ทรงมีหลักเกณฑ์การฝึกตามลำดับ
พราหมณ์เอย ! ตถาคตครั้นได้บุรุษที่พอฝึกได้มาแล้วในขั้นแรก ย่อมแนะนำ อย่างนี้ก่อนว่า
มาเถิดภิกษุ ! ท่านจงเป็นผู้มีศีล สำรวมด้วยดีในปาติโมกข์
มาเถิดภิกษุ ! ท่านจงเป็นผู้สำรวมในอินทรีย์ทั้งหลาย
มาเถิดภิกษุ ! ท่านจงเป็นผู้รู้ประมาณในโภชนะอยู่เสมอ
มาเถิดภิกษุ ! ท่านจงประกอบความเพียร ในธรรมเป็นเครื่องตื่น
มาเถิดภิกษุ ! ท่านจง เป็น ผู้ประกอบพร้อม ด้วยสติสัมปชัญญะ รู้ตัว
มาเถิดภิกษุ ! ท่านจง เสพเสนาสนะอันสงัด คือป่าละเมาะ
ในกาลเป็นปัจฉาภัตต์ กลับจากบิณฑบาตแล้ว นั่งคู้บัลลังก์ตั้งกายตรงดำรงสติ เฉพาะหน้า
ละอภิชฌาในโลก มีจิตปราศจากอภิชฌา คอยชำระจิต จากอภิชฌา ละพยาบาท
ละถีนะมิทธะ มุ่งอยู่แต่ความสว่างในใจ มีจิตปราศจากถีนะมิทธะ มีสติสัมปชัญญะรู้สึกตัว
ละอุทธัจจะกุกกุจจะ ไม่ฟุ้งซ่านมีจิตสงบอยู่ในภายใน คอยชำระจิตจากอุทธัจจะกุกกุจจะ
ละวิจิกิจฉา ข้ามล่วงวิจิกิจฉาเสียได้ ไม่ต้องกล่าวว่า ‘นี่อะไร นี่อย่างไร
ภิกษุนั้น ครั้นละนิวรณ์ห้าประการ อันเป็นเครื่องเศร้าหมองจิตทำปัญญาให้ถอยกำลังเหล่านี้ได้แล้ว
เพราะสงัดจากกาม และอกุศลธรรม จึงบรรลุฌานที่ ๑ มีวิตกวิจาร มีปีติและสุขอันเกิดแต่วิเวก
เพราะสงบวิตกวิจารเสียได้ จึงบรรลุฌานที่ ๒ เป็นที่เกิดสมาธิแห่งใจ ไม่มีวิตกวิจาร มีแต่ปีติและสุข
เพราะความจางแห่งปีติ ย่อมอยู่อุเบกขา มีสติสัมปชัญญะ จึงบรรลุฌานที่ ๓ เป็นผู้อยู่อุเบกขามีสติ
เพราะละสุข และทุกข์เสียได้ โสมนัสและโทมนัส ดับไป จึงได้บรรลุฌานที่ ๔ อันไม่ทุกข์ไม่สุข |