พุทธประวัติจากพระโอษฐ์ หน้าที่ ๖๐๗ ภาค ๖
เรื่องการบำเพ็ญบารมีในอดีตชาติ
พระเวสสันดร (คัดย่อ)
ลำดับตระกูลของพระเวสสันดร อดีตชาติของพระพุทธเจ้า
โลกเทวดา (มารดาของพระเวสสันดร)
ท้าวสักกะจอมเทพแห่ง อสูร มีมเหษีชื่อ ผุสดี เมื่อ ผุสดี มีอายุขัย(ถึงคราวต้อง ทำกาละ) ท้าวสักกะได้ประทานพรสิบประการอันเราให้กับผุสดี
โลกมนุษย์
พระเทวีนามว่า ผุสดีนั้น เคลื่อนจากโลกเทวดามาแล้ว ได้มาจุติในครรภ์มารดาของ ตระกูลกษัตริย์ นามว่าผุสดี (ใช้ชื่อเดิมในชาติก่อน)
ผุสดี (มารดาของพระเวสสันดร) สมรสกับพระราชาสัญชัย ในนครเชตุตดร ซึ่งเป็น ผู้ยินดีในทานตลอดเวลา ให้ทานแก่ยาจก คนไร้ทรัพย์ และ แก่สมณะพราหมณ์อย่าง ไม่ยั้งมือ
ลำดับการให้ทาน จนเกิดแผ่นดินได้ไหว ภูเขาสิเนรุสั่นสะเทือน
1.) เราจะให้ทาน หัวใจ ดวงตา เนื้อ เลือด ร่างกาย
เมื่อเรา(เวสสันดร)เป็นทารกอายุแปดปี นั่งอยู่ในปราสาท ก็รำพึงแต่จะให้ทาน เราจะให้ทาน หัวใจ ดวงตา เนื้อ เลือด ร่างกาย ให้ปรากฏ ถ้าว่าจะมีผู้มาขอกะเรา เมื่อเรารำพึงแน่ใจ ไม่หวั่นไหวเช่นนั้น แผ่นดินได้ไหว ภูเขาสิเนรุสั่นสะเทือน
2.) ให้ช้างเผือกแก่พราหมณ์
เราจับที่งวงช้างมือหนึ่ง อีกมือหนึ่งหล่อน้ำในเต้าใส่มือพราหมณ์ ให้ช้างแก่พราหมณ์ ไป เมื่อเราให้ทานช้างเผือกสูงสุดนี้ แผ่นดินได้หวั่นไหว ภูเขาสิเนรุ สั่นสะเทือน อีกครั้งหนึ่ง.
3.) เราให้ทานช้าง ม้า รถ ทาสี ทาส โค และทรัพย์
เราให้ป่าวร้องเอิกเกริก กับชาวเมืองสีพี ว่าเราจะให้มหาทาน เราให้ทานช้าง ม้า รถ ทาสี ทาส โค และทรัพย์. ครั้นให้มหาทานแล้ว จึงออกจากนครไป ครั้นออกไปพ้น เขต นครแล้ว ได้กลับเหลียวดู เป็นการลา แผ่นดินได้ไหว ภูเขาสิเนรุสั่นสะเทือน อีกในครั้งนั้น
4.) เราให้รถเทียมด้วยม้าสี่
เมื่อถึงทางสี่แพร่ง ได้ให้ทานรถเทียมด้วยม้าสี่ไป เราผู้ไร้เพื่อนบุรุษ กล่าว กับ พระนางมัททรี ว่า เจ้าจงอุ้มกัณหาลูกหญิงน้อย ค่อยเบาหน่อย เราจักอุ้มชาลี พี่ชายซึ่งหนักกว่า เป็นอันว่า พระนางมัททรี ได้อุ้มกัณหาชินะ อันงามเหมือน ดอกบุณฑริก และเราได้อุ้มชาลี ซึ่งงามเหมือนรูปทองหล่อ รวมเป็นสี่กษัตริย์ สุขุมาลชาติ ได้เหยียบย่ำไป ตามหนทางต่ำ ๆ สูง ๆ ไปสู่เขาวงก์
5.) ให้ลูกคือกันหา และชินะ แก่พรามหณ์ชื่อ ชูชก
เมื่อเราอยู่ถึงในป่าสูง พราหมณ์ นามว่า ชูชก ไปหาเรา ได้ขอลูกของเรา คือชาลี และ กัณหาชินะ ทั้งสองคน ความบันเทิงใจเกิดขึ้นแก่เรา เพราะได้เห็นยาจกเข้าไปหา เราได้ยื่นบุตรทั้งสองคน ให้กะพราหมณ์ผู้มาขอนั้นไป. เมื่อเราสละบุตรให้แก่ พราหมณ์นามว่า ชูชก ในกาลนั้น แผ่นดินได้ไหว เขาสิเนรุสั่นสะเทือนอีก
(6) ให้ภรรยาคือพระนางมัททรี แก่พราหมณ์
ต่อมา ท้าวสักกะได้ลงมาโดยเพศพราหมณ์ ขอพระนางมัททรี ผู้มีศีล และ มีวัตร ในสามี กะเราอีก. เราได้จับหัตถ์มอบหมายให้ และหลั่งน้ำลงในฝ่ามือ พราหมณ์ มีจิตเบิกบานผ่องใส ให้พระนางมัททรีไป. ขณะที่เราให้ ทวยเทพในนภากาศก็พลอย อนุโมทนา แผ่นดินได้ไหว เขาสิเนรุสั่นสะเทือนอีก
เราสละชาลีกัณหา และพระนางมัททรี โดยไม่มีความลังเลใจ ก็เพราะเหตุ แห่งปัญญา เครื่องตรัสรู้ (รู้ความดับทุกข์ของสัตวโลก) ลูกสองคนนั้น จะเป็นที่เกลียดชัง ของเราก็ หาไม่ พระนางมัททรีจะเป็นที่เกลียดชัง ก็หาไม่ สัพพัญญุตญาณ เป็นที่รักของเรา เราจึงให้ของรัก (เพื่อสิ่งที่เรารัก) ...ฯลฯ.
เรื่องพระเวสสันดร
มีการแต่งเป็นชาดกขึ้นมาภายหลัง ใช้ชื่อว่า "พระเวสสันดรชาดก" แบ่งเป็นหลายกัณฑ์ มีผู้แต่งหลายคน ทำให้มีเนื้อหาเพิ่มมากขึ้นไปตามกาลเวลา
(รายชื่อ ผู้แต่งพระเวสสันดรชาดก)
ผู้แต่ง พระเวสสันดรชาดกทั้ง 13 กัณฑ์
- สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส
- พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.๔)
- กวีสานักวัดถนน
- กวีวัดสังขจาย
- พระเทพโมลี (กลิ่น)
- เจ้าพระยาพระคลัง (หน)
|