31)
มารตั้งใจแกล้งโสมาภิกษุณี กล่าวว่าสตรีมีปัญญาเพียง สองนิ้ว ไม่อาจถึงฐานะได้ (บรรลุ) (โสมาสูตรที่ ๒)
[๕๒๕] สาวัตถีนิทาน ฯ
ครั้งนั้น เวลาเช้า โสมาภิกษุณีนุ่งห่มแล้ว ถือบาตรและจีวรเข้าไป บิณฑบาตยังพระนครสาวัตถี เที่ยวบิณฑบาตไปในพระนครสาวัตถีแล้ว เวลา ปัจฉาภัต กลับจากบิณฑบาตแล้ว เข้าไปยังป่าอันธวันเพื่อพักผ่อนกลางวัน ครั้นถึงป่าอันธวันแล้ว จึงนั่งพักกลางวันที่โคน
ไม้ต้นหนึ่ง
[๕๒๖] ลำดับนั้น มารผู้มีบาป ใคร่จะให้ โสมาภิกษุณี บังเกิดความกลัว
ความหวาดเสียวความขนพองสยองเกล้า และใคร่จะให้เคลื่อนจากสมาธิ จึงเข้าไป
หา โสมาภิกษุณี ถึงที่นั่งพัก ครั้นแล้ว ได้กล่าวกะ โสมาภิกษุณี ด้วยคาถาว่า สตรีมี
ปัญญาเพียงสองนิ้ว ไม่อาจถึงฐานะ อันจะพึงอดทนได้ด้วยยาก ซึ่งท่านผู้แสวง ทั้งหลายจะพึงถึงได้
[๕๒๗] ลำดับนั้น โสมาภิกษุณีได้มีความดำริว่า นี่ใครหนอกล่าวคาถา จะเป็น
มนุษย์หรืออมนุษย์ ฯ ทันใดนั้น โสมาภิกษุณีได้มีความดำริว่า นี่คือ มารผู้มีบาป ใคร่จะให้เรา บังเกิดความกลัวความหวาดเสียว ความขนพอง สยองเกล้า และใคร่จะ
ให้เคลื่อนจากสมาธิ จึงกล่าวคาถา
ครั้นโสมาภิกษุณีทราบว่า นี่คือ มารผู้มีบาป แล้วจึงได้กล่าวกะ มารผู้มีบาป ด้วยคาถาว่าความเป็นสตรีจะทำอะไรได้ เมื่อจิตตั้งมั่นดีแล้ว เมื่อญาณ เป็นไปแก่ ผู้เห็นธรรมอยู่โดยชอบ ผู้ใดจะพึงมีความคิดเห็นแน่อย่างนี้ว่า เราเป็นสตรี หรือว่าเรา เป็นบุรุษ หรือจะยังมีความเกาะเกี่ยวว่า เรามีอยู่ มาร ควรจะกล่าวกะผู้นั้น
ลำดับนั้น มารผู้มีบาปเป็นทุกข์ เสียใจว่า โสมาภิกษุณีรู้จักเรา ดังนี้ จึงได้อันตรธานไปในที่นั้นเอง
32)
มาร แกล้งกิสาโคตมีภิกษุณี กล่าวว่าท่านมาอยู่ ป่าคนเดียว เพื่อแสวงหาบุรุษ หรือ (โคตมีสูตรที่ ๓)
[๕๒๘] สาวัตถีนิทาน ฯ
ครั้งนั้น เวลาเช้า กิสาโคตมีภิกษุณีนุ่งห่มแล้ว ถือบาตรและจีวร เข้าไปบิณฑบาต ในพระนครสาวัตถี เที่ยวบิณฑบาตไปในพระนครสาวัตถีแล้ว เวลาปัจฉาภัตกลับจาก บิณฑบาตแล้วเข้าไปยังป่าอันธวันเพื่อพักผ่อนกลางวัน ครั้นถึงป่าอันธวันแล้ว จึงนั่งพักกลางวันที่โคนไม้ต้นหนึ่ง ฯ
[๕๒๙] ลำดับนั้น มารผู้มีบาป ใคร่จะให้ กิสาโคตมีภิกษุณี บังเกิดความกลัว ความหวาดเสียว ความขนพองสยองเกล้า และใคร่จะให้เคลื่อนจากสมาธิ จึงเข้าไป
หา กิสาโคตมีภิกษุณี ถึงที่นั่งพัก ครั้นแล้วได้กล่าวกะกิสาโคตมีภิกษุณีด้วยคาถาว่า ท่านมีบุตรตายแล้ว มานั่งอยู่คนเดียว มีหน้าเหมือนคนร้องไห้ มาอยู่กลางป่า คนเดียว
กำลังแสวงหาบุรุษบ้างหรือหนอ
[๕๓๐] ลำดับนั้น กิสาโคตมีภิกษุณีได้มีความดำริว่า นี่ใครหนอกล่าวคาถา จะเป็นมนุษย์หรืออมนุษย์
ทันใดนั้น กิสาโคตมีภิกษุณีได้มีความดำริว่า นี่คือ มารผู้มีบาป ใคร่จะให้เรา บังเกิด ความกลัว ความหวาดเสียว ความขนพองสยองเกล้าและใคร่จะให้เคลื่อน จากสมาธิ จึงกล่าวคาถา
ครั้นกิสาโคตมีภิกษุณีทราบว่า นี่คือ มารผู้มีบาปแล้ว จึงได้กล่าวกะ มารผู้มีบาป ด้วยคาถาว่าเรามีบุตรตายแล้ว เหมือนความตายของบุตร ถึงที่สุดแล้ว บุรุษทั้งหลาย ก็มีความตายของบุตรนี้เป็นที่สุดเหมือนกัน เราไม่เศร้าโศก ไม่ร้องไห้ไม่กลัว ความตาย นั้นดอก
ผู้มีอายุ ความเพลิดเพลินในส่วนทั้งปวง เรากำจัดแล้วกองมืดเราทำลายแล้ว เราชนะเสนาแห่งมัจจุแล้ว ไม่มีอาสวะอยู่
ลำดับนั้น มารผู้มีบาปเป็นทุกข์ เสียใจ ว่า กิสาโคตมีภิกษุณีรู้จักเรา ดังนี้ จึงได้อันตรธานไปในที่นั้นเอง
33)
มาร แกล้งกิสาโคตมีภิกษุณีให้เสียสมาธิ กล่าวว่าเธอยังเป็น สาวรูปงาม และฉันก็ยังหนุ่มแน่น มาเถิดเรามาอภิรมย์กัน
(วิชยาสูตรที่ ๔)
[๕๓๑] สาวัตถีนิทาน ฯ
ครั้งนั้น เวลาเช้า วิชยาภิกษุณีนุ่งห่มแล้ว ถือบาตรและจีวร ฯลฯจึงนั่งพักกลางวัน ที่โคนไม้ต้นหนึ่ง
[๕๓๒] ลำดับนั้น มารผู้มีบาป ใคร่จะให้ วิชยาภิกษุณี บังเกิดความกลัว ความหวาดเสียว ความขนพองสยองเกล้า และใคร่จะให้เคลื่อนจากสมาธิ จึงเข้า ไปหาวิชยาภิกษุณีถึงที่นั่งพักครั้นแล้ว ได้กล่าวกะวิชยาภิกษุณีด้วยคาถา ว่าเธอ ยังเป็นสาว มีรูปงาม และฉันก็ยังเป็นหนุ่มแน่น มาเถิดนาง เรามาอภิรมย์กัน ด้วยดนตรี มีองค์ห้า
[๕๓๓] ลำดับนั้น วิชยาภิกษุณีได้มีความดำริว่า นี่ใครหนอกล่าว คาถา
จะเป็นมนุษย์ หรืออมนุษย์
ทันใดนั้น วิชยาภิกษุณีได้มีความดำริว่า นี่คือ มารผู้มีบาป ใคร่จะให้เราบังเกิด ความกลัวความหวาดเสียว ความขนพองสยองเกล้า และใคร่จะให้เคลื่อนจากสมาธิ จึงได้กล่าวคาถา
ครั้นวิชยาภิกษุณีทราบว่า นี่คือมารผู้มีบาปแล้ว จึงได้กล่าวกะ มารผู้มีบาป ด้วยคาถาว่า ดูกรมาร รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อันน่ารื่นรมย์ใจ เราขอมอบให้ ท่านผู้เดียว เพราะเราไม่ต้องการมัน เราอึดอัดระอาด้วยกายเน่า อันจะแตกทำลาย เปื่อยพังไปนี้ กามตัณหา เราถอนได้แล้วความมืดในรูปภพที่สัตว์ทั้งหลายเข้าถึง ในอรูปภพที่สัตว์ทั้งหลายเป็นภาคี และในสมาบัติอันสงบทั้งปวง เรากำจัดได้แล้ว
ลำดับนั้น มารผู้มีบาปเป็นทุกข์ เสียใจว่า วิชยาภิกษุณีรู้จักเรา ดังนี้ จึงได้อันตรธานไปในที่นั้นเอง
34)
มาร แกล้งถาม
อุบลวรรณาภิกษุณีว่า ท่านยืนอยู่คนเดียว เพราะกลัวนักเลงหรือ (อุบลวรรณาสูตรที่ ๕)
[๕๓๔] สาวัตถีนิทาน ฯ
ครั้งนั้น เวลาเช้า อุบลวรรณาภิกษุณีนุ่งห่มแล้ว ถือบาตรและจีวร ฯลฯ ได้ยืนอยู่ที่ โคนต้น สาลพฤกษ์ซึ่งมีดอกบานสะพรั่ง ต้นหนึ่ง
[๕๓๕] ลำดับนั้น มารผู้มีบาป ใคร่จะให้ อุบลวรรณาภิกษุณี บังเกิดความ
กลัว ความหวาดเสียว ความขนพองสยองเกล้า และใคร่จะให้เคลื่อนจากสมาธิ
จึงเข้าไปหาอุบลวรรณาภิกษุณี ถึงที่ที่ยืนอยู่ ครั้นแล้วได้กล่าวกะอุบลวรรณา ภิกษุณี ด้วยคาถาว่า ดูกรภิกษุณี ท่านคนเดียว เข้ามายังต้นสาลพฤกษ์ซึ่งมี
ดอกบานสะพรั่ง ตลอดยอด แล้วยืนอยู่ที่โคนต้นสาลพฤกษ์ ก็ฉวีวรรณของท่าน ไม่มีที่สองคนทั้งหลาย ก็จะมาในที่นี้เช่นท่านท่านกลัวพวกนักเลงเพราะความ เขลาหรือ
[๕๓๖] ลำดับนั้น อุบลวรรณาภิกษุณีได้มีความดำริว่า นี่ใครหนอกล่าว คาถา
จะ เป็นมนุษย์หรืออมนุษย์ ฯ
ทันใดนั้น อุบลวรรณาภิกษุณีได้มีความดำริว่า นี่คือ มารผู้มีบาป ใคร่จะให้เรา บังเกิดความกลัวความหวาดเสียว ความขนพองสยองเกล้า และใคร่จะให้เคลื่อน จาก สมาธิ จึงกล่าวคาถา
ครั้นอุบลวรรณาภิกษุณีทราบว่า นี่คือ มารผู้มีบาปแล้วจึงได้กล่าวกะ มารผู้มีบาป ด้วยคาถาว่าแม้นักเลงตั้งแสนมาในที่นี้ ก็ตามเถิด เราไม่สะเทือนขน ไม่สะดุ้ง
ดูกร มาร ถึงเราคนเดียว ก็ไม่กลัวท่าน
เรานี้จะหายตัวหรือเข้าท้องพวกท่าน แม้จะยืนอยู่ ณ ระหว่าง ดวงตาบน
ดั้งจมูก ท่านจักไม่เห็นเราฯ เราเป็นผู้ชำนาญในจิต อิทธิบาทเราเจริญดีแล้ว เราพ้นแล้ว จากเครื่องผูกทุกชนิด เราไม่กลัวท่านดอก ท่านผู้มีอายุ
ลำดับนั้น มารผู้มีบาปเป็นทุกข์ เสียใจว่า อุบลวรรณาภิกษุณีรู้จักเรา ดังนี้ จึงได้อันตรธานไปในที่นั้นเอง
35)
มาร แกล้งจาลาภิกษุณี เสียสมาธิ จึงถามว่าดูกรภิกษุณี ท่านไม่ชอบใจอะไรหนอ (จาลาสูตรที่ ๖)
[๕๓๗] สาวัตถีนิทาน ฯ
ครั้งนั้น เวลาเช้า จาลาภิกษุณีนุ่งห่มแล้ว ถือบาตรและจีวรเข้าไป บิณฑบาตยัง พระนครสาวัตถี เที่ยวบิณฑบาตไปในพระนครสาวัตถีแล้ว เวลาปัจฉาภัตกลับจาก บิณฑบาตแล้วเข้าไปยังป่าอันธวันเพื่อพักกลางวัน ครั้นถึงป่าอันธวัน แล้วจึงนั่งพัก กลางวันที่โคนไม้ต้นหนึ่ง
[๕๓๘] ลำดับนั้น มารผู้มีบาป ใคร่จะให้ จาลาภิกษุณี บังเกิดความกลัว
ความหวาดเสียวความขนพองสยองเกล้า และใคร่จะให้เคลื่อนจากสมาธิ จึงเข้าไป หา จาลาภิกษุณีถึงที่นั่งพัก ครั้นแล้วได้กล่าวกะจาลาภิกษุณีว่า ดูกรภิกษุณี
ท่านไม่
ชอบใจอะไรหนอ
จาลาภิกษุณีตอบว่า ดูกรท่านผู้มีอายุ เราไม่ชอบความเกิดเลย
[๕๓๙] ม. เพราะเหตุไรหนอ ท่านจึงไม่ชอบความเกิด ผู้เกิดมาแล้วย่อม บริโภคกาม ใครหนอให้ท่านยึดถือเรื่องนี้ อย่าเลยภิกษุณี ท่านจงชอบความเกิดขึ้น
[๕๔๐] จา.ความตายย่อมมีแก่ผู้ที่เกิดมาแล้ว ผู้ที่เกิดมาแล้วย่อมพบเห็นทุกข์
คือการจองจำ การฆ่า ความเศร้าหมอง เพราะฉะนั้น เราจึงไม่ชอบ ความเกิด
พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมเป็นเครื่องก้าวล่วงความเกิด พระองค์สอนให้เรา ตั้งอยู่ ในสัจจะเพื่อละทุกข์ทั้งมวล
สัตว์เหล่าใดเข้าถึงรูปภพ และสัตว์เหล่าใดเป็นภาคีแห่ง อรูปภพสัตว์เหล่านั้น เมื่อยังไม่รู้นิโรธ ต้องมาสู่ภพอีก
ลำดับนั้น มารผู้มีบาปเป็นทุกข์ เสียใจว่า จาลาภิกษุณีรู้จักเรา ดังนี้ จึงได้ อันตรธานไปในที่นั้นเอง
36)
มาร แกล้งอุปจาลาภิกษุณี เสียสมาธิ จึงถามว่าดูกรภิกษุณี ว่าท่านอยากเกิดหรือหนอ... (อุปจาลาสูตรที่ ๗)
[๕๔๑] สาวัตถีนิทาน ฯ
ครั้งนั้น เวลาเช้า อุปจาลาภิกษุณีนุ่งห่มแล้ว ถือบาตรและจีวรเข้าไป บิณฑบาต ยังพระนครสาวัตถี เที่ยวบิณฑบาตไปในพระนครสาวัตถีแล้ว เวลาปัจฉาภัตกลับจาก
บิณฑบาตแล้วเข้าไปยังป่าอันธวัน เพื่อพัก กลางวัน ครั้นถึงป่าอันธวันแล้วจึงนั่งพัก กลางวันอยู่ที่โคนไม้ต้นหนึ่ง ฯ
[๕๔๒] ลำดับนั้น มารผู้มีบาป ใคร่จะให้ อุปจาลาภิกษุณี บังเกิดความกลัว ความหวาดเสียว ความขนพองสยองเกล้า และใคร่จะให้เคลื่อนจากสมาธิ จึงเข้าไป หา อุปจาลาภิกษุณี ถึงที่นั่งพัก ครั้นแล้วได้กล่าวกะอุปจาลาภิกษุณีว่า ดูกรภิกษุณี อย่างไรหนอ ท่านจึงอยากจะเกิด
อุปจาลาภิกษุณีตอบว่า
ดูกรท่านผู้มีอายุ เราไม่อยากเกิดในที่ไหนๆเลย
[๕๔๓] ม. ท่านจงตั้งจิตไว้ในพวกเทพชั้นดาวดึงส์ ชั้นยาม ชั้นดุสิต
ชั้นนิมมานรดี และ ชั้นวสวดีเถิด ท่านจักได้เสวยความยินดี
[๕๔๔] อุ. พวกเทพชั้นดาวดึงส์ ชั้นยาม ชั้นดุสิต ชั้นนิมมานรดี และชั้น วสวดี ยังผูกพันอยู่ด้วยเครื่องผูกคือกาม จำต้องกลับมาสู่ อำนาจมาร อีก โลก ทั้งหมด เร่าร้อน โลกทั้งหมดคุเป็นควัน โลกทั้งหมดลุกโพลง โลกทั้งหมดสั่น สะเทือน ใจของเรายินดีแน่วในพระนิพพาน อันไม่สั่นสะเทือน อันไม่หวั่นไหว ที่ปุถุชนเสพ ไม่ได้ มิใช่คติของ มาร
ลำดับนั้น มารผู้มีบาปเป็นทุกข์ เสียใจว่า อุปจาลาภิกษุณีรู้จักเรา ดังนี้ จึงได้ อันตรธานไปในที่นั้นเอง
37)
มาร เข้าหา สีสุปจาลาภิกษุณ ถึงที่พัก ถามว่าดูกรภิกษุณี ท่านชอบใจทิฐิของใครหนอ (สีสุปจาลาสูตรที่ ๘)
[๕๔๕] สาวัตถีนิทาน ฯ
ครั้งนั้น เวลาเช้า สีสุปจาลาภิกษุณีนุ่งห่มแล้ว ถือบาตรและจีวรเข้าไปบิณฑบาต ยังพระนครสาวัตถี เที่ยวบิณฑบาตไปในพระนครสาวัตถีแล้ว เวลาปัจฉาภัตกลับจาก บิณฑบาตแล้วเข้าไปยังป่าอันธวันเพื่อพักกลางวัน ครั้นถึงป่าอันธวัน จึงนั่งพัก กลางวัน ที่โคนไม้ต้นหนึ่ง ฯ
[๕๔๖] ลำดับนั้น มารผู้มีบาป เข้าไปหา สีสุปจาลาภิกษุณี ถึงที่นั่งพัก
ครั้นแล้ว ได้กล่าวกะสีสุปจาลาภิกษุณีว่า ดูกรภิกษุณี ท่านชอบใจทิฐิของใครหนอ
สีสุปจาลาภิกษุณีตอบว่า ดูกรท่านผู้มีอายุ เราไม่ชอบใจทิฐิของใคร เลย
[๕๔๗] ม. ท่านจงใจเป็นคนโล้น ปรากฏตัวเหมือนสมณะ แต่ไฉน ท่านจึง ไม่ชอบใจทิฐิ ท่านจึงประพฤติเรื่องนี้ เพราะความงมงายดอกหรือ
[๕๔๘] สี. คนเจ้าทิฐิ ภายนอกพระศาสนานี้ ย่อมจมอยู่ในทิฐิทั้งหลาย เราไม่ชอบใจธรรมของพวกเขา พวกเขาเป็นคน ไม่ฉลาดต่อธรรมยังมีพระพุทธเจ้า ผู้เสด็จอุบัติในศากยสกุล หาบุคคลอื่นเปรียบมิได้ทรงครอบงำส่วนทั้งปวง ทรงบรรเทาเสียซึ่ง มาร ไม่ปราชัยในที่ทุกสถาน ทรงพ้นแล้วในส่วนทั้งปวง เป็นผู้อันตัณหาและทิฐิอาศัยไม่ได้ มีพระจักษุทร เห็นธรรมทั้งปวง ทรงบรรลุธรรม เป็นที่สิ้นกรรมทุกอย่าง ทรงน้อมไปในธรรมเป็นที่สิ้นอุปธิ พระผู้มีพระภาคพระองค์ นั้น เป็นศาสดาของเรา เราชอบใจคำสอนของพระองค์ท่าน
ลำดับนั้น มารผู้มีบาปเป็นทุกข์ เสียใจว่า สีสุปจาลาภิกษุณีรู้จักเรา ดังนี้ จึงได้อันตรธานไปในที่นั้นเอง
38)
มาร เข้าหาเสลาภิกษุณี ถามว่ารูปนี้ใครสร้าง ผู้สร้างรูป อยู่ที่ไหน รูปบังเกิดในที่ไหน รูปดับไปในที่ไหน (เสลาสูตรที่ ๙)
[๕๔๙] สาวัตถีนิทาน ฯ
ครั้งนั้น เวลาเช้า เสลาภิกษุณีนุ่งห่มแล้ว ถือบาตรและจีวรเข้าไป บิณฑบาตยัง พระนครสาวัตถี เที่ยวบิณฑบาตไปในพระนครสาวัตถีแล้ว เวลาปัจฉาภัต กลับจาก บิณฑบาตแล้วเข้าไปยังป่าอันธวันเพื่อพักกลางวัน ครั้นถึงป่าอันธวันแล้ว จึงนั่งพัก กลางวันที่โคนไม้ต้นหนึ่ง
[๕๕๐] ลำดับนั้น มารผู้มีบาป ใคร่จะให้ เสลาภิกษุณี บังเกิดความกลัว ความหวาดเสียวความขนพองสยองเกล้า และใคร่จะให้เคลื่อนจากสมาธิ จึงเข้า ไปหาเสลาภิกษุณีถึงที่นั่งพัก ครั้นแล้ว ได้กล่าวกะเสลาภิกษุณีด้วยคาถาว่า
รูปนี้ ใครสร้าง ผู้สร้างรูปอยู่ที่ไหน รูปบังเกิดในที่ไหน รูปดับไปในที่ไหน
[๕๕๑] ลำดับนั้น เสลาภิกษุณีได้มีความดำริว่า นี่ใครหนอกล่าวคาถา จะเป็น มนุษย์หรืออมนุษย์
ทันใดนั้น เสลาภิกษุณีได้มีความดำริว่า นี่คือ มารผู้มีบาป ใคร่จะให้เราบังเกิด ความกลัว ความหวาดเสียว ความขนพองสยองเกล้า และใคร่จะให้เคลื่อนจากสมาธิ จึงกล่าวคาถา
ครั้นเสลาภิกษุณีทราบว่า นี่คือ มารผู้มีบาป แล้ว จึงได้กล่าวกะ มารผู้มีบาป ด้วยคาถาว่า รูปนี้ ไม่มีใครสร้าง อัตภาพนี้ ไม่มีใครก่อ รูปเกิดขึ้นเพราะอาศัยเหตุ ดับไปเพราะเหตุดับ
พืชชนิดใดชนิดหนึ่ง ที่บุคคลหว่านลงในนา ย่อมงอกขึ้นเพราะอาศัยเหตุ ๒ ประการ คือ รสในแผ่นดิน และยางในพืช ฉันใด ขันธ์ธาตุ และอายตนะ ๖ เหล่านี้ ก็เกิดขึ้น
เพราะอาศัยเหตุดับไป ฉันนั้น
ลำดับนั้น มารผู้มีบาปเป็นทุกข์ เสียใจว่า เสลาภิกษุณีรู้จักเรา ดังนี้ จึงได้
อันตรธานไป ในที่นั้นเอง
39)
มาร เข้าหาเสลาภิกษุณี ถามว่า รูปนี้ สัตว์นี้ ใครสร้าง ผู้สร้างสัตว์อยู่ที่ไหน สัตว์บังเกิดในที่ไหน สัตว์ดับไปในที่ไหน
(วชิราสูตรที่ ๑๐)
[๕๕๒] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถ บิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี
ครั้งนั้น เวลาเช้า วชิราภิกษุณีนุ่งห่มแล้ว ถือบาตรและจีวรเข้าไป บิณฑบาต ยังพระนครสาวัตถี เที่ยวบิณฑบาต ไปในพระนครสาวัตถีแล้ว เวลาปัจฉาภัต กลับจากบิณฑบาต แล้วเข้าไปยังป่าอันธวัน เพื่อพักกลางวัน ครั้นถึงป่าอันธวันแล้ว จึงนั่งพักกลางวันที่โคนไม้ต้นหนึ่ง
[๕๕๓] ลำดับนั้น มารผู้มีบาป ใคร่จะให้ วชิราภิกษุณี บังเกิดความกลัว ความหวาดเสียวความขนพองสยองเกล้า และใคร่จะให้เคลื่อนจากสมาธิ จึงเข้าไป หาวชิราภิกษุณี ถึงที่นั่งพัก ครั้นแล้วได้กล่าวกะวชิราภิกษุณีด้วยคาถาว่า
สัตว์นี้ ใครสร้าง ผู้สร้างสัตว์อยู่ที่ไหน สัตว์บังเกิดใน ที่ไหน สัตว์ดับไป ในที่ไหน
[๕๕๔] ลำดับนั้น วชิราภิกษุณีได้มีความดำริว่า นี่ใครหนอกล่าวคาถา จะเป็น
มนุษย์ หรืออมนุษย์
ทันใดนั้น วชิราภิกษุณีได้มีความดำริว่า นี่คือ มารผู้มีบาป ใคร่จะให้เราบังเกิด ความกลัวความหวาดเสียว ความขนพองสยองเกล้า และใคร่จะให้เคลื่อน จากสมาธิ จึงกล่าวคาถา
ครั้นวชิราภิกษุณีทราบว่า นี่คือ มารผู้มีบาปแล้วจึงได้กล่าวกะ มารผู้มีบาป ด้วยคาถาว่า
ดูกร มาร เพราะเหตุไรหนอ ความเห็นของท่านจึงหวนกลับมาว่าสัตว์
ในกอง สังขาร
ล้วนนี้ ย่อมไม่ได้นามว่าสัตว์
เหมือนอย่างว่า
เพราะคุมส่วน ทั้งหลายเข้า
เสียงว่ารถ ย่อมมี ฉันใด
เมื่อขันธ์ทั้งหลายยังมีอยู่ การสมมติว่าสัตว์ย่อมมี ฉันนั้น
ความจริงทุกข์เท่านั้นย่อมเกิด ทุกข์ย่อมตั้งอยู่และเสื่อมสิ้นไป นอกจากทุกข์
ไม่มีอะไรเกิด นอกจากทุกข์ ไม่มี อะไรดับ
ลำดับนั้น มารผู้มีบาปเป็นทุกข์ เสียใจ ว่า วชิราภิกษุณีรู้จักเรา ดังนี้ จึงได้อันตรธานไป ในที่นั้นเอง
|