เว็บไซต์ อนาคามี เผยแพร่คำพระศาสดา เผยแพร่คำสอนตถาคต เว็บไซต์เผยแพร่พระสุตรคำสอนของพระพุทธเจ้า คลิปคำสอน คลิปสาธยายธรรม
 
ค้นหาคำที่ต้องการ          

 
  ปฏิจจสมุปบาทคือกฎแห่งธรรมฐิติ  (ในฐานะเป็นกฎสูงสุดของธรรมชาติ) 363  
 
 

(โดยย่อ)

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! ก็ปฏิจจสมุปบาท เป็นอย่างไรเล่า ?
เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะย่อมมี. เพราะเหตุที่ พระตถาคตทั้งหลาย จะบังเกิดขึ้นก็ตาม จะไม่บังเกิดขึ้นก็ตาม ธรรมธาตุนั้น ย่อมตั้งอยู่แล้วนั่นเทียว
คือ ความตั้งอยู่ แห่งธรรมดา (ธัมมัฏฐิตตา)
คือ ความเป็นกฎตายตัวแห่งธรรมดา (ธัมมนิยามตา)
คือ ความที่เมื่อมี สิ่งนี้สิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น (อิทัปปัจจยตา)

ตถาคต ย่อมรู้พร้อมเฉพาะ ย่อมถึงพร้อมเฉพาะ ซึ่งธรรมธาตุนั้น ครั้นรู้พร้อมเฉพาะแล้ว ถึงพร้อมเฉพาะแล้ว ย่อมบอก ย่อมแสดง ย่อมบัญญัติ ย่อมตั้งขึ้นไว้ ย่อมเปิดเผย ย่อมจำแนก แจกแจง ย่อมทำให้เป็นเหมือนการหงายของที่คว่ำ

เพราะเหตุดังนี้แล ธรรมธาตุใด ในกรณีนั้น อัน
เป็น ตถตา คือความเป็นอย่างนั้น
เป็น อวิตถตา คือความไม่ผิดไปจากความเป็น อย่างนั้น
เป็น อนัญญถตา คือความไม่เป็นไปโดยประการอื่น
เป็น อิทัปปัจจยตา คือความที่ เมื่อมีสิ่งนี้สิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! ธรรมนี้ เราเรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท (คือธรรมอันเป็นธรรมชาติ อาศัยกันแล้วเกิดขึ้น)

เรื่องสำคัญของพระพุทธเจ้า
การบำเพ็ญบารมีในอดีตชาติ
การประสูติ แสงสว่าง แผ่นดินไหว
แสวงหาสัจจะบำเพ็ญทุกรกิริยา
ปัญจวัคคีย์หลีก สิ่งที่ตรัสรู้
ตรัสรู้ แสดงเทศนาปัญจวัคคีย์
ปลงสังขาร ปรินิพพาน
ลำดับขั้นการปรินิพพาน
เทวดาแสดงฤทธิ์ขณะถวายเพลิง
แบ่งพระสรีระออกเป็น ๘ ส่วน
 
 


ปฏิจจสมุปบาทจากพระโอษฐ์ วัตถุประสงค์ของเรื่อง ปฏิจจสมุปบาท หน้าที่ ๔๓


ปฏิจจสมุปบาทคือกฎแห่งธรรมฐิติ- ธรรมนิยาม

 
(ในฐานะเป็นกฎสูงสุดของธรรมชาติ) ๑

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย !  เราจักแสดงซึ่งปฏิจจสมุปบาท (คือธรรมอันเป็น ธรรมชาติอาศัยกันแล้วเกิดขึ้น) แก่พวกเธอทั้งหลาย. พวกเธอทั้งหลาย จงฟังซึ่ง ปฏิจจสมุปบาทนั้น จงทำในใจให้สำเร็จประโยชน์ เราจักกล่าวบัดนี้......

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย !  ก็ปฏิจจสมุปบาท เป็นอย่างไรเล่า ?
          (๑) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย !  เพราะชาติเป็นปัจจัย ชรามรณะย่อมมี.
          ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย !  เพราะเหตุที่ พระตถาคตทั้งหลาย จะบังเกิดขึ้นก็ตาม จะไม่บังเกิดขึ้นก็ตาม ธรรมธาตุนั้น ย่อมตั้งอยู่แล้วนั่นเทียว
          คือความตั้งอยู่ แห่งธรรมดา (ธัมมัฏฐิตตา)
          คือความเป็นกฎตายตัวแห่งธรรมดา (ธัมมนิยามตา)
          คือความที่เมื่อมีสิ่งนี้สิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น (อิทัปปัจจยตา).

          ตถาคต ย่อมรู้พร้อมเฉพาะ ย่อมถึงพร้อมเฉพาะ ซึ่งธรรมธาตุนั้น ครั้นรู้ พร้อมเฉพาะแล้ว ถึงพร้อมเฉพาะแล้ว ย่อมบอก ย่อมแสดง ย่อมบัญญัติ ย่อมตั้งขึ้นไว้ ย่อมเปิดเผย ย่อมจำแนกแจกแจง ย่อมทำให้เป็นเหมือนการหงายของที่คว่ำ และ ได้กล่าวแล้วในบัดนี้ว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! ท่านทั้งหลายจงมาดู เพราะชาติ  เป็นปัจจัย ชรามรณะย่อมมี” ดังนี้.
          ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย !  เพราะเหตุดังนี้แล ธรรมธาตุใด ในกรณีนั้น อันเป็น ตถตา คือความเป็นอย่างนั้น เป็น อวิตถตา คือความไม่ผิดไปจากความเป็น อย่างนั้น เป็น อนัญญถตา คือความไม่เป็นไปโดยประการอื่น เป็นอิทัปปัจจยตา คือความที่ เมื่อมีสิ่งนี้สิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! ธรรมนี้ เราเรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท (คือธรรมอันเป็นธรรมชาติ อาศัยกันแล้วเกิดขึ้น).

          (๒) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย !  เพราะภพเป็นปัจจัย ชาติย่อมมี.
          ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! เพราะเหตุที่พระคถาคตทั้งหลาย จะบังเกิดขึ้นก็ตาม  จะไม่บังเกิดขึ้นก็ตามธรรมธาตุนั้น ย่อมตั้งอยู่แล้วนั่นเทียว คือความตั้งอยู่แห่งธรรมดา คือความเป็นกฎตายตัวแห่งธรรมดา คือความที่เมื่อมีสิ่งนี้  สิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้สิ่งนี้ จึงเกิดขึ้น.
          ตถาคต ย่อมรู้พร้อมเฉพาะ ย่อมถึงพร้อมเฉพาะ ซึ่งธรรมธาตุนั้น ครั้นรู้ พร้อมเฉพาะแล้ว ถึงพร้อมเฉพาะแล้ว ย่อมบอก ย่อมแสดง ย่อมบัญญัติ ย่อมตั้งขึ้นไว้ ย่อมเปิดเผย ย่อมจำแนกแจกแจง ย่อมทำให้เป็นเหมือนการหงายของที่คว่ำ และได้กล่าวแล้วในบัดนี้ว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! ท่านทั้งหลายจงมาดู เพราะภพ  เป็นปัจจัย ชาติย่อมมี” ดังนี้.
          ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย !  เพราะเหตุดังนี้แล ธรรมธาตุใด ในกรณีนั้น อันเป็น ตถตา คือความเป็นอย่างนั้น เป็น อวิตถตา คือความไม่ผิดไปจากความเป็น อย่างนั้น เป็น อนัญญถตา คือความไม่เป็นไปโดยประการอื่น เป็น อิทัปปัจจยตา คือความที่เมื่อ มีสิ่งนี้สิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย !  ธรรมนี้เราเรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท (คือธรรมอันเป็นธรรมชาติ อาศัยกันแล้วเกิดขึ้น).

          (๓) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย !  เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ภพย่อมมี.
          ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย !  เพราะเหตุที่พระคถาคตทั้งหลาย จะบังเกิดขึ้นก็ตาม จะไม่บังเกิดขึ้นก็ตาม ธรรมธาตุนั้นย่อมตั้งอยู่แล้วนั่นเทียว คือความตั้งอยู่ แห่งธรรมดา คือความเป็นกฎตายตัวแห่งธรรมดา คือความที่เมื่อมีสิ่งนี้สิ่งนี้  เป็นปัจจัย สิ่งนี้สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น.
          ตถาคต ย่อมรู้พร้อมเฉพาะ ย่อมถึงพร้อมเฉพาะ ซึ่งธรรมธาตุนั้น ครั้นรู้ พร้อมเฉพาะแล้ว ถึงพร้อมเฉพาะแล้ว ย่อมบอก ย่อมแสดง ย่อมบัญญัติ ย่อมตั้งขึ้นไว้ ย่อมเปิดเผย ย่อมจำแนกแจกแจง ย่อมทำให้เป็นเหมือนการหงายของที่คว่ำ และได้กล่าวแล้วในบัดนี้ว่า  “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย !  ท่านทั้งหลายจงมาดู เพราะ อุปาทานเป็นปัจจัย ภพย่อมมี” ดังนี้.
          ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย !  เพราะเหตุดังนี้แล ธรรมธาตุใด ในกรณีนั้น อันเป็น ตถตา คือความเป็นอย่างนั้น เป็น อวิตถตา คือความไม่ผิดไปจากความเป็นอย่างนั้น เป็น อนัญญถตา คือความไม่เป็นไปโดยประการอื่น เป็น อิทัปปัจจยตา คือความที่เมื่อมีสิ่งนี้สิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย !  ธรรมนี้เราเรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท (คือธรรมอันเป็นธรรมชาติ อาศัยกันแล้วเกิดขึ้น).

          (๔) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย !  เพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทานย่อมมี.
          ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย !  เพราะเหตุที่พระคถาคตทั้งหลาย จะบังเกิดขึ้นก็ตาม จะไม่บังเกิดขึ้นก็ตาม ธรรมธาตุนั้น ย่อมตั้งอยู่แล้วนั่นเทียว คือความตั้งอยู่ แห่งธรรมดา คือความเป็นกฎตายตัวแห่งธรรมดา คือความที่เมื่อมีสิ่งนี้สิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น.
          ตถาคต ย่อมรู้พร้อมเฉพาะ ย่อมถึงพร้อมเฉพาะ ซึ่งธรรมธาตุนั้น ครั้นรู้ พร้อมเฉพาะแล้ว ถึงพร้อมเฉพาะแล้ว ย่อมบอก ย่อมแสดง. ย่อมบัญญัติ ย่อมตั้งขึ้นไว้ ย่อมเปิดเผย ย่อมจำแนกแจกแจง ย่อมทำให้เป็นเหมือนการหงายของ ที่คว่ำ และ ได้กล่าวแล้วในบัดนี้ว่า  “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย !  ท่านทั้งหลายจงมาดู เพราะตัณหาเป็นปัจจัย อุปาทานย่อมมี” ดังนี้.
          ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย !  เพราะเหตุดังนี้แล ธรรมธาตุใด ในกรณีนั้น อันเป็น ตถตา คือความเป็นอย่างนั้น เป็น อวิตถตา คือความไม่ผิดไปจากความเป็นอย่างนั้น เป็น อนัญญถตา คือความไม่เป็นไปโดยประการอื่น เป็น อิทัปปัจจยตา คือความที่ เมื่อมีสิ่งนี้ สิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย !  ธรรมนี้เราเรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท (คือธรรมอันเป็นธรรมชาติ อาศัยกันแล้วเกิดขึ้น).

          (๕) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย !  เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาย่อมมี.
          ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย !  เพราะเหตุที่พระคถาคตทั้งหลาย จะบังเกิดขึ้นก็ตาม จะไม่บังเกิดขึ้นก็ตาม ธรรมธาตุนั้น ย่อมตั้งอยู่แล้วนั่นเทียว คือความตั้งอยู่ แห่งธรรมดา คือความเป็นกฎตายตัวแห่งธรรมดา คือความที่เมื่อมีสิ่งนี้สิ่งนี้ เป็นปัจจัย สิ่งนี้สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น.
          ตถาคต ย่อมรู้พร้อมเฉพาะ ย่อมถึงพร้อมเฉพาะ ซึ่งธรรมธาตุนั้น ครั้นรู้ พร้อมเฉพาะแล้ว ถึงพร้อมเฉพาะแล้ว ย่อมบอก ย่อมแสดง ย่อมบัญญัติ ย่อมตั้งขึ้นไว้ ย่อมเปิดเผย ย่อมจำแนกแจกแจง ย่อมทำให้เป็นเหมือนการหงายของที่คว่ำ และได้กล่าวแล้วในบัดนี้ว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! ท่านทั้งหลายจงมาดู เพราะเวทนาเป็นปัจจัย ตัณหาย่อมมี” ดังนี้.
          ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย !  เพราะเหตุดังนี้แล ธรรมธาตุใด ในกรณีนั้น อันเป็น ตถตา คือความเป็นอย่างนั้น เป็น อวิตถตา คือความไม่ผิดไปจากความเป็นอย่างนั้น เป็น อนัญญถตา คือความไม่เป็นไปโดยประการอื่น เป็น อิทัปปัจจยตา คือความที่เมื่อมีสิ่งนี้สิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย !  ธรรมนี้เราเรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท (คือธรรมอันเป็นธรรมชาติ อาศัยกันแล้วเกิดขึ้น).

          (๖) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย !  เพราะผัสสะเป็นปัจจัย เวทนาย่อมมี.
          ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย !  เพราะเหตุที่พระคถาคตทั้งหลาย จะบังเกิดขึ้นก็ตาม จะไม่บังเกิดขึ้นก็ตาม ธรรมธาตุนั้น ย่อมตั้งอยู่แล้วนั่นเทียว คือความตั้งอยู่แห่งธรรมดา คือความเป็นกฎตายตัวแห่งธรรมดา คือความที่เมื่อมีสิ่งนี้สิ่งนี้ เป็นปัจจัย สิ่งนี้สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น.
          ตถาคต ย่อมรู้พร้อมเฉพาะ ย่อมถึงพร้อมเฉพาะ ซึ่งธรรมธาตุนั้น ครั้นรู้ พร้อมเฉพาะแล้ว ถึงพร้อมเฉพาะแล้ว ย่อมบอก ย่อมแสดง ย่อมบัญญัติ ย่อมตั้ง ขึ้นไว้ ย่อมเปิดเผย ย่อมจำแนกแจกแจง ย่อมทำให้เป็นเหมือนการหงายของที่คว่ำ และได้กล่าวแล้วในบัดนี้ว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! ท่านทั้งหลายจงมาดู เพราะผัสสะ เป็นปัจจัย เวทนาย่อมมี” ดังนี้.
          ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย !  เพราะเหตุดังนี้แล : ธรรมธาตุใด ในกรณีนั้น อันเป็น ตถตา คือความเป็นอย่างนั้น เป็น อวิตถตา คือความไม่ผิดไปจากความเป็น อย่างนั้น เป็น อนัญญถตา คือความไม่เป็นไปโดยประการอื่น เป็น อิทัปปัจจยตา คือความที่เมื่อมี สิ่งนี้สิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย !  ธรรมนี้เราเรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท (คือธรรมอันเป็นธรรมชาติ อาศัยกันแล้วเกิดขึ้น).

          (๗) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย !  เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย ผัสสะย่อมมี.
          ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย !  เพราะเหตุที่พระคถาคตทั้งหลาย จะบังเกิดขึ้นก็ตาม จะไม่บังเกิดขึ้นก็ตาม ธรรมธาตุนั้น ย่อมตั้งอยู่แล้วนั่นเทียว คือความตั้งอยู่ แห่งธรรมดา คือความเป็นกฎตายตัวแห่งธรรมดา คือความที่เมื่อมีสิ่งนี้สิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น.
          ตถาคต ย่อมรู้พร้อมเฉพาะ ย่อมถึงพร้อมเฉพาะ ซึ่งธรรมธาตุนั้น ครั้นรู้ พร้อมเฉพาะแล้ว ถึงพร้อมเฉพาะแล้ว ย่อมบอก ย่อมแสดง ย่อมบัญญัติ ย่อมตั้งขึ้นไว้ ย่อมเปิดเผย ย่อมจำแนกแจกแจง ย่อมทำให้เป็นเหมือนการหงายของที่คว่ำ และได้กล่าวแล้วในบัดนี้ว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! ท่านทั้งหลายจงมาดู เพราะสฬายตนะ เป็นปัจจัย ผัสสะย่อมมี” ดังนี้.
          ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย !  เพราะเหตุดังนี้แล: ธรรมธาตุใด ในกรณีนั้น อันเป็น ตถตา คือความเป็นอย่างนั้น เป็น อวิตถตา คือความไม่ผิดไปจากความเป็น อย่างนั้น เป็น อนัญญถตา คือความไม่เป็นไปโดยประการอื่น เป็น อิทัปปัจจยตา คือความที่เมื่อมีสิ่งนี้สิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น   ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย !  ธรรมนี้ เราเรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท (คือธรรมอันเป็นธรรมชาติ อาศัยกันแล้วเกิดขึ้น).

          (๘) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย !  เพราะนามรูปเป็นปัจจัย สฬายตนะย่อมมี.
          ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย !  เพราะเหตุที่พระคถาคตทั้งหลาย จะบังเกิดขึ้นก็ตาม จะไม่บังเกิดขึ้นก็ตาม ธรรมธาตุนั้น ย่อมตั้งอยู่แล้วนั่นเทียว คือความตั้งอยู่แห่งธรรมดา คือความเป็นกฎตายตัวแห่งธรรมดา คือความที่เมื่อมีสิ่งนี้สิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น.
          ตถาคต ย่อมรู้พร้อมเฉพาะ ย่อมถึงพร้อมเฉพาะ ซึ่งธรรมธาตุนั้น ครั้นรู้พร้อมเฉพาะแล้ว ถึงพร้อมเฉพาะแล้ว ย่อมบอก ย่อมแสดง ย่อมบัญญัติ ย่อมตั้งขึ้นไว้ ย่อมเปิดเผย ย่อมจำแนกแจกแจง ย่อมทำให้เป็นเหมือนการหงายของที่คว่ำ และได้กล่าวแล้วในบัดนี้ว่า   “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย !  ท่านทั้งหลายจงมาดู เพราะนามรูปเป็นปัจจัย สฬายตนะย่อมมี” ดังนี้.
          ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย !  เพราะเหตุดังนี้แล ธรรมธาตุใด ในกรณีนั้น อันเป็น ตถตา คือความเป็นอย่างนั้น เป็น อวิตถตา คือความไม่ผิดไปจากความเป็นอย่างนั้น เป็น อนัญญถตา คือความไม่เป็นไปโดยประการอื่น เป็น อิทัปปัจจยตา คือความที่เมื่อมีสิ่งนี้สิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย !  ธรรมนี้เราเรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท (คือธรรมอันเป็นธรรมชาติ อาศัยกันแล้วเกิดขึ้น).

          (๙) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย !  เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามรูปย่อมมี.
          ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย !  เพราะเหตุที่พระคถาคตทั้งหลาย จะบังเกิดขึ้นก็ตาม จะไม่บังเกิดขึ้นก็ตาม ธรรมธาตุนั้น ย่อมตั้งอยู่แล้วนั่นเทียว; คือความตั้งอยู่ แห่งธรรมดา คือความเป็นกฎตายตัวแห่งธรรมดา คือความที่เมื่อมีสิ่งนี้สิ่งนี้  เป็นปัจจัย สิ่งนี้สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น.
          ตถาคต ย่อมรู้พร้อมเฉพาะ ย่อมถึงพร้อมเฉพาะ ซึ่งธรรมธาตุนั้น ครั้นรู้พร้อมเฉพาะแล้ว ถึงพร้อมเฉพาะแล้ว ย่อมบอก ย่อมแสดง ย่อมบัญญัติ ย่อมตั้งขึ้นไว้ ย่อมเปิดเผย ย่อมจำแนกแจกแจง ย่อมทำให้เป็นเหมือนการหงายของที่คว่ำ และได้กล่าวแล้วในบัดนี้ว่า   “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย !  ท่านทั้งหลายจงมาดู: เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย นามรูปย่อมมี” ดังนี้.
          ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย !  เพราะเหตุดังนี้แล ธรรมธาตุใด ในกรณีนั้น อันเป็น ตถตา คือความเป็นอย่างนั้น เป็น อวิตถตา คือความไม่ผิดไปจากความเป็นอย่างนั้น เป็น อนัญญถตา คือความไม่เป็นไปโดยประการอื่น เป็น อิทัปปัจจยตา คือความที่เมื่อมีสิ่งนี้สิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น  ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย !  ธรรมนี้เราเรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท (คือธรรมอันเป็นธรรมชาติ อาศัยกันแล้วเกิดขึ้น).

          (๑๐) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย !  เพราะสังขารเป็นปัจจัย วิญญาณย่อมมี.ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย !  เพราะเหตุที่พระคถาคตทั้งหลาย จะบังเกิดขึ้นก็ตาม จะไม่บังเกิดขึ้นก็ตาม ธรรมธาตุนั้น ย่อมตั้งอยู่แล้วนั่นเทียว คือความตั้งอยู่ แห่งธรรมดา คือความเป็นกฎตายตัวแห่งธรรมดา คือความที่ เมื่อมีสิ่งนี้สิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น.
          ตถาคต ย่อมรู้พร้อมเฉพาะ ย่อมถึงพร้อมเฉพาะ ซึ่งธรรมธาตุนั้น ครั้นรู้พร้อมเฉพาะแล้ว ถึงพร้อมเฉพาะแล้ว ย่อมบอก ย่อมแสดง ย่อมบัญญัติ ย่อมตั้งขึ้นไว้ ย่อมเปิดเผย ย่อมจำแนกแจกแจง ย่อมทำให้เป็นเหมือนการหงายของที่คว่ำ และได้กล่าวแล้วในบัดนี้ว่า   “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย !  ท่านทั้งหลายจงมาดู เพราะสังขารเป็นปัจจัย วิญญาณย่อมมี” ดังนี้.
          ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย !  เพราะเหตุดังนี้แล ธรรมธาตุใด ในกรณีนั้น อันเป็น ตถตา คือความเป็นอย่างนั้น เป็น อวิตถตา คือความไม่ผิดไปจากความเป็นอย่างนั้น เป็น อนัญญถตา คือความไม่เป็นไปโดยประการอื่น เป็น อิทัปปัจจยตา คือความที่เมื่อมีสิ่งนี้สิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น   ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย !  ธรรมนี้เราเรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท (คือธรรมอันเป็นธรรมชาติ อาศัยกันแล้วเกิดขึ้น).

          (๑๑) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย !  เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารทั้งหลายย่อมมี.
          ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย !  เพราะเหตุที่พระคถาคตทั้งหลาย จะบังเกิดขึ้นก็ตาม จะไม่บังเกิดขึ้นก็ตาม ธรรมธาตุนั้น ย่อมตั้งอยู่แล้วนั่นเทียว คือความตั้งอยู่ แห่งธรรมดา คือความเป็นกฎตายตัวแห่งธรรมดา คือความที่เมื่อมีสิ่งนี้สิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น.  ตถาคต ย่อมรู้พร้อมเฉพาะ ย่อมถึงพร้อมเฉพาะ ซึ่งธรรมธาตุนั้น ครั้นรู้พร้อมเฉพาะแล้ว ถึงพร้อมเฉพาะแล้ว ย่อมบอก ย่อมแสดง ย่อมบัญญัติ ย่อมตั้งขึ้นไว้ ย่อมเปิดเผย ย่อมจำแนกแจกแจง ย่อมทำให้เป็นเหมือนการหงายของ ที่คว่ำ และได้กล่าวแล้วในบัดนี้ว่า  “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ! ท่านทั้งหลายจงมาดู เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารทั้งหลายย่อมมี” ดังนี้.

          ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย !  เพราะเหตุดังนี้แล : ธรรมธาตุใด ในกรณีนั้น อันเป็น ตถตา คือความเป็นอย่างนั้น
          เป็น อวิตถตา คือความไม่ผิดไปจากความเป็นอย่างนั้น
          เป็น อนัญญถตา คือความไม่เป็นไปโดยประการอื่น
          เป็น อิทัปปัจจยตา คือความที่เมื่อมีสิ่งนี้สิ่งนี้เป็นปัจจัย สิ่งนี้สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น  


ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย !  ธรรมนี้เราเรียกว่า ปฏิจจสมุปบาท (คือธรรมอันเป็น ธรรมชาติ อาศัยกันแล้วเกิดขึ้น).

   
 
 
พุทธวจน : อ่านคำสอนพระศาสดา อ่านแบบสบายตา โดยคัดลอกหนังสือทั้งเล่มมาจัดทำเป็นเว็บเพจ (คลิกอ่านพร้อมดาวน์โหลดไฟล์ pdf)
90 90 90 90
พุทธประวัติ ขุมทรัพย์ อริยสัจ
ภาคต้น
อริยสัจ
ภาคปลาย
ปฏิจจ ปฐมธรรม ตถาคต อนาคามี อินทรีย์
สังวร
สัตว์
สัตตานัง
ทาน
สกทาคามี
ฆราวาส
ชั้นเลิศ
มรรควิธี
ที่ง่าย
อริยวินัย เดรัจฉานวิชา กรรม สมถะ
วิปัสสนา
โสดาบัน นา
ปานสติ
จิต มโน
วิญญาณ
ก้าวย่าง
อย่างพุทธะ
ตามรอย
ธรรม
ภพ ภูมิ
พุทธวจน
สาธยาย
ธรรม
สังโยชน์