เว็บไซต์ อนาคามี แหล่งเผยแพร่คำพระศาสดา เผยแพร่คำสอนตถาคต เว็บไซต์เผยแพร่พระสุตรคำสอนของพระพุทธเจ้า คลิปคำสอน คลิปสาธยายธรรม
 
ค้นหาคำที่ต้องการ          

 
  ทิฏฐิ ๖๒ (อาการจิตของมนุษย์) 201  
 

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๙ พระสุตตันตปิฎก  หน้าที่ ๑๑  -  ๔๔

( อ่านฉบับเต็ม P333-743 )
( ดูย่อแบบตาราง P140 )

ทิฏฐิ ๖๒ (อาการจิตของมนุษย์)


[๒๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ยังมีธรรมอย่างอื่นอีกแลที่ลึกซึ้งเห็นได้ยาก รู้ตามได้ยาก สงบ ประณีต จะคาดคะเนเอาไม่ได้ ละเอียด รู้ได้เฉพาะบัณฑิต ซึ่งตถาคตทำให้แจ้ง ด้วย ปัญญาอันยิ่งเอง แล้วสอนผู้อื่นให้รู้แจ้ง ที่เป็นเหตุให้กล่าวชมตถาคตตามความเป็นจริง โดยชอบ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ธรรมเหล่านั้นเป็นไฉน?

กลุ่มที่ 1 - ปุพพันตกัปปิกะ (ปุพพันตานุทิฏฐิ)
(ความเห็นปรารภเบื้องต้น ๑๘ ลัทธิ)
(๑) สัสสตทิฏฐิ มี ๔ ลัทธิ
(๒) เอกัจจสัสสตทิฏฐิ มี ๔ ลัทธิ
(๓) อันตานันติกทิฏฐิ มี ๔ ลัทธิ
(๔) อมราวิกเขปิกทิฏฐิ มี ๔ ลัทธิ
(๕) อธิจจสมุปปันนิกะ มี ๒ ลัทธิ


กลุ่มที่ 2 - อปรันตกัปปิกะ (อปรันตนุทิฏฐิ)
(ความเห็นปรารภเบื้องปลาย ๔๔ ลัทธิ)

(๑) พวกสัญญีวาท (๑๖ ลัทธิ)
(๒) พวกอสัญญีวาท (๘ ลัทธิ)
(๓) พวกเนวสัญญีนาสัญญีวาท (๘ ลัทธิ)
(๔) พวกอุจเฉทวาท (๗ ลัทธิ)

(๕) พวกทิฏฐธรรมนิพานวาท (๕ ลัทธิ)

กลุ่ม 1 มี ๑๘ ลัทธิ
กลุ่ม 2 มี ๔๔ ลัทธิ
รวมทั้งสิ้น ๖๒ ลัทธิ

..........................................................................................................................................................

กลุ่มที่1
ปุพพันตกัปปิกทิฏฐิ
แปลว่า ความเห็นหรือทฤษฎีของพวกที่กำหนดขึ้น อาศัยส่วน ของ ขันธ์ (เบญจขันธ์) อันเป็นอดีต แนวความคิดนี้อาศัยข้อมูลจากอดีต เป็นหลัก เป็นความรู้ เกิดจากเจโตสมาธิ ย้อนสำรวจชาติในอดีตของตน โดยเอาตัวเอง ในปัจจุบันเป็นฐาน แล้ว ย้อนระลึกชาติกลับไปสู่อดีต โดยการสาวลึกและไกลไปเรื่อยๆ จนสุดกำลังญาณของตน สรุปว่า โลกแล้วอัตตาเป็นอย่างไร

(๑) หมวดเห็นว่าเที่ยง (สัสสตทิฏฐิ) ๔
๑. เห็นว่าตัวตน (อัตตา)และโลกเที่ยง เพราะระลึกชาติได้ ตั้งแต่ชาติเดียวจนถึงแสนชาติ
๒. เห็นว่าตัวตน และโลกเที่ยง เพราะระลึกชาติได้เป็นกัปป์ๆ ตั้งแต่กัปป์เดียวถึงสิบกัปป์
๓. เห็นว่าตัวตน และโลกเที่ยง เพราะระลึกชาติได้มากกัปป์ ตั้งแต่สิบกัปป์ถึงสี่สิบกัปป์
๔. นักเดา เดาตามความคิดคาดคะเนว่าโลกเที่ยง

(๒) หมวดเห็นว่าบางอย่างเที่ยง บางอย่างไม่เที่ยง (เอกัจจสัสสติกทิฏฐิ เอกัจจอสัสสติกทิฏฐิ) ๔
๕. เห็นว่า พระพรหมเที่ยง แต่พวกเราที่พระพรหมสร้างไม่เที่ยง
๖. เห็นว่า เทวดาพวกอื่นเที่ยงพวกที่มีโทษเพราะเล่นสนุกสนาน ไม่เที่ยง
๗. เห็นว่า เทวดาพวกอื่นเที่ยง พวกที่มีโทษเพราะคิดร้ายผู้อื่น ไม่เที่ยง
๘. นักเดา เดาตามความคิดคาดคะเนว่า ตัวตนฝ่ายกายไม่เที่ยง ตัวตนฝ่ายจิตเที่ยง

(๓) หมวดเห็นว่ามีที่สุด และไม่มีที่สุด (อันตานันติกทิฏฐิ) ๔
๙. เห็นว่าโลกมีที่สุด
๑๐. เห็นว่าโลกไม่มีที่สุด
๑๑. เห็นว่าโลกมีที่สุด เฉพาะด้านบนกับด้านล่าง ส่วนด้านกว้างหรือด้านขวางไม่มีที่สุด
๑๒. นักเดา เดาตามความคิดคาดคะเนว่า โลกมีที่สุดก็ไม่ใช่ ไม่มีที่สุดก็ไม่ใช่

(๔) หมวดพูดซัดส่ายไม่ตายตัวแบบปลาไหล (อมราวิกเขปิกทิฏฐิ) ๔
๑๓. เกรงว่าจะพูดปด จึงพูดปฏิเสธว่าอย่างนี้ก็ไม่ใช่ อย่างนั้นก็ไม่ใช่อย่างอื่นก็ไม่ใช่ มิใช่ (อะไร)ก็ไม่ใช่
๑๔. เกรงว่าจะยึดถือ จึงพูดปฏิเสธแบบข้อ ๑
๑๕. เกรงว่าจะถูกซักถาม จึงพูดปฏิเสธแบบข้อ ๑
๑๖. เพราะโง่เขลา จึงพูดปฏิเสธแบบข้อ ๑ และไม่ยอมรับหรือยืนยันอะไรเลย

(๕) หมวดเห็นว่าสิ่งต่าง ๆ มีขึ้นเอง ไม่มีเหตุ (อธิจจสมุปปันนิกทิฏฐิ) ๒
๑๗. เห็นว่าสิ่งต่างๆ มีขึ้นเอง โดยไม่มีเหตุ เพราะเคยเกิดเป็นอสัญญีสัตว์
๑๘. นักเดา เดาเอาตามความคิดคาดคะเนว่า สิ่งต่างๆ มีขึ้นเองโดยไม่มี

............................................................................................................................................................

กลุ่มที่ 2

อปรันตกัปปิกวาท ผู้ปรารภเบื้องปลาย ได้แก่ส่วนที่เป็นอนาคต มี ๕ กลุ่ม แบ่งย่อยออกเป็น ๔๔ สำนัก
(๑)กลุ่มสัญญีวาท เป็นพวกที่เห็นว่า อัตตา หลังตายแล้วมีสัญญา(๑๖)
(๒)กลุ่มอสัญญีวาท เป็นพวกที่เห็นว่า อัตตาหลังตายแล้ว ไม่มีสัญญา(๘)
(๓)กลุ่มเนวสัญญีนาสัญญี พวกเห็นว่าอัตตาหลังตายแล้วมีสัญญาก็ไม่ใช่ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่(๘)
(๔)กลุ่มอุจเฉทวาท เห็นว่าสัตว์ตายแล้วสูญ(๗)
(๕)กลุ่มทิฏฐิธรรมนิพพานวาท เห็นว่าสภาพบางอย่างเป็นนิพพานในปัจจุบัน(ตรงกับหลัก การของลัทธิ Hedonism )

ใน ๕ กลุ่มของนักคิด สามกลุ่มแรกเห็นว่า อัตตา (อาตมัน) หรือวิญญาณ หลังตายแล้ว ยังมีอยู่ (อุทธมาฆาตนิกา) ในลักษณะเป็นทรัพย์(Substance) เป็นตัวรองรับคุณสมบัติ ต่างๆเป็นตัวไปเกิดใหม่ สืบภพชาตินิรันดร (อโรคะ)

(๑) หมวดเห็นว่ามีสัญญา (สัญญีทิฏฐิ) ๑๖
๑๙. อัตตาที่มีรูป ยั่งยืน มีสัญญา
๒๐. อัตตาที่ไม่มีรูป ยั่งยืน มีสัญญา
๒๑. อัตตาทั้งที่มีรูป ทั้งที่ไม่มีรูป ยั่งยืน มีสัญญา
๒๒. อัตตาทั้งที่มีรูปก็มิใช่ ทั้งที่ไม่มีรูปก็มิใช่ ยั่งยืน มีสัญญา
๒๓. อัตตาที่มีที่สุด ยั่งยืน มีสัญญา
๒๔. อัตตาที่ไม่มีที่สุด ยั่งยืน มีสัญญา
๒๕. อัตตาทั้งที่มีที่สุด ทั้งที่ไม่มีที่สุด ยั่งยืน มีสัญญา
๒๖. อัตตาทั้งที่มีที่สุดก็มิใช่ ทั้งที่ไม่มีที่สุดก็มิใช่ ยั่งยืน มีสัญญา
๒๗. อัตตาที่มีสัญญาอย่างเดียวกัน ยั่งยืน มีสัญญา
๒๘. อัตตาที่มีสัญญาต่างกัน ยั่งยืน มีสัญญา
๒๙. อัตตาที่สัญญาย่อมเยา ยั่งยืน มีสัญญา
๓๐. อัตตาที่มีสัญญาหาประมาณมิได้ ยั่งยืน มีสัญญา
๓๑. อัตตาที่มีสุขอย่างเดียว ยั่งยืน มีสัญญา
๓๒. อัตตาที่มีทุกข์อย่างเดียว ยั่งยืน มีสัญญา
๓๓. อัตตาที่มีทั้งสุขและทุกข์ ยั่งยืน มีสัญญา
๓๔. อัตตาที่มีทุกข์ก็มิใช่ สุขก็มิใช่ ยั่งยืน มีสัญญา
ทั้ง ๑๖ ประเภทนี้ ตายไปแล้ว ก็มีสัญญา คือความจำได้หมายรู้ทั้งสิ้น

(๒) หมวดเห็นว่าไม่มีสัญญา (อสัญญีทิฏฐิ) ๘
๓๕. อัตตาที่มีรูป ยั่งยืน ไม่มีสัญญา
๓๖. อัตตาที่ไม่มีรูป ยั่งยืน ไม่มีสัญญา
๓๗. อัตตาทั้งที่มีรูป ทั้งที่ไม่มีรูป ยั่งยืน ไม่มีสัญญา
๓๘. อัตตาทั้งที่มีรูปก็มิใช่ ทั้งที่ไม่มีรูปก็มิใช่ ยั่งยืน ไม่มีสัญญา
๓๙. อัตตาที่มีที่สุด ยั่งยืน ไม่มีสัญญา
๔๐. อัตตาที่ไม่มีที่สุด ยั่งยืน ไม่มีสัญญา
๔๑. อัตตาทั้งที่มีที่สุด ทั้งที่ไม่มีที่สุด ยั่งยืน ไม่มีสัญญา
๔๒. อัตตาทั้งที่มีที่สุดก็มิใช่ ทั้งที่ไม่มีที่สุดก็มิใช่ ยั่งยืน ไม่มีสัญญา
เห็นว่าตั้งแต่ข้อ ๓๕ ถึงข้อ ๔๒ ข้างต้น คือตนมีรูปจนถึงตนมีที่สุดก็มิใช่ ไม่มีที่สุดก็มิใช่ ทั้ง ๘ ประเภทนี้ ตายไปแล้วก็ไม่มีสัญญา คือไม่มีความจำได้หมายรู้

(๓) หมวดเห็นว่ามีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่ (เนวสัญญีนาสัญญีทิฏฐิ) ๘
๔๓. อัตตาที่มีรูป ยั่งยืน มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่
๔๔. อัตตาที่ไม่มีรูป ยั่งยืน มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่
๔๕. อัตตาทั้งที่มีรูป ทั้งที่ไม่มีรูป ยั่งยืน มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่
๔๖. อัตตาทั้งที่มีรูปก็มิใช่ ทั้งที่ไม่มีรูปก็มิใช่ ยั่งยืน มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญา ก็มิใช่
๔๗. อัตตาที่มีที่สุด ยั่งยืน มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่
๔๘. อัตตาที่ไม่มีที่สุด ยั่งยืน มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่
๔๙. อัตตาทั้งที่มีที่สุด ทั้งไม่มีที่สุด ยั่งยืน มีสัญญาก็มิใช่ ไม่สัญญาก็มิใช่
๕๐. อัตตาทั้งที่มีที่สุดก็มิใช่ ทั้งที่ไม่มีที่สุดก็มิใช่ ยั่งยืน มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มี
เห็นว่าตั้งแต่ข้อ ๔๓ ถึงข้อ ๕๐ ข้างต้น คือ ตนมีรูป จนถึงตนมีที่สุดก็มิใช่ ไม่มีที่สุดก็มิใช่ ทั้ง ๘ ประเภทนี้ ตายไปแล้ว มีสัญญาก็มิใช่ ไม่มีสัญญาก็มิใช่ ทั้ง ๓ หมวดนี้ รวมเรียกว่า อุทธมาฆตตนิกา แปลว่า พวกที่มีความเห็นเกี่ยวกับสภาพ เมื่อตายไปแล้ว จะเป็นอย่างไร

(๔) หมวดเห็นว่า ขาดสูญ (อุจเฉททิฏฐิ) ๗
๕๑. ตนที่เป็นของมนุษย์และสัตว์
๕๒. ตนที่เป็นของทิพย์ มีรูป กินอาหารหยาบ
๕๓. ตนที่เป็นของทิพย์ มีรูป สำเร็จจากใจ
๕๔. ตนที่เป็นอากาสานัญจายตนะ
๕๕. ตนที่เป็นวิญญาณาสัญญายตนะ
๕๖. ตนที่เป็นอากิญจัญญายตนะ
๕๗. ตนที่เป็นเนวสัญญานาสัญญายตนะ
ทั้ง ๗ ประเภทนี้ เมื่อสิ้นชีพแล้วก็ขาดสูญ ไม่เกิดอีก

(๕) หมวดเห็นสภาพบางอย่างเป็นนิพพานในปัจจุบัน (ทิฏฐธรรมนิพพานทิฏฐิ) ๕
๕๘. เห็นว่าการเพียบพร้อมด้วยกามคุณ ๕ เป็นนิพพานอย่างยอดในปัจจุบัน
๕๙. เห็นว่าการเพียบพร้อมด้วยฌานที่ ๑ เป็นนิพพานอย่างยอดในปัจจุบัน
๖๐. เห็นว่าการเพียบพร้อมด้วยฌานที่ ๒ เป็นนิพพานอย่างยอดในปัจจุบัน
๖๑. เห็นว่าการเพียบพร้อมด้วยฌานที่ ๓ เป็นนิพพานอย่างยอดในปัจจุบัน
๖๒. เห็นว่าการเพียบพร้อมด้วยฌานที่ ๔ เป็นนิพพานอย่างยอดในปัจจุบัน



       
พุทธวจน : อ่านคำสอนพระศาสดา อ่านแบบสบายตา โดยคัดลอกหนังสือทั้งเล่มมาจัดทำเป็นเว็บเพจ (คลิกอ่านพร้อมดาวน์โหลดไฟล์ pdf)
90 90 90 90
พุทธประวัติ ขุมทรัพย์ อริยสัจ
ภาคต้น
อริยสัจ
ภาคปลาย
ปฏิจจ ปฐมธรรม ตถาคต อนาคามี อินทรีย์
สังวร
สัตว์
สัตตานัง
ทาน
สกทาคามี
ฆราวาส
ชั้นเลิศ
มรรควิธี
ที่ง่าย
อริยวินัย เดรัจฉานวิชา กรรม สมถะ
วิปัสสนา
โสดาบัน นา
ปานสติ
จิต มโน
วิญญาณ
ก้าวย่าง
อย่างพุทธะ
ตามรอย
ธรรม
ภพ ภูมิ
พุทธวจน
สาธยาย
ธรรม
สังโยชน์