นธรรมดา เงาก็ไม่เที่ยงแปรปรวนไปเป็น ธรรมดา 

ดูกรน้องหญิงทั้งหลาย  ผู้ใดพึงกล่าวอย่างนี้ว่า ต้นไม้ใหญ่  มีแก่นตั้งอยู่โน้น  มีราก ก็ไม่เที่ยง แปรปรวนไปเป็นธรรมดา ลำต้นก็ไม่เที่ยง แปรปรวนไปเป็นธรรมดา กิ่งและใบก็ไม่เที่ยง แปรปรวนไปเป็นธรรมดาแต่ว่าเงาของต้นไม้นั้นแล เที่ยง ยั่งยืน  เป็นไปติดต่อ ไม่มีความแปรปรวน ไปเป็นธรรมดา ผู้ที่กล่าวอยู่นั้นชื่อว่าพึงกล่าว ชอบ หรือหนอแล
ภิกษุณี.  หามิได้  เจ้าข้า 

น.  นั่นเพราะเหตุไร 
ภิกษุณี.  ข้าแต่ท่านผู้เจริญ เพราะต้นไม้ใหญ่ มีแก่นตั้งอยู่โน้น มีรากก็ไม่เที่ยงแปร ปรวน ไปเป็นธรรมดา ลำต้นก็ไม่เที่ยง แปรปรวนไปเป็นธรรมดา กิ่งและใบก็ไม่เที่ยง แปรปรวนไปเป็นธรรมดา เงาของต้นไม้ ก็ต้องไม่เที่ยง แปรปรวนไปเป็นธรรมดา  เช่นกัน 

        [๗๗๕]  น. ดูกรน้องหญิงทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล บุคคลใดพึง กล่าวอย่างนี้ว่าอายตนะภายนอก ๖ ของเรา ไม่เที่ยง  แต่เราอาศัยอายตนะภาย  นอกเสวยเวทนาใด เป็นสุขก็ตาม เป็นทุกข์ก็ตาม มิใช่ทุกข์มิใช่สุขก็ตามเวทนานั้น  เที่ยง ยั่งยืน เป็นไปติดต่อ ไม่มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา บุคคลผู้กล่าวนั้น ชื่อว่า กล่าวชอบหรือหนอแล 
ภิกษุณี.  หามิได้  เจ้าข้า 

น.  นั่นเพราะเหตุไร 
ภิกษุณี.  ข้าแต่ท่านผู้เจริญ เพราะเวทนาที่เกิดแต่อายตนะภายนอกนั้นๆ อาศัย ปัจจัย ที่เกิดแต่อายตนะภายนอกนั้นๆ แล้ว จึงเกิดขึ้นได้ เพราะปัจจัยที่เกิดแต่ อายตนะ ภายนอกนั้นๆ ดับเวทนาที่เกิดแต่อายตนะภายนอกนั้นๆ จึงดับไป 

น.  ดูกรน้องหญิงทั้งหลาย ถูกละๆ พระอริยสาวกผู้เห็นเรื่องนี้ด้วยปัญญาชอบ  ตามความเป็นจริง ย่อมมีความเห็นอย่างนี้แล  

        [๗๗๖]  น. ดูกรน้องหญิงทั้งหลาย เปรียบเหมือนคนฆ่าโค หรือลูกมือของ คนฆ่าโคผู้ฉลาด ฆ่าโคแล้ว ใช้มีดแล่โคอันคมชำแหละโค แยกส่วนเนื้อข้างใน  แยกส่วนหนังข้างนอกไว้ ในส่วนเนื้อนั้น ส่วนใดเป็นเนื้อล่ำใน ระหว่าง เอ็นใน ระหว่าง เครื่องผูกในระหว่าง ก็ใช้มีดแล่โคอันคมเถือ แล่คว้านส่วนนั้นๆ ครั้นแล้วคลี่ ส่วนหนังข้างนอกออก เอาปิดโคนั้นไว้ แล้วกล่าวอย่างนี้ว่า โคตัวนี้ประกอบด้วย หนังผืนนี้ เหมือนอย่างเดิมนั่นเอง

ดูกรน้องหญิงทั้งหลาย คนฆ่าโค หรือลูกมือของคนฆ่าโคผู้กล่าวนั้นชื่อว่ากล่าวชอบ หรือ หนอแล 
ภิกษุณี.  หามิได้  เจ้าข้า 

น.  นั่นเพราะเหตุไร 
ภิกษุณี.  ข้าแต่ท่านผู้เจริญ เพราะคนฆ่าโค หรือลูกมือของคนฆ่าโคผู้ฉลาดโน้น  ฆ่าโคแล้ว ใช้มีดแล่โคอันคมชำแหละโค แยกส่วนเนื้อข้างในแยกส่วนหนัง ข้างนอก ไว้ ในส่วนเนื้อนั้น ส่วนใดเป็นเนื้อล่ำในระหว่าง เอ็นในระหว่าง เครื่องผูกในระหว่าง
ก็ใช้มีดแล่โคอันคมเถือแล่ คว้านส่วนนั้นๆ  ครั้นแล้วคลี่ ส่วนหนัง ข้างนอกออก
เอาปิดโคนั้นไว้  แม้เขาจะกล่าวอย่างนี้ว่า โคตัวนี้ประกอบ ด้วยหนังผืนนี้  เหมือนอย่างเดิมนั่นเอง ก็จริง ถึงกระนั้นแล โคนั้นก็แยกกันแล้ว จากหนังผืนนั้น 

        [๗๗๗]  น.  ดูกรน้องหญิงทั้งหลาย  เราเปรียบอุปมานี้เพื่อให้เข้าใจเนื้อ ความชัด เนื้อความในอุปมานั้น  มีดังต่อไปนี้ ดูกรน้องหญิงทั้งหลาย 
ข้อว่าส่วนเนื้อ ข้างในนั้น เป็นชื่อของอายตนะภายใน ๖ 
ส่วนหนังข้างนอกนั้น เป็นชื่อของอายตนะ ภายนอก ๖ 
เนื้อล่ำในระหว่าง เอ็น ในระหว่างเครื่องผูกในระหว่าง นั้นเป็นชื่อของนันทิราคะ  มีดแล่โคอันคมนั้น เป็นชื่อของปัญญาอันประเสริฐ ซึ่งใช้เถือ แล่ คว้าน กิเลส
ในระหว่าง  สัญโญชน์ในระหว่าง  เครื่องผูกในระหว่างได้ 


------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


(6)

(โพชฌงค์๗)

        [๗๗๘]  ดูกรน้องหญิงทั้งหลาย โพชฌงค์ที่ภิกษุเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว เป็นเหตุ ย่อมเข้าถึงเจโตวิมุติ  ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้  เพราะอาสวะทั้งหลาย สิ้นไป  ทำให้แจ้งเพราะรู้ยิ่ง ด้วยตนเองในปัจจุบันอยู่ เหล่านี้ มี ๗ อย่างแล ๗ อย่าง เป็นไฉน 
ดูกรน้องหญิงทั้งหลาย คือ  ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้

        (๑)  ย่อมเจริญสติสัมโพชฌงค์อันอาศัยวิเวก อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธ  อันน้อมไปเพื่อความปลดปล่อย
(๒)  ย่อมเจริญธัมมวิจยสัมโพชฌงค์  ...
(๓)  ย่อมเจริญวิริยสัมโพชฌงค์  ...
(๔)  ย่อมเจริญปีติสัมโพชฌงค์  ...
(๕)  ย่อมเจริญปัสสัทธิสัมโพชฌงค์  ...
(๖)  ย่อมเจริญสมาธิสัมโพชฌงค์  ...
(๗)  ย่อมเจริญอุเบกขาสัมโพชฌงค์อันอาศัยวิเวก  อาศัยวิราคะ  อาศัยนิโรธ  อัน น้อมไปเพื่อความปลดปล่อย 

         ดูกรน้องหญิงทั้งหลาย เหล่านี้แลโพชฌงค์ ๗  ที่ภิกษุเจริญแล้ว ทำให้มาก
แล้ว เป็นเหตุ ย่อมเข้าถึงเจโตวิมุติปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะ ทั้งหลายสิ้นไป ทำให้แจ้งเพราะรู้ ยิ่งด้วยตนเอง ในปัจจุบันอยู่ 

        [๗๗๙]  ครั้นท่านพระนันทกะกล่าวสอนภิกษุณีเหล่านั้นด้วยโอวาทนี้แล้ว  จึงส่งไปด้วยคำว่า ดูกรน้องหญิงทั้งหลาย พวกท่านจงไปเถิด สมควรแก่เวลาแล้ว  ลำดับนั้น  ภิกษุณีเหล่านั้นยินดีอนุโมทนาภาษิตของท่านพระนันทกะแล้ว ลุกจาก อาสนะ อภิวาทท่านพระนันทกะ กระทำประทักษิณ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคยัง ที่ประทับ แล้วถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาค ยืน ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งพอยืน เรียบร้อยแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสดังนี้ว่า ดูกรภิกษุณีทั้งหลายพวกเธอ จงไปเถิด สมควรแก่เวลาแล้ว ต่อนั้น ภิกษุณีเหล่านั้นได้ถวายอภิวาทพระผู้มี พระภาค กระทำประทักษิณแล้วหลีกไป 

        [๗๘๐]  ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาค เมื่อภิกษุณีเหล่านั้นหลีกไปแล้วไม่นาน   ได้ตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในทุกวันอุโบสถ ๑๔  ค่ำนั้น  ชนเป็น อันมากไม่มีความเคลือบแคลง หรือสงสัยว่า ดวงจันทร์พร่องหรือเต็มหนอ  แต่แท้ ที่จริง ดวงจันทร์ก็ยังพร่องอยู่ทีเดียว ฉันใด ดูกรภิกษุทั้งหลายภิกษุณี เหล่านั้น ย่อมเป็นผู้ชื่นชมธรรมเทศนาของนันทกะ ทั้งๆ ที่ยังไม่มีความดำริ บริบูรณ์ เลยฉันนั้น เหมือนกันแล 
-------------------------------------------------------------------------------


(7)

พระผู้มีพระภาครับสั่งให้พระนันทกะ เทศนาด้วยโอวาทนี้ แก่เหล่า ภิกษุณี อีกครั้งในวันรุ่งขึ้น

         ในลำดับนั้น พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสกะท่านพระนันท กะว่า ดูกรนันทกะ ถ้าเช่นนั้นวันพรุ่งนี้เธอก็พึงกล่าวสอน ภิกษุณีเหล่านั้นด้วย โอวาท นั้นเหมือนกัน ท่านพระนันทกะทูลรับพระผู้มี พระภาคว่า ชอบแล้ว พระพุทธเจ้าข้า 

        [๗๘๑]  ครั้งนั้นแล ท่านพระนันทกะ พอล่วงราตรีนั้นไปแล้ว ถึงเวลาเช้า  จึงนุ่งสบงทรงบาตรจีวร เข้าไปบิณฑบาตยังพระนครสาวัตถี ครั้นกลับจาก  บิณฑบาต ภายหลังเวลาอาหารแล้ว เข้าไปยังวิหารราชการามแต่รูปเดียว ภิกษุณี  เหล่านั้นได้เห็นท่านพระนันทกะเดินมาแต่ไกล จึงพากันแต่งตั้งอาสนะ และตั้งน้ำ ล้างเท้าไว้  ท่านพระนันทกะนั่งบนอาสนะที่แต่งตั้งไว้แล้วจึงล้างเท้า แม้ภิกษุณี  เหล่านั้นก็อภิวาทท่านพระนันทกะแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง 

        [๗๘๒]  พอนั่งเรียบร้อยแล้ว ท่านพระนันทกะได้กล่าวดังนี้ว่า ดูกรน้องหญิง ทั้งหลายจักต้องมีข้อสอบถามกันแล ในข้อสอบถามนั้น น้องหญิงทั้งหลายรู้อยู่  พึงตอบว่ารู้ ไม่รู้อยู่ก็พึงตอบว่าไม่รู้ หรือน้องหญิงรูปใด มีความเคลือบแคลง สงสัยน้องหญิงรูปนั้น  พึงทวนถามข้าพเจ้าในเรื่องนั้นว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ  ข้อนี้เป็นอย่างไร ข้อนี้มีเนื้อความอย่างไรเถิด 

        ภิกษุณีเหล่านั้นกล่าวว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ พวกดิฉันย่อมพอใจ ยินดีต่อ พระผู้เป็นเจ้านันทกะ  ด้วยเหตุที่พระผู้เป็นเจ้านันทกะปวารณาแก่พวกดิฉันเช่นนี้ 
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


(8)

พระนันทกะ แสดงธรรมครั้งที่ ๒ ให้กับภิกษูณี ๕๐๐ รูป ตามที่พระผู้มีพระภาครับสั่ง

        [๗๘๓]  น.  ดูกรน้องหญิงทั้งหลาย  พวกท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน  จักษุเที่ยงหรือไม่เที่ยง 
ภิกษุณี.  ไม่เที่ยง  เจ้าข้า 

น.  ก็สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุข 
ภิกษุณี.  เป็นทุกข์  เจ้าข้า 

น.  ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์ มีความแปรปรวนเป็นธรรมดาควรหรือที่จะตาม เห็นสิ่งนั้นว่า  นั่นของเรา  นั่นเรา  นั่นอัตตาของเรา 
ภิกษุณี.  ไม่ควรเลย  เจ้าข้า 

น.  ดูกรน้องหญิงทั้งหลาย  พวกท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน โสตเที่ยงหรือ ไม่เที่ยง 
ภิกษุณี.  ไม่เที่ยง  เจ้าข้า  ฯลฯ

น.  ฆานะเที่ยงหรือไม่เที่ยง 
ภิกษุณี.  ไม่เที่ยง  เจ้าข้า  ฯลฯ

น.  ชิวหาเที่ยงหรือไม่เที่ยง 
ภิกษุณี.  ไม่เที่ยง  เจ้าข้า  ฯลฯ

น.  กายเที่ยงหรือไม่เที่ยง
ภิกษุณี.  ไม่เที่ยง  เจ้าข้า  ฯลฯ

น.  มโนเที่ยงหรือไม่เที่ยง 
ภิกษุณี.  ไม่เที่ยง  เจ้าข้า 

น.  ก็สิ่งใดไม่เที่ยง  สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุข 
ภิกษุณี.  เป็นทุกข์  เจ้าข้า 

น.  ก็สิ่งใดไม่เที่ยง  เป็นทุกข์  มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา  ควรหรือที่จะตามเห็น สิ่งนั้นว่า  นั่นของเรา  นั่นเรา  นั่นอัตตาของเรา 
ภิกษุณี.  ไม่ควรเลย  เจ้าข้า ฯ

น.  นั่นเพราะเหตุไร 
ภิกษุณี.  เพราะเมื่อก่อน  พวกดิฉันมิได้เห็นข้อนั้นดีด้วยปัญญาชอบ ตามความเป็น จริงว่าอายตนะภายใน ๖ ของเรา ไม่เที่ยง แม้เพราะเหตุนี้ เจ้าข้า

น.  ดูกรน้องหญิงทั้งหลาย ถูกละๆ  พระอริยสาวกผู้เห็นเรื่องนี้ด้วยปัญญา ชอบ  ตามความเป็นจริง  ย่อมมีความเห็นอย่างนี้แล 

        [๗๘๔]  น.  ดูกรน้องหญิงทั้งหลาย  พวกท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน  รูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง 
ภิกษุณี.  ไม่เที่ยง  เจ้าข้า 

น.  ก็สิ่งใดไม่เที่ยง  สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุข 
ภิกษุณี.  เป็นทุกข์  เจ้าข้า 

น.  ก็สิ่งใดไม่เที่ยง  เป็นทุกข์  มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือที่จะตามเห็น สิ่งนั้นว่า  นั่นของเรา  นั่นเรา  นั่นอัตตาของเรา 
ภิกษุณี.  ไม่ควรเลย  เจ้าข้า 

น.  ดูกรน้องหญิงทั้งหลาย  พวกท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน  เสียงเที่ยงหรือไม่เที่ยง 
ภิกษุณี.  ไม่เที่ยง  เจ้าข้า  ฯลฯ

น.  กลิ่นเที่ยงหรือไม่เที่ยง 
ภิกษุณี.  ไม่เที่ยง  เจ้าข้า  ฯลฯ

น.  รสเที่ยงหรือไม่เที่ยง 
ภิกษุณี.  ไม่เที่ยง  เจ้าข้า  ฯลฯ

น.  โผฏฐัพพะเที่ยงหรือไม่เที่ยง 
ภิกษุณี.  ไม่เที่ยง  เจ้าข้า  ฯลฯ

น.  ธรรมารมณ์เที่ยงหรือไม่เที่ยง 
ภิกษุณี.  ไม่เที่ยง  เจ้าข้า 

น.  ก็สิ่งใดไม่เที่ยง  สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุข
ภิกษุณี.  เป็นทุกข์  เจ้าข้า 

น.  ก็สิ่งใดไม่เที่ยง  เป็นทุกข์  มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา  ควรหรือที่จะตามเห็น สิ่งนั้นว่า  นั่นของเรา  นั่นเรา  นั่นอัตตาของเรา
ภิกษุณี.  ไม่ควรเลย  เจ้าข้า 

น.  นั่นเพราะเหตุไร 

ภิกษุณี.  เพราะเมื่อก่อน พวกดิฉันมิได้เห็นข้อนั้นดีด้วยปัญญาชอบตามความเป็นจริง ว่า  อายตนะภายนอก  ๖  ของเรา ไม่เที่ยง แม้เพราะเหตุนี้เจ้าข้า 

น.  ดูกรน้องหญิงทั้งหลาย ถูกละๆ  พระอริยสาวกผู้เห็นเรื่องนี้ด้วยปัญญาชอบ  ตามความเป็นจริง ย่อมมีความเห็นอย่างนี้แล 

        [๗๘๕]  น.  ดูกรน้องหญิงทั้งหลาย  พวกท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน  จักษุวิญญาณเที่ยงหรือไม่เที่ยง 
ภิกษุณี.  ไม่เที่ยง  เจ้าข้า 


น.  ก็สิ่งใดไม่เที่ยง  สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุข 
ภิกษุณี.  เป็นทุกข์  เจ้าข้า 

น.  ก็สิ่งใดไม่เที่ยง  เป็นทุกข์  มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือที่จะตามเห็น สิ่งนั้นว่า  นั่นของเรา  นั่นเรา  นั่นอัตตาของเรา 
ภิกษุณี.  ไม่ควรเลย  เจ้าข้า 

น.  ดูกรน้องหญิงทั้งหลาย  พวกท่านจะสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน โสตวิญญาณ เที่ยง หรือไม่เที่ยง 
ภิกษุณี.  ไม่เที่ยง  เจ้าข้า  ฯลฯ

น.  ฆานวิญญาณเที่ยงหรือไม่เที่ยง 
ภิกษุณี.  ไม่เที่ยง  เจ้าข้า  ฯลฯ

น.  ชิวหาวิญญาณเที่ยงหรือไม่เที่ยง 
ภิกษุณี.  ไม่เที่ยง  เจ้าข้า  ฯลฯ

น.  กายวิญญาณเที่ยงหรือไม่เที่ยง 
ภิกษุณี.  ไม่เที่ยง  เจ้าข้า  ฯลฯ

น.  มโนวิญญาณเที่ยงหรือไม่เที่ยง 
ภิกษุณี.  ไม่เที่ยง  เจ้าข้า 

น.  ก็สิ่งใดไม่เที่ยง  สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุข 
ภิกษุณี.  เป็นทุกข์  เจ้าข้า 

น.  ก็สิ่งใดไม่เที่ยง  เป็นทุกข์  มีความแปรปรวนเป็นธรรมดา ควรหรือที่จะตาม เห็นสิ่งนั้นว่า นั่นของเรา นั่นเรา นั่นอัตตาของเรา 
ภิกษุณี. ไม่ควรเลย  เจ้าข้า

น.  นั่นเพราะเหตุไร 

ภิกษุณี. เพราะเมื่อก่อน พวกดิฉันมิได้เห็นข้อนั้นดีด้วยปัญญาชอบตามความเป็นจริง ว่า  หมวดวิญญาณ  ๖  ของเรา  ไม่เที่ยง  แม้เพราะเหตุนี้  เจ้าข้า 

น.  ดูกรน้องหญิงทั้งหลาย  ถูกละๆ  พระอริยสาวกผู้เห็นเรื่องนี้ ด้วยปัญญา ชอบ  ตามความเป็นจริง  ย่อมมีความเห็นอย่างนี้แล 

        [๗๘๖]  ดูกรน้องหญิงทั้งหลาย เปรียบเหมือนประทีปน้ำมันกำลังติดไฟอยู่  มีน้ำมันก็ไม่เที่ยง แปรปรวนไปเป็นธรรมดาไส้ก็ไม่เที่ยง แปรปรวนไป เป็นธรรมดา เปลวไฟก็ไม่เที่ยงแปรปรวนไปเป็นธรรมดา แสงสว่างก็ไม่เที่ยงแปรปรวนไป เป็นธรรมดา

ดูกรน้องหญิงทั้งหลาย ผู้ใดกล่าวอย่างนี้ว่าประทีป น้ำมันที่กำลังติดไฟ อยู่โน้น  มีน้ำมันก็ไม่เที่ยง  แปรปรวนไปเป็นธรรมดาไส้ก็ไม่เที่ยง  แปรปรวนไปเป็นธรรมดา  เปลวไฟก็ไม่เที่ยง  แปรปรวนไปเป็นธรรมดา  แต่ว่าแสงสว่างของประทีปนั้นแล  เที่ยง  ยั่งยืน  เป็นไปติดต่อ  ไม่มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดาผู้ที่กล่าวนั้นชื่อว่า  พึงกล่าวชอบหรือหนอแล 
ภิกษุณี.  หามิได้  เจ้าข้า 

น.  นั่นเพราะอะไร 
ภิกษุณี.  ข้าแต่ท่านผู้เจริญ  เพราะประทีปน้ำมันที่กำลังติดไฟ อยู่โน้น มีน้ำมัน ก็ไม่เที่ยงแปรปรวนไปเป็นธรรมดา  ไส้ก็ไม่เที่ยง  แปรปรวนไปเป็นธรรมดา  เปลวไฟ ก็ไม่เที่ยง  แปรปรวนไปเป็นธรรมดา  แสงสว่างของประทีปนั้นก็ต้องไม่เที่ยง  แปรปรวนไปเป็นธรรมดา  เช่นกัน 

        [๗๘๗]  น.  ดูกรน้องหญิงทั้งหลาย  ฉันนั้นเหมือนกันแล  บุคคลใด  พึงกล่าว อย่างนี้ว่าอายตนะภายใน ๖ ของเรา  ไม่เที่ยง แต่เราอาศัยอายตนะ ภายใน เสวยเวทนาใด  เป็นสุขก็ตามเป็นทุกข์ก็ตาม  มิใช่ทุกข์มิใช่สุขก็ตาม เวทนานั้น  เที่ยง ยั่งยืน เป็นไปติดต่อ ไม่มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา บุคคลผู้กล่าวนั้น  ชื่อว่ากล่าวชอบหรือหนอแล 
ภิกษุณี.  หามิได้  เจ้าข้า

น.  นั่นเพราะเหตุไร 
ภิกษุณี.  ข้าแต่ท่านผู้เจริญ  เพราะเวทนาที่เกิดแต่อายตนะภายในนั้นๆ อาศัยปัจจัย ที่เกิดแต่อายตนะภายในนั้นๆ แล้ว จึงเกิดขึ้นได้  เพราะปัจจัยที่เกิดแต่อายตนะ ภายใน นั้นๆ ดับเวทนาที่เกิดแต่อายตนะภายในนั้นๆ จึงดับไป 

น.  ดูกรน้องหญิงทั้งหลาย ถูกละๆ  พระอริยสาวกผู้เห็นเรื่องนี้ ด้วยปัญญา ชอบ  ตามความเป็นจริง  ย่อมมีความเห็นอย่างนี้แล

        [๗๘๘]  ดูกรน้องหญิงทั้งหลาย เปรียบเหมือนต้นไม้ใหญ่มีแก่นตั้งอยู่  มีราก ก็ไม่เที่ยง แปรปรวนไปเป็นธรรมดา ลำต้นก็ไม่เที่ยง แปรปรวนไปเป็นธรรมดา  กิ่งและใบ ก็ไม่เที่ยง แปรปรวนไปเป็นธรรมดา เงาก็ไม่เที่ยง  แปรปรวน  ไปเป็น ธรรมดา ดูกรน้องหญิงทั้งหลายผู้ใดพึงกล่าวอย่างนี้ว่า  ต้นไม้ใหญ่มีแก่น ตั้งอยู่โน้น  มีรากก็ไม่เที่ยง แปรปรวนไปเป็นธรรมดา ลำต้นก็ไม่เที่ยง  แปรปรวนไปเป็นธรรมดา  กิ่งและใบก็ไม่เที่ยง  แปรปรวนไปเป็น ธรรมดา แต่ว่าเงาของต้นไม้นั้นแล  เที่ยง  ยั่งยืน  เป็นไปติดต่อ  ไม่มีความแปรปรวนไปเป็น ธรรมดาผู้ที่กล่าวนั้น  ชื่อว่าพึงกล่าวชอบหรือหนอแล
ภิกษุณี.  หามิได้  เจ้าข้า

น.  นั่นเพราะเหตุไร
ภิกษุณี. ข้าแต่ท่านผู้เจริญ เพราะต้นไม้ใหญ่ มีแก่นตั้งอยู่โน้น  มีรากก็ไม่เที่ยงแปร ปรวน ไปเป็นธรรมดา ลำต้นก็ไม่เที่ยง  แปรปรวนไปเป็นธรรมดากิ่งและใบก็ไม่เที่ยง แปรปรวนไปเป็นธรรมดา  เงาของต้นไม้นั้น  ก็ต้องไม่เที่ยงแปรปรวนไปเป็นธรรมดา เช่นกัน

[๗๘๙]  น.  ดูกรน้องหญิงทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล บุคคลใด พึงกล่าวอย่างนี้ ว่า อายตนะภายนอก ๖  ของเรา ไม่เที่ยง แต่เราอาศัยอายตนะ  ภายนอกเสวย เวทนาใด เป็นสุขก็ตามเป็นทุกข์ก็ตาม มิใช่ทุกข์มิใช่สุขก็ตาม  เวทนานั้นเที่ยง  ยั่งยืนเป็นไปติดต่อ  ไม่มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดาบุคคลผู้กล่าวนั้น ชื่อว่ากล่าวชอบหรือหนอแล
ภิกษุณี.  หามิได้  เจ้าข้า

น.  นั่นเพราะเหตุไร
ภิกษุณี.  ข้าแต่ท่านผู้เจริญ เพราะเวทนาที่เกิดแต่ อายตนะภายนอกนั้นๆ  อาศัยปัจจัยที่เกิดแต่อายตนะภายนอกนั้นๆแล้ว  จึงเกิดขึ้นได้ เพราะปัจจัยที่เกิดแต่ อายตนะภายนอกนั้นๆดับ เวทนาที่เกิดแต่อายตนะ ภายนอกนั้นๆ จึงดับไป

        น.  ดูกรน้องหญิงทั้งหลาย ถูกละๆ พระอริยสาวกผู้เห็นเรื่องนี้ด้วยปัญญา ชอบ ตามความเป็นจริง ย่อมมีความเห็นอย่างนี้แล

        [๗๙๐]  ดูกรน้องหญิงทั้งหลาย เปรียบเหมือนคนฆ่าโค หรือลูกมือของ คนฆ่าโคผู้ฉลาดฆ่าโคแล้ว  ใช้มีดแล่โคอันคมชำแหละโค  แยกส่วนเนื้อข้างในแยก ส่วนหนังข้างนอกไว้ในส่วนเนื้อนั้น  ส่วนใดเป็นเนื้อล่ำในระหว่าง เอ็นในระหว่าง เครื่องผูกในระหว่าง ก็ใช้มีดแล่โคอันคมเถือแล่ คว้านส่วนนั้นๆ  ครั้นแล้วคลี่ ส่วนหนังข้างนอกออก เอาปิดโคนั้นไว้ แล้วกล่าวอย่างนี้ว่า โคตัวนี้ประกอบด้วย หนัง ผืนนี้  เหมือนอย่างเดิมนั้นเอง  ดูกรน้องหญิงทั้งหลายคนฆ่าโคหรือ ลูกมือของ คน ฆ่าโคผู้กล่าวนั้น  ชื่อว่ากล่าวชอบหรือหนอแล
ภิกษุณี.  หามิได้  เจ้าข้า
น.  นั่นเพราะเหตุไร

        ภิกษุณี.  ข้าแต่ท่านผู้เจริญ  เพราะคนฆ่าโค  หรือลูกมือของคนฆ่าโคผู้  ฉลาดโน้นฆ่าโคแล้ว  ใช้มีดแล่โคอันคมชำแหละโค  แยกส่วนเนื้อข้างใน  แยกส่วนหนังข้างนอกไว้ในส่วนเนื้อนั้น  ส่วนใดเป็นเนื้อล่ำในระหว่าง  เอ็นในระหว่าง  เครื่องผูกในระหว่าง  ก็ใช้มีดแล่โคอันคมเถือ  แล่  คว้านส่วนนั้นๆ  ครั้นแล้วคลี่ส่วนหนังข้างนอกออก  เอาปิดโคนั้นไว้แม้เขาจะกล่าวอย่างนี้ว่า  โคตัว  นี้ประกอบด้วยหนังผืนนี้  เหมือนอย่างเดิมนั่นเอง  ก็จริง ถึงกระนั้นแล  โคนั้นก็แยกกันแล้วจากหนังผืนนั้น

        [๗๙๑]  น.  ดูกรน้องหญิงทั้งหลาย เราเปรียบอุปมานี้เพื่อให้เข้าใจ เนื้อความ ชัด  เนื้อความในอุปมานั้น มีดังต่อไปนี้  ดูกรน้องหญิงทั้งหลาย ข้อว่าส่วนเนื้อ ข้างในนั้น เป็นชื่อของอายตนะภายใน ๖ ส่วนหนังข้างนอกนั้น เป็นชื่อของอายตนะ ภายนอก ๖ เนื้อล่ำในระหว่างเอ็นในระหว่าง  เครื่องผูกในระหว่าง นั้นเป็นชื่อของ นันทิราคะ มีดแล่โคอันคมนั้น เป็นชื่อของปัญญาอันประเสริฐ ซึ่งใช้เถือ แล่  คว้านกิเลสในระหว่าง สัญโญชน์ในระหว่าง เครื่องผูกใน  ระหว่างได้

        [๗๙๒]  ดูกรน้องหญิงทั้งหลาย  โพชฌงค์ที่ภิกษุเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว  เป็นเหตุย่อมเข้าถึงเจโตวิมุติ  ปัญญาวิมุติ อันหาอาสวะมิได้ เพราะอาสวะ ทั้งหลาย สิ้นไป ทำให้แจ้งเพราะรู้ยิ่งด้วยตนเองในปัจจุบันอยู่ เหล่านี้มี  ๗ อย่างแล  ๗  อย่างเป็นไฉน 

ดูกรน้องหญิงทั้งหลาย  คือ ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้
(๑)  ย่อมเจริญสติสัมโพชฌงค์อันอาศัยวิเวก  อาศัยวิราคะ อาศัยนิโรธอันน้อมไป เพื่อความปลดปล่อย
(๒)  ย่อมเจริญธัมมวิจยสัมโพชฌงค์  ...
(๓)  ย่อมเจริญวิริยสัมโพชฌงค์  ...
(๔)  ย่อมเจริญปีติสัมโพชฌงค์  ...
(๕)  ย่อมเจริญปัสสัทธิสัมโพชฌงค์  ...
(๖)  ย่อมเจริญสมาธิสัมโพชฌงค์  ...
(๗)  ย่อมเจริญอุเบกขาสัมโพชฌงค์  อันอาศัยวิเวก  อาศัยวิราคะ  อาศัยนิโรธ อันน้อมไปเพื่อความปลดปล่อย 

        ดูกรน้องหญิงทั้งหลาย  เหล่านี้แล โพชฌงค์  ๗  ที่ภิกษุเจริญแล้วทำให้มาก แล้ว เป็นเหตุ  ย่อมเข้าถึงเจโตวิมุติ  ปัญญาวิมุติ  อันหาอาสวะมิได้  เพราะอาสวะ ทั้งหลายสิ้นไป  ทำให้แจ้งเพราะรู้ยิ่งด้วยตนเอง ในปัจจุบันอยู่

        [๗๙๓]  ครั้นท่านพระนันทกะกล่าวสอนภิกษุณีเหล่านั้นด้วยโอวาทนี้แล้ว  จึงส่งไปด้วยคำว่า  ดูกรน้องหญิงทั้งหลาย  พวกท่านจงไปเถิด  สมควรแก่เวลาแล้ว ลำดับนั้น  ภิกษุณีเหล่านั้นยินดีอนุโมทนา ภาษิตของท่านพระนันทกะแล้ว  ลุกจาก อาสนะ  อภิวาทท่านพระนันทกะ  กระทำประทักษิณ  เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ยังที่ประทับ  แล้วถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาค  ยืน  ณ  ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง  พอ  ยืนเรียบร้อยแล้ว  พระผู้มีพระภาคได้ตรัสดังนี้ว่า  ดูกรภิกษุณีทั้งหลายพวกเธอ จงไปเถิด  สมควรแก่เวลาแล้ว  ต่อนั้น  ภิกษุณีเหล่านั้นได้ถวายอภิวาท พระผู้มีพระภาค กระทำประทักษิณแล้วหลีกไป

        [๗๙๔]  ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาค เมื่อภิกษุณีเหล่านั้นหลีกไปแล้ว ไม่นาน  ได้ตรัสกะภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในทุกวันอุโบสถ  ๑๕ ค่ำนั้น  ชนเป็นอันมากไม่มีความเคลือบแคลง หรือสงสัยว่า ดวงจันทร์พร่อง หรือเต็มหนอ แต่แท้ที่จริง ดวงจันทร์ก็เต็มแล้วทีเดียวฉันใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุณี เหล่านั้นย่อมเป็นผู้ชื่นชมธรรมเทศนาของนันทกะ ทั้งๆ ที่มีความดำริ บริบูรณ์แล้ว ฉันนั้นเหมือนกันแล 

        ดูกรภิกษุทั้งหลาย บรรดาภิกษุณีทั้ง ๕๐๐ รูปนั้น รูปสุดท้ายยังเป็นถึง พระโสดาบัน มีความไม่ตกต่ำเป็นธรรมดา แน่นอนที่จะตรัสรู้ในเบื้องหน้า

        พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระภาษิตนี้แล้ว  ภิกษุเหล่านั้นต่างชื่นชมยินดี พระภาษิต ของพระผู้มีพระภาคแล 

จบ  นันทโกวาทสูตร  ที่  ๔






พุทธวจน : อ่านคำสอนพระศาสดา อ่านแบบสบายตา โดยคัดลอกหนังสือทั้งเล่มมาจัดทำเป็นเว็บเพจ (คลิกอ่านพร้อมดาวน์โหลดไฟล์ pdf)
90 90 90 90
พุทธประวัติ ขุมทรัพย์ อริยสัจ
ภาคต้น
อริยสัจ
ภาคปลาย
ปฏิจจ ปฐมธรรม ตถาคต อนาคามี อินทรีย์
สังวร
สัตว์
สัตตานัง
ทาน
สกทาคามี
ฆราวาส
ชั้นเลิศ
มรรควิธี
ที่ง่าย
อริยวินัย เดรัจฉานวิชา กรรม สมถะ
วิปัสสนา
โสดาบัน นา
ปานสติ
จิต มโน
วิญญาณ
ก้าวย่าง
อย่างพุทธะ
ตามรอย
ธรรม
ภพ ภูมิ
พุทธวจน
สาธยาย
ธรรม
สังโยชน์