เว็บไซต์ อนาคามี เผยแพร่คำพระศาสดา เผยแพร่คำสอนตถาคต เว็บไซต์เผยแพร่พระสุตรคำสอนของพระพุทธเจ้า คลิปคำสอน คลิปสาธยายธรรม
 
ค้นหาคำที่ต้องการ          

 
 อุปมาแห่งขันธ์ ๕ ...ความหมายของขันธ์๕ ..ขันธ์๕ ไม่มีแก่นสาร 352  
 

  สรุปย่อ

 รูป - คือสิ่งที่แตกสลายได้จากความร้อน ความเย็น อาการที่แตกสลาย เรียกว่า รูป
 รูป- อุปมาเหมือนฟองน้ำในแม่น้ำ ที่มีแต่ความว่างเปล่าไม่มีแก่นสาร

 เวทนา- คือกริยาที่รู้สึกจากผัสสะ รู้สึกสุขบ้าง ทุกข์บ้าง รู้สึกไม่ทุกข์ไม่สุขบ้าง
 เวทนา- อุปมาเป็นต่อมน้ำที่แตกกระจายบนผิวน้ำ ย่อมไม่มีแก่นสาร เป็นของว่างเปล่า

 สัญญา -คือกริยาที่หมายรู้ รูว่าเป็นสีเขียวบ้าง เหลืองบ้าง แดงบ้าง
 สัญญา-อุปมาเป็นพยับแดดที่ระยิบระยับตอนเที่ยงวัน

 สังขาร -คือกริยาปรุงแต่งรูปให้สำเร็จความเป็นรูป ปรุงแต่งเวทนา ปรุงแต่งสัญญา สังขาร ให้สำเร็จรูป
 สังขาร-อุปมาเหมือนลอกกาบกล้วยต้นอ่อน ที่ปอกไปแล้วก็หาแก่นไม่ได้

 วิญญาณ-คือกริยาที่รู้แจ้งต่ออารมณ์ที่มากระทบ รู้ว่าเปรี้ยวบ้าง เผ็ดบ้าง เค็มบ้าง
 วิญญาณ-เปรียบเป็นนักมายากล ว่าเป็นของว่างเปล่า หาแก่นสารในกลนั้นไม่ได้

 
 
 


อริยสัจจากพระโอษฐ์ ภาคต้น

อุปมาแห่งขันธ์ ๕

ความหมายของคำว่า “รูป”

ภิกษุ ท. คนทั่วไปกล่าวกันว่า “รูป” เพราะอาศัยความหมายอะไรเล่า ? ภิกษุ ท เพราะกิริยาที่แตกสลายได้ มีอยู่ในสิ่งนั้น (เช่นนี้แล) ดังนั้น สิ่งนั้นจึงถูกเรียกว่า รูป

สิ่งนั้นแตกสลายได้ เพราะอะไร? สิ่งนั้นแตกสลายได้เพราะความเย็นบ้าง แตกสลาย ได้ เพราะความร้อนบ้าง แตกสลายได้เพราะความหิวบ้าง แตกสลายได้ เพราะความ ระหายบ้าง แตกสลายได้เพราะถูกต้องกับเหลือบ ยุง ลม แดด และสัตว์เลื้อยคลาน บ้าง (ดังนี้เป็นต้น) ภิกษุ ท ! เพราะกิริยา ที่แตกสลายได้มีอยู่ในสิ่ง (เช่นนี้แล)ดังนั้น สิ่งนั้น จึงถูกเรียกว่า รูป
(สรุป รูปคือสิ่งที่แตกสลายได้ แตกด้วยเหตุปัจจัยต่างๆ)

อุปมาแห่งรูป
(อุปมาเหมือนฟองน้ำที่เป็นของว่างเปล่า หารูปอะไรไม่ได้)

ภิกษุ ท. แม่น้ำคงคานี้ ไหลพาเอาฟองน้ำก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งมา บุรุษผู้จักษุ(ตามปกติ) เห็นฟองน้ำ ก้อนใหญ่ก้อนนั้น ก็พึงเพ่งพินิจพิจารณาโดยแยบคาย เมื่อบุรุษ ผู้นั้น เห็นอยู่ เพ่งพินิจพิจารณาโดยแยบคายอยู่ ก้อนฟองน้ำนั้น ย่อมปรากฏเป็นของ ว่างของเปล่า และปรากฏเป็นของหาแก่นสารมิได้ไป

ภิกษุ ท. ก็แก่นสารในก้อนฟองน้ำนั้น จะพึงมีได้อย่างไร อุปมานี้ฉันใด ภิกษุ ท. อุปไมยก็ฉันนั้น คือ รูปชนิดใดชนิดหนึ่ง มีอยู่ จะเป็นอดีต อนาคตหรือปัจจุบันก็ตาม เป็นภายในหรือภายนอกก็ตาม หยาบหรือละเอียดก็ตาม เลวหรือประณีตก็ตาม มีในที่ไกลหรือที่ใกล้ก็ตาม.

ภิกษุเห็นรูปนั้นย่อมเพ่งพินิจพิจารณาโดยแยบคาย. เมื่อภิกษุนั้นเห็นอยู่ เพ่งพินิจ พิจารณาโดยแยบคายอยู่ รูปนั้น ย่อมปรากฏเป็นของว่างของเปล่า และปรากฏเป็น ของหาแก่นสารมิได้ไป. ภิกษุ ท. ก็แก่นสารในรูปนั้น จะพึงมีได้อย่างไร

...............................................................................................................................................

ความหมายของคำว่า “เวทนา”

ภิกษุ ท. คนทั่วไป กล่าวกันว่า "เวทนา" เพราะอาศัยความหมายอะไรเล่า ? ภิกษุ ท. เพราะกิริยาที่รู้สึก (ต่อผลอันเกิดจากผัสสะ)ได้ มีอยู่ในสิ่งนั้น (เช่นนี้แล) ดังนั้น สิ่งนั้น จึงถูกเรียกว่า เวทนา

สิ่งนั้น ย่อมรู้สึกได้ ซึ่งอะไร ? สิ่งนั้น ย่อมรู้สึกได้ ซึ่งความรู้สึกอันเป็นสุขบ้าง ย่อมรู้สึกได้ ซึ่งความรู้สึกอันเป็นทุกข์บ้าง และย่อมรู้สึกได้ ซึ่งความรู้สึกอันไม่ทุกข์ ไม่สุขบ้างภิกษุ ท. เพราะกิริยาที่รู้สึกได้ มีอยู่ ในสิ่งนั้นดังนั้น สิ่งนั้น จึงถูกเรียกว่า เวทนา
(สรุป เวทนาคือกริยาที่รู้สึกได้ รู้สึกสุขบ้าง ทุกข์บ้าง ไม่ทุกข์ไม่สุขบ้าง)

อุปมาแห่งเวทนา
(อุปมาเหมือนต่อมน้ำที่แตกกระจายบนผิวน้ำ)

ภิกษุ ท.! เมื่อฝนเมล็ดหยาบ ตกในสรทสมัย (ท้ายฤดูฝน) ต่อมน้ำ ย่อมเกิดขึ้น และ แตกกระจายอยู่บนผิวน้ำ. บุรุษผู้มีจักษุ เห็นต่อมน้ำนั้น ก็เพ่งพินิจ พิจารณา โดยแยบคาย. เมื่อบุรุษนั้นเห็นอยู่ เพ่งพินิจพิจารณา โดยแยบคายอยู่ ต่อมน้ำนั้น ย่อมปรากฏเป็นของว่างของเปล่า และปรากฏเป็นของหาแก่นสารมิได้ไป.

ภิกษุ ท. ก็แก่นสารในต่อมน้ำนั้นจะพึงมีได้อย่างไร อุปมานี้ฉันใด ภิกษุท. อุปไมย ก็ฉันนั้น คือ เวทนา ชนิดใดชนิดหนึ่ง มีอยู่จะเป็นอดีตอนาคตหรือปัจจุบันก็ตาม เป็นภายในหรือภายนอกก็ตาม หยาบหรือละเอียดก็ตาม เลวหรือประณีตก็ตาม มีในที่ไกลหรือที่ใกล้ก็ตาม ภิกษุรู้สึกในเวทนานั้น ย่อมเพ่งพินิจพิจารณาโดยแยบคาย

เมื่อภิกษุนั้นรู้สึกอยู่เพ่งพินิจพิจารณาโดยแยบคายอยู่ เวทนานั้น ย่อมปรากฏเป็นของ ว่าง ของเปล่า และปรากฏเป็นของหาแก่นสารมิได้ไป ภิกษุ ท. ก็แก่นสารในเวทนา นั้น จะพึงมีได้อย่างไร

อาการเกิด-ดับแห่งเวทนา
(ดับไปเพราะผัสสะ)

ภิกษุ ท. เปรียบเหมือน เมื่อไม้สีไฟสองอันสีกัน ก็เกิดความร้อนและเกิดไฟ เมื่อไม้สีไฟสองอัน แยกกัน ความร้อนก็ดับไปสงบไป ภิกษุ ท. ฉันใดก็ฉันนั้น เวทนาทั้งสามนี้ ซึ่งเกิดจากผัสสะ มีผัสสะเป็นมูล มีผัสสะเป็นเหตุ มีผัสสะเป็นปัจจัย อาศัยผัสสะแล้วย่อมเกิดขึ้น ย่อมดับไปเพราะผัสสะดับ ดังนี้แล.

...............................................................................................................................................

ความหมายของคำว่า “สัญญา”

ภิกษุ ท.! คนทั่วไป กล่าวกันว่า “สัญญา” เพราะอาศัยความหมายอะไรเล่า? ภิกษุ ท. เพราะกิริยาที่หมายรู้ได้พร้อม มีอยู่ในสิ่งนั้น (เช่นนี้แล) ดังนั้น สิ่งนั้นจึงถูกเรียกว่า สัญญา

สิ่งนั้น ย่อมหมายรู้ได้พร้อมซึ่งอะไร ? สิ่งนั้น ย่อมหมายรู้ได้พร้อม ซึ่งสีเขียวบ้าง ย่อมหมายรู้ได้พร้อมซึ่งสีเหลืองบ้าง ย่อมหมายรู้ได้พร้อม ซึ่งสีแดงบ้าง และย่อม หมายรู้ได้ พร้อมซึ่งสีขาวบ้าง. ภิกษุ ท.เพราะ กิริยาที่หมายรู้ได้ พร้อมมีอยู่ ในสิ่งนั้นดังนั้น สิ่งนั้น จึงถูกเรียกว่าสัญญา.
(สรุปสัญญาคือ กริยาที่หมายรู้ จำได้ว่าสีนั้นสีนี้)

อุปมาแห่งสัญญ
(อุปมา คล้ายพยับแดดระยิบในเวลาเที่ยงวัน ที่เป็นของว่างเปล่า)

ภิกษุ ท. เมื่อเดือนท้ายแห่งฤดูร้อนยังเหลืออยู่ ในเวลาเที่ยงวันพยับแดดย่อมไหว ยิบยับ . บุรุษผู้มีจักษุ (ตามปกติ) เห็นพยับแดดนั้น ก็เพ่งพินิจพิจารณาโดยแยบคาย. เมื่อบุคคลนั้นเห็นอยู่ เพ่งพินิจพิจารณาโดยแยบคายอยู่ พยับแดดนั้น ย่อมปรากฏเป็น ของว่าง ของเปล่า และปรากฏเป็นของหาแก่นสารมิได้ไป.

ภิกษุ ท. ก็แก่นสารในพยับแดดนั้น จะพึงมีได้อย่างไร อุปมานี้ฉันใด ภิกษุ ท. อุปไมย ก็ฉันนั้นคือสัญญาชนิดใดชนิดหนึ่งมีอยู่ จะเป็นอดีต อนาคต หรือปัจจุบัน ก็ตาม เป็นภายในหรือภายนอกก็ตาม หยาบหรือละเอียดก็ตาม เลวหรือประณีตก็ตาม มีในที่ไกลหรือที่ใกล้ก็ตาม

ภิกษุสังเกตเห็นสัญญานั้น ย่อมเพ่งพินิจพิจารณาโดยแยบคาย เมื่อภิกษุนั้นสังเกต เห็นอยู่ เพ่งพินิจพิจารณาโดยแยบคายอยู่ สัญญานั้นย่อมปรากฏ เป็นของว่างของ เปล่า และปรากฏเป็นของหาแก่นสารมิได้ไป. ภิกษุ ท. ก็แก่นสารใน สัญญานั้น จะพึงมีได้อย่างไร

...............................................................................................................................................

ความหมายของคำว่า “สังขาร”

ภิกษุ ท. คนทั่วไป กล่าวกันว่า “สังขารทั้งหลาย” เพราะอาศัยความหมายอะไรเล่า ? ภิกษุ ท. เพราะกิริยาที่ปรุงแต่งให้สำเร็จรูปมีอยู่ในสิ่งนั้น (เช่นนี้แล) ดังนั้น สิ่งนั้น จึงถูกเรียกว่า สังขาร.

สิ่งนั้นย่อมปรุงแต่งอะไร ให้เป็นของสำเร็จรูป ? สิ่งนั้นย่อมปรุงแต่งรูป ให้สำเร็จรูป เพื่อความเป็นรูป ย่อมปรุงแต่งเวทนา ให้สำเร็จรูป เพื่อความเป็นเวทนา ย่อมปรุงแต่ง สัญญา ให้สำเร็จรูปเพื่อความเป็นสัญญา ย่อมปรุงแต่งสังขารให้สำเร็จรูป เพื่อความ เป็นสังขาร และย่อมปรุงแต่งวิญญาณ ให้สำเร็จรูปเพื่อความเป็นวิญญาณ. ภิกษุ ท. เพราะกิริยาที่ปรุงแต่งให้สำเร็จรูป มีอยู่ในสิ่งนั้น) ดังนั้น สิ่งนั้น จึงถูกเรียกว่าสังขาร ทั้งหลาย.
(สรุปสังขารคือ กริยาที่ปรุงแต่งให้สำเร็จ ปรุงซึ่งรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ)

อุปมาแห่งสังขาร
(อุปมาเหมือนลอกเปลือกต้นกล้วยที่ยังอ่อน ปอกกาบออกก็ไม่แก่นสาร)
ภิกษุ ท.! บุรุษผู้หนึ่งมีความต้องการด้วยแก่นไม้ เสาะหาแก่นไม้เที่ยวหาแก่นไม้อยู่, เขาจึงถือเอาขวานอันคมเข้าไปสู่ป่า. เขาเห็นต้นกล้วยต้นใหญ่ ในป่านั้น ลำต้นตรง ยังอ่อนอยู่ ยังไม่เกิดแกนไส้. เขาตัดต้นกล้วยนั้นที่โคน แล้วตัดปลาย แล้วจึงปอกกาบ ออก. บุรุษนั้น เมื่อปอกกาบออกอยู่ ณ ที่นั้น ก็ไม่พบ แม้แต่กระพี้ จักพบแก่น ได้อย่างไร. บุรุษผู้มีจักษุเห็นต้นกล้วยนั้น ก็เพ่งพินิจพิจารณา โดยแยบคาย. เมื่อบุรุษนั้นเห็นอยู่ เพ่งพินิจพิจารณาโดยแยบคายอยู่ ต้นกล้วยนั้น ย่อมปรากฏเป็นของว่างของเปล่า และปรากฏเป็นของหาแก่นสารมิได้ไป.

ภิกษุ ท.! ก็แก่นสารในต้นกล้วยนั้น จะพึงมีได้อย่างไร อุปมานี้ฉันใด ภิกษุ ท. อุปไมยก็ฉันนั้น คือ สังขารทั้งหลาย ชนิดใดชนิดหนึ่งมีอยู่ จะเป็นอดีต อนาคต หรือปัจจุบันก็ตาม เป็นภายในหรือภายนอก็ตาม หยาบหรือละเอียดก็ตาม เลวหรือ ประณีตก็ตาม มีในที่ไกลหรือที่ใกล้ก็ตาม ภิกษุสังเกตเห็น (การเกิดขึ้นแห่ง) สังขารทั้งหลายเหล่านั้น ย่อมเพ่งพินิจพิจารณาโดยแยบคาย. เมื่อภิกษุนั้นสังเกต เห็นอยู่ เพ่งพินิจพิจารณาโดยแยบคายอยู่, สังขารทั้งหลาย ย่อมปรากฏเป็นของว่าง ของเปล่า และปรากฏเป็นของหาแก่นสารมิได้ไป. ภิกษุ ท. ก็แก่นสารในสังขาร ทั้งหลายเหล่านั้น จะพึงมีได้อย่างไร

...............................................................................................................................................

ความหมายของคำว่า “วิญญาณ”

ภิกษุ ท. คนทั่วไปกล่าวกันว่า “วิญญาณ” เพราะอาศัยความหมายอะไรเล่า ? ภิกษุ ท. เพราะกิริยาที่รู้แจ้ง (ต่ออารมณ์ที่มากระทบ) ได้ มีอยู่ในสิ่งนั้น ดังนั้น สิ่งนั้น จึงถูกเรียกว่า วิญญาณ.

สิ่งนั้นย่อมรู้แจ้ง ซึ่งอะไร ? สิ่งนั้นย่อมรู้แจ้ง ซึ่งความเปรี้ยวบ้าง ย่อมรู้แจ้ง ซึ่งความ ขมบ้าง ย่อมรู้แจ้ง ซึ่งความเผ็ดร้อนบ้าง ย่อมรู้แจ้ง ซึ่งความหวานบ้าง ย่อมรู้แจ้ง ซึ่งความขื่นบ้าง ย่อมรู้แจ้งซึ่งความความไม่ขื่นบ้าง ย่อมรู้แจ้ง ซึ่งความเค็มบ้าง ย่อมรู้แจ้ง ซึ่งความไม่เค็มบ้าง ภิกษุ ท. เพราะกิริยาที่รู้แจ้งได้ มีอยู่ในสิ่งนั้นดังนั้น สิ่งนั้น จึงถูกเรียกว่า วิญญาณ. (สรุปวิญญาณคือ กริยาที่รู้แจ้งต่ออารมณ์ที่มากระทบ)

อุปมาแห่งวิญญาณ
(อุปมาเหมือนนักมายากล ว่าเป็นว่างเปล่าหาแก่นสารอะไรไม่ได้)
ภิกษุ ท. นักแสดงกลก็ตาม ลูกมือของนักแสดงกลก็ตาม แสดงกลอยู่ที่ทางใหญ่ สี่แยก. บุรุษผู้มีจักษุเห็นกลนั้น ก็เพ่งพินิจพิจารณาโดยแยบคาย. เมื่อบุรุษผู้นั้นเห็นอยู่ เพ่งพินิจพิจารณาโดยแยบคายอยู่ กลนั้น ย่อมปรากฏเป็นของ ว่าง ของเปล่า และปรากฏเป็นของหาแก่นสารมิได้ไป.

ภิกษุ ท. ก็แก่นสาร ในกลนั้น จะพึงมีได้อย่างไร อุปมานี้ฉันใด ภิกษุ ท. อุปไมยก็ ฉันนั้น คือ วิญญาณชนิดใดชนิดหนึ่ง มีอยู่ จะเป็นอดีตอนาคตหรือปัจจุบันก็ตาม เป็นภายในหรือภายนอกก็ตาม หยาบหรือละเอียดก็ตาม เลวหรือประณีตก็ตาม มีในที่ไกล หรือใกล้ก็ตาม ภิกษุสังเกตเห็น วิญญาณนั้น ย่อมเพ่งพินิจ พิจารณาโดย แยบคาย เมื่อภิกษุนั้นสังเกตเห็นอยู่ เพ่งพินิจพิจารณาโดยแยบคายอยู่ วิญญาณนั้น ย่อมปรากฏเป็นของว่างของเปล่า และปรากฏเป็นของหาแก่นสาร มิได้ไป. ภิกษุท. ก็แก่นสารในวิญญาณนั้น จะพึงมีได้อย่างไร


   
 
 
พุทธวจน : อ่านคำสอนพระศาสดา อ่านแบบสบายตา โดยคัดลอกหนังสือทั้งเล่มมาจัดทำเป็นเว็บเพจ (คลิกอ่านพร้อมดาวน์โหลดไฟล์ pdf)
90 90 90 90
พุทธประวัติ ขุมทรัพย์ อริยสัจ
ภาคต้น
อริยสัจ
ภาคปลาย
ปฏิจจ ปฐมธรรม ตถาคต อนาคามี อินทรีย์
สังวร
สัตว์
สัตตานัง
ทาน
สกทาคามี
ฆราวาส
ชั้นเลิศ
มรรควิธี
ที่ง่าย
อริยวินัย เดรัจฉานวิชา กรรม สมถะ
วิปัสสนา
โสดาบัน นา
ปานสติ
จิต มโน
วิญญาณ
ก้าวย่าง
อย่างพุทธะ
ตามรอย
ธรรม
ภพ ภูมิ
พุทธวจน
สาธยาย
ธรรม
สังโยชน์