10)
ทรงทำลายเครื่องผูกของมาร (ทุติยปาสสูตรที่ ๕)
[๔๒๘] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน เขตพระนคร พาราณสี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นได้ทูลรับพระดำรัสของพระผู้มีพระภาคแล้ว
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราพ้นแล้วจากบ่วงทั้งปวง ทั้งที่เป็นของทิพย์ ทั้งที่เป็นของมนุษย์ ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้เธอทั้งหลายก็พ้นแล้ว จากบ่วงทั้งปวง ทั้งที่เป็นของ ทิพย์ ทั้งที่เป็นของมนุษย์
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงเที่ยวจาริกไป เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแก่ชน หมู่มาก เพื่อความสุขแก่ชนหมู่มาก เพื่ออนุเคราะห์โลก เพื่อประโยชน์เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุขแก่เทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย เธอทั้งหลายอย่าได้ไปด้วยกัน ๒ รูป โดยทางเดียวกัน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงแสดงธรรม งามในเบื้องต้น งามในท่ามกลาง งามในที่สุด จงประกาศพรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้ง พยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง สัตว์ทั้งหลาย ผู้มีธุลีในจักษุน้อยมีอยู่ เพราะไม่ได้ ฟังธรรมย่อมเสื่อมรอบ ผู้รู้ทั่วถึงซึ่งธรรมจักมี ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้เราก็จักไปยัง อุรุเวลา เสนานิคม เพื่อแสดงธรรม
[๔๒๙] ครั้งนั้นแล มารผู้มีบาป เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถึงที่ประทับ แล้วได้ทูลพระผู้มีพระภาค ด้วยคาถาว่า ท่านเป็นผู้ที่ถูกเราผูกไว้แล้ว ด้วยบ่วง ทั้งปวง ทั้งที่เป็นของทิพย์ ทั้งที่เป็น ของมนุษย์ ท่านเป็นผู้ที่ถูกเราผูกไว้แล้ว ด้วยเครื่องพันธนาการอันใหญ่ดูกรสมณะ ท่านจักไม่ พ้นไป จากวิสัยของเราได้
[๔๓๐] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า นี่ มารผู้มีบาป จึงได้ตรัส กะ มารผู้มีบาป ด้วยพระคาถาว่าเราเป็นผู้พ้นแล้วจากบ่วงทั้งปวง ทั้งที่เป็นของทิพย์ ทั้งที่เป็นของมนุษย์ เราเป็นผู้ พ้นแล้ว จากเครื่องพันธนาการอันใหญ่ ดูกรมาร ผู้กระทำซึ่งความพินาศ ท่านเป็นผู้ที่เรากำจัดเสีย ได้แล้ว
ครั้งนั้นแล มารผู้มีบาปเป็นทุกข์เสียใจ พระผู้มีพระภาคทรงรู้จักเรา พระสุคต ทรงรู้จักเราดังนี้ จึงได้อันตรธานไป ณ ที่นั้นเอง
11)
มารแปลงร่างเป็นพญางูใหญ่ แต่ไม่อาจทำร้ายผู้ทำลายอุปธิ (ขันธ๕)ได้ (สัปปสูตรที่ ๖)
[๔๓๑] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวันอันเป็นสถาน ที่พระราชทาน เหยื่อแก่กระแต เขตกรุงราชคฤห์
ก็โดยสมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคได้ประทับนั่งในที่กลางแจ้งในราตรี อันมืดทึบ และฝนกำลังตกประปรายอยู่
[๔๓๒] ครั้งนั้นแล มารผู้มีบาป ใคร่จะให้เกิดความกลัว ความครั่นคร้าม ขนลุก ขนพอง แก่พระผู้มีพระภาค จึงนิรมิตเพศเป็นพระยางูใหญ่เข้าไปใกล้ พระผู้มีพระภาค ถึงที่ประทับกาย ของพระยางูนั้น เป็นเหมือนเรือลำใหญ่ ที่ขุด ด้วยซุง ทั้งต้น พังพานของมัน เป็นเหมือนเสื่อลำแพนผืนใหญ่ สำหรับปูตากแป้ง ของช่าง ทำสุรา นัยน์ตาของมัน เป็นเหมือนถาดสำริดใบใหญ่ ของพระเจ้าโกศล ลิ้นของมัน แลบออกจากปากเหมือนสายฟ้าแลบ ในขณะที่เมฆกำลังกระหึ่มฉะนั้น เสียงหายใจเข้าออกของมัน เหมือนเสียงสูบช่างทอง ที่กำลังพ่นลมอยู่ก็ปานกัน
[๔๓๓] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า นี่ มารผู้มีบาป ดังนี้ จึงได้ตรัสกะ มารผู้มีบาป ด้วยพระคาถา ทั้งหลายว่ามุนีเสพเรือนว่างเปล่า เพื่ออยู่อาศัย มุนีนั้นเป็นผู้มีตนอันสำรวมแล้ว เขาสละความอาลัยในอัตภาพ นั้น เที่ยวไป เพราะการสละความอาลัยในอัตภาพแล้วเที่ยวไปนั้น เหมาะสมแก่ผู้เช่นนั้น
สัตว์ที่สัญจรไปมาก็มาก สิ่งที่น่ากลัวก็มาก อนึ่ง เหลือบและสัตว์เลื้อยคลาน ก็ชุกชุม (แต่) มหามุนีผู้อยู่ในเรือนว่าง เปล่า ย่อมไม่ยังแม้แต่ขนให้ไหว้ ในเพราะสิ่ง ที่น่ากลัวเหล่านั้น
ถึงแม้ท้องฟ้าจะพึงแตก แผ่นดินจะพึงไหว สัตว์ทั้งหลาย พึงสะดุ้งกลัว กันหมด ก็ตามที แม้ถึงว่าหอกหรือหลาว จะจ่ออยู่ที่อกก็ตามเถิด พระพุทธเจ้า ทั้งหลาย ย่อมไม่ทรงทำการป้องกันในเพราะอุปธิ (คือขันธ์)ทั้งหลาย
ครั้งนั้นแล มารผู้มีบาป เป็นทุกข์ เสียใจว่า พระผู้มีพระภาคทรงรู้จักเรา พระสุคตทรงรู้จักเรา ดังนี้ จึงได้อันตรธานไปในที่นั้นเอง
12)
มารกล่าวหาว่าพระผู้มีพระภาคนอนตื่นสาย (สุปปติสูตรที่ ๗)
[๔๓๔] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวัน อันเป็นสถาน ที่พระราชทาน เหยื่อแก่กระแต เขตกรุงราชคฤห์
ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเสด็จจงกรม อยู่ในที่กลางแจ้ง เกือบตลอดราตรี ในสมัยใกล้รุ่งแห่งราตรี ทรงล้างพระบาทแล้ว เสด็จเข้าพระวิหารทรงสำเร็จสีหไสยา โดยพระปรัศเบื้องขวาทรงเหลื่อมพระบาท ด้วยพระบาท ทรงมีพระสติสัมปชัญญะ ทรงทำความหมาย ในอันจะเสด็จลุกขึ้นไว้ในพระหฤทัย
[๔๓๕] ครั้งนั้นแล มารผู้มีบาป ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถึงที่ประทับแล้ว ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาค ด้วยคาถาว่า ท่านหลับหรือ ท่านจะหลับเสียทำไมนะ ท่านหลับเป็นตายเทียว หรือนี่ท่านหลับโดยสำคัญว่า เราได้เรือนว่างเปล่ากระนั้น หรือ เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นโด่งแล้ว ท่านยังจะหลับ อยู่หรือนี่
[๔๓๖] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า นี่ มารผู้มีบาป จึงได้ตรัสกะ มารผู้มีบาป ด้วยพระคาถา ว่าพระพุทธเจ้าซึ่งไม่มี ตัณหาดุจข่าย ซึ่งแส่ไป ใน อารมณ์ต่างๆ สำหรับจะนำไปสู่ภพไหนๆ ย่อมบรรทมหลับ เพราะความสิ้นไปรอบ แห่งอุปธิทั้งปวง กงการอะไรของท่าน ในเรื่องนี้เล่า มารเอ๋ย
ครั้งนั้นแล มารผู้มีบาป เป็นทุกข์ เสียใจว่า พระผู้มีพระภาคทรงรู้จักเรา พระสุคต ทรงรู้จักเรา ดังนี้ จึงได้อันตรธานไปในที่นั้นเอง
13)
ทรงตรัสกับมารว่า คนมีบุตร ย่อมเศร้าโศกเพราะบุตร คนมีโค ก็ย่อมเศร้าโศกเพราะโค (นันทนสูตรที่ ๘)
[๔๓๘] ครั้งนั้นแล มารผู้มีบาป ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ
แล้ว
ได้กล่าวคาถานี้ในสำนัก พระผู้มีพระภาค ว่าคนมีบุตร ย่อมเพลิดเพลิน เพราะบุตร คนมีโคก็ย่อมเพลิดเพลิน เพราะโค ฉันนั้นเหมือนกัน อุปธิทั้งหลาย นั่นแล เป็นเครื่องเพลิดเพลินของนรชน เพราะคนที่ไม่มีอุปธิหาเพลิดเพลินไม่
[๔๓๙] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า นี่มารผู้มีบาป จึงได้ ตรัสกะมารผู้มีบาป ด้วยพระคาถาว่า คนมีบุตร ย่อมเศร้าโศกเพราะบุตร คนมีโค ก็ย่อมเศร้าโศกเพราะโค ฉัน นั้นเหมือนกัน อุปธิทั้งหลายนั่นแล เป็นเหตุเศร้าโศก ของนรชน เพราะคนที่ไม่มีอุปธิหาเศร้าโศกไม่
ครั้งนั้นแล มารผู้มีบาป เป็นทุกข์ เสียใจว่า พระผู้มีพระภาคทรงรู้จักเรา พระสุคตทรงรู้จักเรา ดังนี้ จึงได้อันตรธานไปในที่นั้นเอง
14)
ตรัสกับมารว่า มนุษย์มีอายุน้อย คนดีควรดูหมิ่นอายุนั้นเสีย มัจจุ จะไม่มาเลย (ปฐมอายุสูตรที่ ๙)
[๔๔๐] .... ดูกรภิกษุทั้งหลาย อายุของมนุษย์ทั้งหลายนี้น้อยนัก จำต้องไปสู่สัมปรายภพ ควรทำกุศล ควรประพฤติพรหมจรรย์ สัตว์ผู้เกิดมาแล้ว จะไม่ตายไม่มี ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนที่เป็นอยู่นาน ย่อมเป็นอยู่ได้เพียงร้อยปี หรือ จะอยู่เกินไปได้บ้างก็มีน้อย
[๔๔๑] ครั้งนั้นแล มารผู้มีบาป ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ แล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาค ด้วยคาถาว่า อายุของมนุษย์ทั้งหลายยืนยาว คนดีไม่ควรดูหมิ่นอายุนั้นเลย ควรประพฤติดุจเด็กอ่อน ที่มุ่งแต่จะกินนม ฉะนั้น การมาแห่งมัจจุไม่มี
[๔๔๒] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า นี่ มารผู้มีบาป จึงได้ ตรัสกะ มารผู้มีบาป ด้วยพระคาถาว่า อายุของมนุษย์ทั้งหลายน้อย คนดีควรดูหมิ่น อายุนั้นเสีย ควรประพฤติดุจคนที่ถูกไฟไหม้ศีรษะ ฉะนั้นการที่จะไม่มาแห่ง มัจจุ ไม่มีเลย
ครั้งนั้นแล มารผู้มีบาป เป็นทุกข์ เสียใจว่า พระผู้มีพระภาคทรงรู้จักเรา พระสุคต ทรงรู้จักเรา ดังนี้ จึงได้อันตรธาน ไปในที่นั้นแล
15)
ตรัสกับมารว่า วันคืนย่อมผ่านพ้นไป อายุที่เหลืออยู่ ควรทำ แต่กุศล (ทุติยอายุสูตรที่ ๑๐)
[๔๔๓] ..... ดูกรภิกษุทั้งหลาย อายุของมนุษย์ทั้งหลายนี้ น้อยนัก จำต้องไปสู่ สัมปรายภพ ควรทำกุศล ควรประพฤติ พรหมจรรย์ สัตว์ผู้เกิดแล้ว จะไม่ตายไม่มีเลย
ดูกรภิกษุทั้งหลาย คนที่เป็น อยู่นาน ย่อมเป็นอยู่ได้เพียงร้อยปี หรือจะเกิน ขึ้นไปก็น้อย ดังนี้
[๔๔๔] ครั้งนั้นแล มารผู้มีบาป ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ แล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาค ด้วยคาถาว่าวันคืนย่อมไม่ผ่านพ้นไป ชีวิตย่อม ไม่รุกร้นไป อายุย่อมจรตามสัตว์ทั้งหลายไป ดุจกงจร ตามธูปรถไป ฉะนั้น ดังนี้
[๔๔๕] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า นี่ มารผู้มีบาป จึงได้ ตรัสกะ มารผู้มีบาป ด้วยพระคาถาว่า วันคืนย่อมผ่านพ้นไป ชีวิตย่อมรุกร้นไป อายุของสัตว์ทั้งหลาย ย่อมสิ้นเปลืองไป ดุจน้ำแห่งแม่น้ำน้อย ฉะนั้น ดังนี้
ครั้งนั้นแล มารผู้มีบาป เป็นทุกข์ เสียใจว่า พระผู้มีพระภาคทรงรู้จักเรา พระสุคตทรงรู้จักเรา ดังนี้ จึงได้อันตรธานไปในที่นั้นแล
16)
มารกลิ้งหินเข้าใกล้พระผู้มีพระภาค แต่ไม่ทรงหวั่นไหว
(ปาสานสูตรที่ ๑)
[๔๔๖] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ภูเขาคิชฌกูฏเขต กรุงราชคฤห์
ก็สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคประทับนั่งในที่แจ้ง ในเวลากลางคืนอันมืด และ ฝนกำลังตกประปรายอยู่
[๔๔๗] ครั้งนั้นแล มารผู้มีบาป ต้องการจะยังความกลัว ความหวาดเสียว ขนพองสยองเกล้า ให้เกิดขึ้นแก่พระผู้มีพระภาค จึงเข้าไป ณ ที่พระผู้มีพระภาค ประทับอยู่ ครั้นแล้วกลิ้งศิลาก้อนใหญ่ๆ ไปใกล้พระผู้มีพระภาค
[๔๔๘] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า นี่ มารผู้มีบาป จึงตรัส สำทับ กะ มารผู้มีบาป ด้วยพระคาถา ว่าแม้ถึงว่า ท่านจะพึงกลิ้งภูเขาคิชฌกูฏ หมดทั้งสิ้น ความหวั่นไหวก็จะไม่มีแก่พระพุทธเจ้า ทั้งหลาย ผู้หลุดพ้นแล้ว โดยชอบแน่แท้
ลำดับนั้น มารผู้มีบาปเป็นทุกข์เสียใจว่า พระผู้มีพระภาคทรงรู้จักเรา พระสุคต ทรงรู้จักเรา ดังนี้ จึงได้หายไปในที่นั้นเอง
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง (ภาษาไทย) เล่มที่ ๑๕ หน้าที่ ๑๓๖
17)
มารดูหมิ่นพระผู้มีพระภาคว่าท่านเป็นผู้ชนะหรือ จึง
บันลือสีหนาทดุจราชสีห์ (สีหสูตรที่ ๒)
[๔๔๙] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี
ก็สมัยนั้นแล พระองค์แวดล้อมด้วยบริษัทหมู่ใหญ่ ทรงแสดงธรรมอยู่
ครั้งนั้นแล มารผู้มีบาป ได้มีความคิดเห็นอย่างนี้ว่า พระสมณโคดมนี้แล แวดล้อมด้วยบริษัทหมู่ใหญ่ แสดงธรรมอยู่ ถ้ากระไรเราพึงเข้าไปใกล้ ณ ที่พระสมณโคดม ประทับอยู่เพื่อการกำบังจักษุเถิด ฯ
[๔๕๐] ลำดับนั้น มารผู้มีบาป เข้าไปใกล้พระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นแล้ว กล่าวกะพระผู้มีพระภาค ด้วยคาถาว่าท่านเป็นผู้องอาจในบริษัท บันลือ สีหนาท ดุจราชสีห์ ฉะนั้นหรือก็ผู้ที่พอจะต่อสู้ท่านยังมี ท่านเข้าใจว่า เป็นผู้ชนะ แล้วหรือ
[๔๕๑] พระผู้มีพระภาค ตรัสตอบด้วยพระคาถาว่า ตถาคตเป็นมหาวีรบุรุษ องอาจในบริษัท บรรลุทส พลญาณ ข้ามตัณหา อันเป็นเหตุข้องในโลกเสียได้ บันลืออยู่โดยแท้
ครั้งนั้นแล มารผู้มีบาปเป็นทุกข์ เสียใจว่า พระผู้มีพระภาคทรงรู้จักเรา พระสุคต ทรงรู้จักเรา ดังนี้ จึงได้หายไปในที่นั้นเอง
18)
มารกล่าวว่าพระผู้มีพระภาคนอนด้วยความเขลา คิดแต่ กาพย์กลอน (คำสอน) (สกลิกสูตรที่ ๓)
[๔๕๒] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ มัททกุจฉิมิคทายวัน เขตกรุงราชคฤห์
ก็โดยสมัยนั้นแล พระบาทของพระผู้มีพระภาคถูกสะเก็ดหินเจาะแล้ว ได้ยินว่า เวทนาทั้งหลาย อันยิ่ง เป็นไปในพระสรีระ เป็นทุกข์ แรงกล้า เผ็ดร้อน ไม่เป็นที่ยินดี ไม่เป็นที่ทรงสบาย ย่อมเป็นไปแด่พระผู้มีพระภาค พระองค์มีพระสติสัมปชัญญะ อดกลั้น ซึ่งเวทนาเหล่านั้น ไม่กระสับกระส่าย
ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาครับสั่งให้ลาดผ้าสังฆาฏิเป็น ๔ ชั้น แล้วสำเร็จ สีหไสยา โดยพระปรัศเบื้องขวา พระบาทซ้ายเหลื่อมพระบาทขวา มีพระสติ สัมปชัญญะ
[๔๕๓] ครั้งนั้นแล มารผู้มีบาป เข้าไปเฝ้าพระองค์ถึงที่ประทับ แล้วทูล ถามพระผู้มีพระภาคด้วยคาถาว่า ท่านนอนด้วยความเขลา หรือมัวเมาคิดกาพย์ กลอนอยู่ ประโยชน์ทั้งหลายของท่านไม่มีมาก ท่านอยู่ ณ ที่นั่ง ที่นอนอันสงัด แต่ผู้เดียวตั้งหน้านอนหลับ นี่อะไร ท่านหลับทีเดียวหรือ
[๔๕๔] พระผู้มีพระภาคจึงตรัสตอบว่า เราไม่ได้นอนด้วยความเขลา ทั้งมิได้ มัวเมาคิดกาพย์กลอนอยู่ เราบรรลุประโยชน์แล้ว ปราศจากความโศก อยู่ ณ ที่นั่ง ที่นอนอันสงัด แต่ผู้เดียวนอนรำพึง ด้วยความเอ็นดู ในสัตว์ ทั้งปวง ฯ ลูกศรเข้าไป ในอก ของชนเหล่าใด ร้อยหทัยให้ลุ่มหลงอยู่ แม้ชนเหล่านั้นในโลกนี้ ผู้มีลูกศร เสียบอก อยู่ ยังได้ความหลับเราผู้ปราศจากลูกศรแล้ว ไฉนจะไม่หลับเล่า
เราเดินทางไปในทางที่มีราชสีห์เป็นต้น ก็มิได้หวาดหวั่น ถึงหลับในที่เช่นนั้น ก็มิได้กลัวเกรง กลางคืนและ กลางวันย่อมไม่ทำให้เราเดือดร้อน เราย่อมไม่พบเห็น ความเสื่อมอะไรๆ ในโลก ฉะนั้น เราผู้มีความเอ็นดูในสัตว์ ทั้งปวง จึงนอนหลับ
ครั้งนั้นแล มารผู้มีบาปเป็นทุกข์ เสียใจว่า พระผู้มีพระภาคทรงรู้จักเรา พระสุคตทรงรู้จักเรา ดังนี้ จึงได้หายไป ในที่นั้นเอง
19)
มารทูลถามพระพุทธเจ้าว่าพร่ำสอนผู้อื่นด้วยสิ่งใด
(ปฏิรูปสูตรที่ ๔)
[๔๕๕] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ ศาลาหลังหนึ่ง ในพราหมณคาม ในแคว้น โกศล
ก็โดยสมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคแวดล้อมด้วยคฤหัสถ์ บริษัทหมู่ใหญ่ ทรงแสดงธรรมอยู่
ลำดับนั้น มารผู้มีบาป ได้มีความคิดขึ้นว่า พระสมณโคดมนี้ แวดล้อมด้วย
คฤหัสถ์บริษัทหมู่ใหญ่ ทรงแสดงธรรมอยู่ ถ้ากระไรเราพึงเข้าไปใกล้พระสมณโคดม ถึงที่ประทับ เพื่อการกำบังจักษุเถิด
[๔๕๖] ลำดับนั้น มารผู้มีบาป เข้าไปใกล้พระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ครั้นแล้ว จึงทูลถามพระผู้มีพระภาค ด้วยคาถาว่า ท่านพร่ำสอนผู้อื่นด้วยสิ่งใด สิ่งนั้น ไม่สมควรแก่ท่าน เมื่อท่านกล่าวถึงธรรมนั้น อย่าได้ข้องอยู่ใน ความยินดี ยินร้าย
[๔๕๗] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่าพระสัมพุทธเจ้า มีปรกติอนุเคราะห์ ด้วยจิตอันเกื้อกูล ทรงพร่ำสอนผู้อื่น ด้วยสิ่งใด ตถาคตมีจิตหลุดพ้นจากความยินดี ยินร้ายในสิ่งนั้นแล้ว ฯ
ครั้งนั้นแล มารผู้มีบาปเป็นทุกข์ เสียใจว่า พระผู้มีพระภาคทรง รู้จักเรา
พระสุคตทรงรู้จักเรา ดังนี้ จึงได้หายไป ในที่นั้นนั่นเอง
20)
มารจะจับบ่วงใจพระผู้มีพระภาค แต่ทรงละความพอใจ ในขันธ๕ เสียแล้ว (มานสสูตรที่ ๕)
[๔๕๘] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่าน อนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี
[๔๕๙] ครั้งนั้นแล มารผู้มีบาป ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถึงที่ประทับ
ครั้นแล้ว ได้กล่าวกะพระผู้มีพระภาค ด้วยคาถาว่าบ่วงใด มีใจไปได้ในอากาศ กำลังเที่ยวไป ข้าพระองค์จักคล้องพระองค์ไว้ด้วยบ่วงนั้น สมณะ ท่านไม่พ้นเรา
[๔๖๐] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่าเราหมดความพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อันเป็นของรื่นรมย์ใจแล้ว แน่ะมาร เรากำจัดท่านได้แล้ว
ลำดับนั้น มารผู้มีบาปเป็นทุกข์ เสียใจว่า พระผู้มีพระภาคทรงรู้จักเรา
พระสุคต
ทรงรู้จักเรา ดังนี้ จึงได้หายไป ในที่นั้นนั่นเอง
21)
มารแปลงร่างเป็นโค ทำลายบาตรของภิกษุ (ปัตตสูตรที่ ๖)
[๔๖๑] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่าน อนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี
ก็สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงยังภิกษุทั้งหลายให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญให้ร่าเริง ด้วยธรรมีกถา เกี่ยวด้วยอุปาทานขันธ์ ๕ ก็ภิกษุ เหล่านั้น ทำในใจให้สำเร็จประโยชน์น้อมนึกมาด้วยความเต็มใจ เงี่ยโสตลงสดับ ธรรมอยู่
ครั้งนั้นแล มารผู้มีบาปได้มีความคิดว่า พระสมณโคดมนี้แล ยังภิกษุทั้งหลาย ให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริง ด้วยธรรมีกถา เกี่ยวด้วยอุปาทานขันธ์ ๕ ก็ภิกษุเหล่านั้นทำในใจให้สำเร็จประโยชน์ น้อมนึกมา ด้วยความ เต็มใจ เงี่ยโสตลงสดับธรรมอยู่ถ้ากระไร เราพึงเข้าไปใกล้พระสมณโคดม ถึงที่ประทับ เพื่อการกำบังตาเถิด
ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุเหล่านั้นได้วางบาตรเป็นอันมากไว้ในที่กลางแจ้ง
[๔๖๒] ลำดับนั้น มารผู้มีบาปแปลงเพศเป็นโค เดินไปยังที่บาตรเหล่านั้น วางอยู่ ฯ ลำดับนั้น ภิกษุรูปหนึ่ง จึงบอกกะภิกษุอีกรูปหนึ่งว่า ภิกษุๆ โคนั้นพึง ทำบาตร ทั้งหลายให้แตก
เมื่อภิกษุนั้นพูดอย่างนั้นแล้ว พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะภิกษุนั้นว่า ภิกษุนั่น มิใช่โค นั่นเป็นมารผู้มีบาป มาเพื่อกำบังตาพวกเธอ
[๔๖๓] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า ผู้นี้เป็นมารผู้มีบาปจึงตรัสกะมารผู้มีบาป ด้วยพระคาถา ว่าพระอริยสาวกย่อมเบื่อหน่ายในรูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ อย่างนี้ว่า เราไม่ใช่นั่น นั่นไม่ใช่ของเรา แม้มารและ เสนามาร แสวงหาอยู่ในที่ทั้งปวง ก็ไม่พบอริยสาวก ผู้เบื่อหน่ายแล้ว อย่างนี้ มีอัตภาพ อันเกษมล่วงพ้น สังโยชน์ทั้งปวงแล้ว
ลำดับนั้น มารผู้มีบาปเป็นทุกข์ เสียใจว่า พระผู้มีพระภาคทรงรู้จักเรา พระสุคตทรงรู้จักเราดังนี้ จึงได้หายไป ในที่นั้นนั่นเอง
22)
มารเข้าใกล้พระผู้มีพระภาค ร้องเสียงดังดุจแผ่นดินจะถล่ม
(อายตนสูตรที่ ๗)
[๔๖๔] ครั้งหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ กูฏาคารศาลา ป่า มหาวัน เขตเมืองเวสาลี
ก็โดยสมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงยังภิกษุทั้งหลายให้เห็นแจ้ง ให้ สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริง ด้วยธรรมีกถาเกี่ยวด้วยผัสสายตนะ ๖
ก็ภิกษุเหล่านั้นทำในใจให้สำเร็จประโยชน์ น้อมนึกมาด้วยความเต็มใจ
เงี่ยโสต ลงสดับธรรมอยู่
ครั้งนั้นแล มารผู้มีบาปได้มีความคิดว่า พระสมณโคดมนี้แล ยังภิกษุทั้งหลาย ให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริง ด้วยธรรมีกถาเกี่ยว ด้วยผัสสายตนะ ๖ และภิกษุเหล่านั้นทำในใจให้สำเร็จประโยชน์ น้อมนึก มาด้วยความเต็มใจ เงี่ยโสตลงสดับธรรมอยู่ถ้ากระไร เราพึงเข้าไปเฝ้าพระสมณโคดมถึงที่ประทับ เพื่อการกำบังตาเถิด
[๔๖๕] ครั้งนั้นแล มารผู้มีบาป เข้าไปใกล้พระผู้มีพระภาค ถึงที่ประทับ
ครั้นแล้วได้ร้องเสียงดังพิลึกพึงกลัว ประดุจแผ่นดินจะถล่มในที่ใกล้พระผู้มีพระภาค
ลำดับนั้น ภิกษุรูปหนึ่งจึงกล่าวกะภิกษุอีกรูปหนึ่งอย่างนี้ว่า ภิกษุ ภิกษุแผ่นดินนี้ เห็นจะถล่มเสียละกระมัง
เมื่อภิกษุนั้นกล่าวอย่างนี้แล้ว พระผู้มีพระภาคจึงตรัสกะภิกษุนั้นว่า ดูกรภิกษุ แผ่นดินนี้ย่อมไม่ถล่ม ดูกรภิกษุ นั่น มารผู้มีบาปมาแล้ว เพื่อกำบังตาพวกเธอ
[๔๖๖] ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า นี้เป็น มารผู้มีบาป จึงตรัสกะ มารผู้มีบาป ด้วยพระคาถา ว่ารูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และ ธรรมารมณ์ ทั้งสิ้นนี้ เป็นโลกามิสอันแรงกล้า โลกหมกมุ่นอยู่ในอารมณ์เหล่านี้ ส่วนสาวกของพระพุทธเจ้ามีสติก้าวล่วงโลกามิสนั้น และก้าวล่วงบ่วงมารแล้ว รุ่งเรืองอยู่ดุจพระอาทิตย์ ฉะนั้น
ลำดับนั้น มารผู้มีบาป เป็นทุกข์ เสียใจว่า พระผู้มีพระภาคทรงรู้จักเรา
พระสุคต ทรงรู้จักเรา ดังนี้ จึงได้หายไปในที่นั้นนั่นเอง |