เว็บไซต์ อนาคามี เผยแพร่คำพระศาสดา เผยแพร่คำสอนตถาคต เว็บไซต์เผยแพร่พระสุตรคำสอนของพระพุทธเจ้า คลิปคำสอน คลิปสาธยายธรรม
 
ค้นหาคำที่ต้องการ          

 
  มหาจัตตารีสกสูตร สัมมาทิฐิ ย่อมเป็นประธาน คือ ภิกษุ (ผู้เป็นอริยะ) รู้จักมิจฉาทิฐิว่ามิจฉาทิฐิ รู้จักสัมมาทิฐิว่าสัมมาทิฐิ ความรู้ของเธอนั้น เป็นสัมมาทิฐิ 906
 
(เนื้อหาพอสังเขป)

องค์ประกอบ สัมมาสมาธิ ของพระอริยะ
(ประกอบด้วย ๗ องค์)
     1.สัมมาทิฐิ
     2.สัมมาสังกัปปะ
     3.สัมมาวาจา
     4.สัมมากัมมันตะ
     5.สัมมาอาชีวะ
     6.สัมมาวายามะ
     7.สัมมาสติ

บรรดาองค์ทั้ง ๗ นั้น สัมมาทิฐิ ย่อมเป็นประธาน
คือ
ภิกษุ
   - รู้จัก มิจฉาสังกัปปะ ว่า มิจฉาสังกัปปะ
   - รู้จัก สัมมาสังกัปปะ ว่าสัมมาสังกัปปะ
     ความรู้ของเธอนั้น เป็นสัมมาทิฐิ

ภิกษุ

  - รู้จัก มิจฉาวาจา ว่ามิจฉาวาจา
  - รู้จัก สัมมาวาจา ว่าสัมมาวาจา
   ความรู้ของเธอนั้น เป็นสัมมาทิฐิ

สัมมาทิฐิเป็น ๒ อย่าง คือ

     1. สัมมาทิฐิ ที่ยังเป็น สาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ ให้ผลแก่ขันธ์
     2. สัมมาทิฐิ ของพระอริยะ ที่เป็น อนาสวะ เป็นโลกุตระ เป็นองค์มรรค
--------------------------------------------------------------------

ภิกษุนั้น ย่อมพยายามเพื่อละ มิจฉาทิฐิ เพื่อบรรลุ สัมมาทิฐิ
ความพยายามของเธอ นั้นเป็นสัมมาวายามะ
ภิกษุนั้นมีสติ ละมิจฉาทิฐิได้ มีสติบรรลุสัมมาทิฐิอยู่
สติของเธอนั้น เป็นสัมมาสติ

ภิกษุนั้น ย่อมพยายามเพื่อละ มิจฉาสังกัปปะ เพื่อบรรลุ สัมมาสังกัปปะ
ความพยายามของเธอนั้น เป็น สัมมาวายามะ
ภิกษุนั้น มีสติ ละมิจฉาสังกัปปะได้ มีสติบรรลุสัมมาสังกัปปะอยู่
สติของเธอนั้น เป็นสัมมาสติ

ภิกษุนั้น ย่อมพยายามเพื่อละ มิจฉาวาจา เพื่อบรรลุ สัมมาวาจา
ความพยายามของ เธอนั้น เป็นสัมมาวายามะ
ภิกษุนั้นมีสติละมิจฉาวาจาได้ มีสติบรรลุสัมมาวาจาอยู่
สติของเธอนั้น เป็นสัมมาสติ

ภิกษุนั้น ย่อมพยายามเพื่อละ มิจฉากัมมันตะ เพื่อบรรลุ สัมมากัมมันตะ
ความพยายามของเธอนั้น เป็นสัมมาวายามะ
ภิกษุนั้นมีสติละ มิจฉากัมมันตะได้ มีสติบรรลุสัมมากัมมันตะอยู่
สติของเธอนั้น เป็นสัมมาสติ

ภิกษุนั้น ย่อมพยายามเพื่อละ มิจฉาอาชีวะ เพื่อบรรลุ สัมมาอาชีวะ
ความพยายาม ของเธอนั้น เป็นสัมมาวายามะ
ภิกษุนั้น มีสติละมิจฉาอาชีวะ ได้ มีสติบรรลุสัมมาอาชีวะอยู่
สติของเธอนั้น เป็นสัมมาสติ

 
 


ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๔ สุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ หน้าที่ ๑๔๕


ฟังคลิปอ่านพระสูตร

มหาจัตตารีสกสูตร
มรรคแปดสำหรับอริยะ(อนาสวะ) กับ แบบปุถุชน(สาสวะ)


องค์ประกอบ สัมมาสมาธิ ของพระอริยะ
(ประกอบด้วย ๗ องค์)
     1.สัมมาทิฐิ
     2.สัมมาสังกัปปะ
     3.สัมมาวาจา
     4.สัมมากัมมันตะ
     5.สัมมาอาชีวะ
     6.สัมมาวายามะ
     7.สัมมาสติ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความที่จิตมีอารมณ์เป็นหนึ่ง ประกอบแล้วด้วยองค์ ๗ เหล่านี้แลเรียกว่า สัมมาสมาธิ ของพระอริยะ

บรรดาองค์ทั้ง ๗ นั้น สัมมาทิฐิ ย่อมเป็นประธาน คือ ภิกษุ (ผู้เป็นอริยะ)
     - รู้จัก มิจฉาทิฐิ ว่ามิจฉาทิฐิ
     - รู้จัก สัมมาทิฐิ ว่าสัมมาทิฐิ
        ความรู้ของเธอนั้น เป็นสัมมาทิฐิ
(รู้จักแค่มิจฉาทิฐิ ว่าเป็นมิจฉาทิฐิ ความรู้นั้นก็ถือเป็น สัมมาทิฐิ ไปด้วย)
-----------------------------------------------------------------------

สัมมาทิฐิเป็น ๒ อย่าง คือ
     1. สัมมาทิฐิ ที่ยังเป็น สาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ ให้ผลแก่ขันธ์
     2. สัมมาทิฐิ ของพระอริยะ ที่เป็น อนาสวะ เป็นโลกุตระ เป็นองค์มรรค

สัมมาทิฐิที่ยังเป็น สาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ ให้ผลแก่ ขันธ์ คือ ความเห็นดังนี้ว่า
     - ทานที่ให้แล้ว มีผล
     - ยัญที่บูชาแล้ว มีผล
     - สังเวย ที่บวงสรวงแล้ว มีผล
     - ผลวิบากของกรรมที่ทำดี ทำชั่วแล้วมีอยู่
     - โลกนี้มี โลกหน้ามี
     - มารดามี บิดามี
     - สัตว์ที่เป็นอุปปาติกะมี

       สมณพราหมณ์ทั้งหลาย ผู้ดำเนินชอบ ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้ โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วยตนเองในโลกมีอยู่ นี้สัมมาทิฐิที่ยังเป็นสาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ ให้ผล แก่ขันธ์
-----------------------------------------------------------------------

ก็สัมมาทิฐิของพระอริยะที่เป็น อนาสวะ เป็นโลกุตระ เป็นองค์มรรค เป็นไฉน
  1.ปัญญา ปัญญินทรีย์ ปัญญาพละ ธัมมจยสัมโพชฌงค์ ความเห็นชอบองค์แห่ง มรรค ของภิกษุผู้มีจิตไกลข้าศึก มีจิตหาอาสวะมิได้ พรั่งพร้อมด้วยอริยมรรค เจริญ อริยมรรคอยู่ นี้แล สัมมาทิฐิ ของพระอริยะที่เป็นอนาสวะ เป็นโลกุตระ เป็นองค์มรรค
  2.ภิกษุนั้นย่อมพยายาม เพื่อละมิจฉาทิฐิเพื่อบรรลุสัมมาทิฐิ ความพยายามของเธอ นั้นเป็นสัมมาวายามะ
  3. ภิกษุนั้นมีสติ ละมิจฉาทิฐิได้ มีสติบรรลุสัมมาทิฐิอยู่ สติของเธอนั้นเป็นสัมมาสติ
ด้วยอาการนี้ ธรรม ๓ ประการนี้ คือ สัมมาทิฐิ สัมมาวายามะ สัมมาสติ ย่อม ห้อมล้อม เป็นไปตามสัมมาทิฐิ ของภิกษุนั้น
-----------------------------------------------------------------------

บรรดาองค์ทั้ง ๗ นั้น สัมมาทิฐิ ย่อมเป็นประธาน คือ ภิกษุ
     - รู้จัก มิจฉาสังกัปปะ ว่า มิจฉาสังกัปปะ
     - รู้จัก สัมมาสังกัปปะ ว่าสัมมาสังกัปปะ
       ความรู้ของเธอนั้น เป็นสัมมาทิฐิ
-----------------------------------------------------------------------

มิจฉาทิฐิเป็นไฉน คือ ความเห็นดังนี้ว่า
     - ทานที่ให้แล้ว ไม่มีผล
     - ยัญที่บูชาแล้ว ไม่มีผล
     - สังเวยที่บวงสรวงแล้ว ไม่มีผล
     - ผลวิบากของกรรม ที่ทำดีทำชั่วแล้ว ไม่มี
     - โลกนี้ไม่มี โลกหน้าไม่มี
     - มารดาไม่มี บิดาไม่มี
     - สัตว์ที่เป็นอุปปาติกะไม่มี
-----------------------------------------------------------------------

ก็มิจฉาสังกัปปะเป็นไฉน คือ
     1. ความดำริในกาม
     2. ดำริในพยาบาท
     3. ดำริในความเบียดเบียน
        นี้ มิจฉาสังกัปปะ
-----------------------------------------------------------------------

ก็สัมมาสังกัปปะ เป็นไฉน
     1. สัมมาสังกัปปะ ที่ยังเป็นสาสวะ เป็นส่วนแห่ง บุญ ให้ผลแก่ขันธ์
     2. สัมมาสังกัปปะ ของพระอริยะ ที่เป็นอนาสวะ เป็นโลกุตระ เป็นองค์มรรคอย่าง
-----------------------------------------------------------------------

ก็สัมมาสังกัปปะที่ยังเป็น สาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ ให้ผลแก่ขันธ์เป็นไฉน
     1.คือความดำริ ในเนกขัมมะ
     2.ดำริในความไม่พยาบาท
     3.ดำริใน ความไม่เบียดเบียน
       นี้สัมมาสังกัปปะ ที่ยังเป็นสาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ ให้ผลแก่ขันธ์
-----------------------------------------------------------------------

ก็สัมมาสังกัปปะของพระอริยะ ที่เป็น อนาสวะ เป็นโลกุตระ เป็นองค์มรรค เป็นไฉน
   1.ความตรึก ความวิตก ความดำริ ความแน่ว ความแน่ ความปักใจ วจีสังขาร ของภิกษุผู้มีจิตไกลข้าศึก มีจิตหาอาสวะ มิได้ พรั่งพร้อมด้วยอริยมรรค เจริญอริยมรรค อยู่นี้แล สัมมาสังกัปปะ ของพระอริยะที่เป็น อนาสวะ เป็นโลกุตระ เป็นองค์มรรค
   2.ภิกษุนั้น ย่อมพยายาม เพื่อละมิจฉาสังกัปปะ เพื่อบรรลุสัมมาสังกัปปะ ความ พยายามของเธอนั้น เป็นสัมมาวายามะ
   3.ภิกษุนั้น มีสติ ละมิจฉาสังกัปปะได้ มีสติบรรลุสัมมาสังกัปปะอยู่ สติของเธอนั้น เป็นสัมมาสติ ด้วยอาการนี้ ธรรม ๓ ประการนี้ คือ สัมมาทิฐิ สัมมาวายามะ สัมมาสติ ย่อมห้อมล้อม เป็นไปตาม สัมมาสังกัปปะ ของภิกษุนั้น
-----------------------------------------------------------------------

บรรดาองค์ทั้ง ๗ นั้น สัมมาทิฐิย่อมเป็นประธาน อย่างไร คือ ภิกษุ
     - รู้จัก มิจฉาวาจา ว่ามิจฉาวาจา
     - รู้จัก สัมมาวาจา ว่าสัมมาวาจา
       ความรู้ของเธอนั้น เป็นสัมมาทิฐิ
-----------------------------------------------------------------------

ก็มิจฉาวาจาเป็นไฉน
     1. คือพูดเท็จ
     2. พูดส่อเสียด
     3. พูดคำหยาบ
     4. เจรจาเพ้อเจ้อ
     นี้ มิจฉาวาจา
-----------------------------------------------------------------------

ก็สัมมาวาจา เป็นไฉน
เป็น ๒ อย่าง คือ
     1.สัมมาวาจา ที่ยังเป็นสาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ ให้ผลแก่ขันธ์
     2.สัมมาวาจา ของพระอริยะ ที่เป็นอนาสวะ เป็นโลกุตระ เป็นองค์มรรค

ก็สัมมาวาจาที่ยังเป็น สาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ ให้ผลแก่ ขันธ์ เป็นไฉน
     1.เจตนางดเว้นจากการพูดเท็จ
     2.งดเว้นจากการพูดส่อเสียด
     3.งดเว้น จากการพูดคำหยาบ
     4. งดเว้นจากการเจรจาเพ้อเจ้อ
     นี้ สัมมาวาจา ที่ยังเป็น สาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ ให้ผลแก่ขันธ์

ก็สัมมาวาจาของพระอริยะ ที่เป็นอนาสวะ เป็นโลกุตระ เป็นองค์มรรค เป็นไฉน
    1. ความงด ความเว้น ความเว้นขาด เจตนา งดเว้น จากวจีทุจริตทั้ง ๔ ของภิกษุผู้มีจิตไกลข้าศึก มีจิตหาอาสวะมิได้ พรั่งพร้อม ด้วยอริยมรรค เจริญอริยมรรคอยู่ นี้แล สัมมาวาจาของพระอริยะ ที่เป็น อนาสวะ เป็นโลกุตระ เป็นองค์มรรค
    2. ภิกษุย่อมพยายามเพื่อละมิจฉาวาจา เพื่อบรรลุ สัมมาวาจาอยู่ ความพยายามของ เธอนั้น เป็นสัมมาวายามะ
    3. ภิกษุนั้นมีสติละมิจฉาวาจาได้ มีสติบรรลุสัมมาวาจาอยู่ สติของเธอนั้นเป็นสัมมาสติ

ด้วยอาการนี้ ธรรม ๓ ประการนี้ คือ สัมมาทิฐิ สัมมาวายามะ สัมมาสติ ย่อมห้อมล้อม เป็นไปตาม สัมมาวาจา ของภิกษุนั้น
-----------------------------------------------------------------------

บรรดาองค์ทั้ง ๗ นั้น สัมมาทิฐิย่อมเป็นประธาน อย่างไร คือ ภิกษุ
     1.รู้จักมิจฉากัมมันตะว่า มิจฉากัมมันตะ
     2.รู้จักสัมมากัมมันตะว่า สัมมากัมมันตะ
     ความรู้ของเธอนั้น เป็นสัมมาทิฐิ

ก็มิจฉากัมมันตะเป็นไฉน คือ
     1. ปาณาติบาต
     2. อทินนาทาน
     3. กาเมสุมิจฉาจาร
     นี้ มิจฉากัมมันตะ

ก็สัมมากัมมันตะ เป็นไฉน
เรากล่าวสัมมากัมมันตะเป็น ๒ อย่าง คือ
     1. สัมมากัมมันตะ ที่ยังเป็นสาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ ให้ผลแก่ขันธ์
     2. สัมมากัมมันตะ ของพระอริยะ ที่เป็นอนาสวะ เป็นโลกุตระ เป็นองค์มรรค

ก็สัมมากัมมันตะที่ยังเป็น สาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ ให้ผลแก่ขันธ์เป็นไฉน คือ
     1.เจตนางดเว้นจากปาณาติบาต
     2.งดเว้นจากอทินนาทาน
     3.งดเว้น จากกาเมสุมิจฉาจาร
     นี้สัมมากัมมันตะที่ยังเป็น สาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ ให้ผลแก่ขันธ์

ก็สัมมากัมมันตะของพระอริยะที่เป็น อนาสวะ เป็นโลกุตระ เป็นองค์มรรคเป็นไฉน
   1.ความงดความเว้น เจตนางดเว้นจาก กายทุจริตทั้ง ๓ มีจิตหาอาสวะมิได้ พรั่งพร้อม ด้วย อริยมรรค เจริญอริยมรรคอยู่ นี้แล สัมมากัมมันตะ ของพระอริยะ ที่เป็นอนาสวะ เป็นโลกุตระ เป็นองค์มรรค
   2. ภิกษุนั้นย่อมพยายามเพื่อละ มิจฉากัมมันตะ เพื่อบรรลุสัมมากัมมันตะ ความพยายามของเธอนั้น เป็นสัมมาวายามะ
   3. ภิกษุนั้นมีสติละ มิจฉา กัมมันตะได้ มีสติบรรลุสัมมากัมมันตะอยู่ สติของเธอนั้น เป็นสัมมาสติ
     ด้วยอาการ นี้ ธรรม ๓ ประการนี้ คือ สัมมาทิฐิ สัมมาวายามะ สัมมาสติ ย่อมห้อมล้อม เป็นไปตาม สัมมากัมมันตะ ของภิกษุนั้น

บรรดาองค์ทั้ง ๗ นั้น สัมมาทิฐิ ย่อมเป็นประธานอย่างไร คือภิกษุ
     รู้จัก มิจฉาอาชีวะ ว่ามิจฉาอาชีวะ
     รู้จัก สัมมาอาชีวะ ว่าสัมมาอาชีวะ
     ความรู้ของเธอนั้น เป็นสัมมาทิฐิ

ก็มิจฉาอาชีวะเป็นไฉน คือ
     1.การโกง
     2.การล่อลวง
     3.การตลบตะแลง
     4.การยอมมอบตนในทางผิด
     5.การเอาลาภต่อลาภ
     นี้ มิจฉาอาชีวะ
-------------------------------------------------------

ก็สัมมาอาชีวะ เป็นไฉน
     1.สัมมาอาชีวะ ที่ยังเป็นสาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ ให้ผลแก่ขันธ์
     2.สัมมาอาชีวะ ของพระอริยะ ที่เป็นอนาสวะเป็นโลกุตระ เป็นองค์มรรค

ก็สัมมาอาชีวะที่ยังเป็น สาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ ให้ผลแก่ขันธ์เป็นไฉน
     อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ ย่อมละมิจฉาอาชีวะ เลี้ยงชีพด้วยสัมมาอาชีวะนี้
     สัมมาอาชีวะ ที่ยังเป็นสาสวะ เป็นส่วนแห่งบุญ ให้ผลแก่ ขันธ์

ก็สัมมาอาชีวะของพระอริยะ ที่เป็นอนาสวะ เป็นโลกุตระ เป็นองค์มรรค เป็นไฉน
     1. ความงด ความเว้น เจตนา งดเว้น จาก มิจฉาอาชีวะ ของภิกษุผู้มีจิตไกลข้าศึก มีจิตหาอาสวะ มิได้พรั่งพร้อมด้วย อริยมรรค เจริญอริยมรรคอยู่ นี้แล สัมมาอาชีวะ ของพระอริยะที่เป็นอนาสวะ เป็นโลกุตระ เป็นองค์มรรค
     2.
ภิกษุนั้นย่อมพยายามเพื่อละมิจฉาอาชีวะ เพื่อบรรลุสัมมาอาชีวะ ความพยายาม ของเธอนั้น เป็นสัมมาวายามะ
     3. ภิกษุนั้นมีสติละมิจฉาอาชีวะ ได้ มีสติบรรลุสัมมาอาชีวะอยู่ สติของเธอนั้น เป็นสัมมาสติ
     ด้วยอาการนี้ ธรรม ๓ ประการนี้ คือ สัมมาทิฐิ สัมมาวายามะ สัมมาสติ ย่อม ห้อมล้อม เป็นไปตาม สัมมาอาชีวะ ของภิกษุนั้น
------------------------------------------------------------------

บรรดาองค์ทั้ง ๗ นั้น สัมมาทิฐิย่อมเป็นประธาน อย่างไร
    (1)  เมื่อมีสัมมาทิฐิ สัมมาสังกัปปะ จึงพอเหมาะได้
    (2)  เมื่อมีสัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา จึงพอเหมาะได้
    (3)  เมื่อมีสัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ จึงพอเหมาะได้
    (4)  เมื่อมีสัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ จึงพอเหมาะได้
    (5)  เมื่อมีสัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ จึงพอเหมาะได้
    (6)  เมื่อมีสัมมาวายามะ สัมมาสติ จึงพอเหมาะได้
    (7)  เมื่อมีสัมมาสติ สัมมาสมาธิ จึงพอเหมาะได้
    (8)  เมื่อมีสัมมาสมาธิ สัมมาญาณะ จึงพอเหมาะได้ (ความรู้ถูกต้อง)
    (9)  เมื่อมีสัมมาญาณะ สัมมาวิมุตติ จึงพอเหมาะได้ (การหลุดพ้นที่ถูกต้อง)
ด้วยประการนี้แล พระเสขะ ผู้ประกอบด้วยองค์ ๘ จึงเป็น พระอรหันต์ ประกอบด้วย องค์ ๑๐
------------------------------------------------------------

บรรดาองค์ทั้ง ๗ นั้น สัมมาทิฐิย่อมเป็นประธาน อย่างไร
คือ ผู้มีสัมมาทิฐิ ย่อมเป็นอันสลัดมิจฉาทิฐิได้ ทั้งอกุศลธรรมลามก เป็นอเนก บรรดามี เพราะมิจฉาทิฐิเป็นปัจจัยนั้น ก็เป็นอันผู้มีสัมมาทิฐิสลัดได้แล้ว และกุศลธรรมเป็นอเนก ย่อมถึงความเจริญบริบูรณ์ เพราะสัมมาทิฐิเป็นปัจจัย ฯ
     (1) ผู้มีสัมมาสังกัปปะ ย่อมเป็นอัน สลัดมิจฉาสังกัปปะได้
     (2) ผู้มีสัมมาวาจา ย่อมเป็นอัน สลัดมิจฉาวาจาได้...
     (3) ผู้มีสัมมากัมมันตะ ย่อมเป็นอัน สลัดมิจฉากัมมันตะได้
     (4) ผู้มีสัมมาอาชีวะ ย่อมเป็นอัน สลัดมิจฉาอาชีวะได้...
     (5) ผู้มีสัมมาวายามะ ย่อมเป็นอัน สลัดมิจฉาวายามะได้...
     (6) ผู้มีสัมมาสติ ย่อมเป็นอัน สลัดมิจฉาสติได้...
     (7) ผู้มีสัมมาสมาธิ ย่อมเป็นอัน สลัดมิจฉาสมาธิได้...
     (8) ผู้มีสัมมาญาณะ ย่อมเป็นอัน สลัดมิจฉาญาณะได้...
     (9) ผู้มีสัมมาวิมุตติ ย่อมเป็นอัน สลัดมิจฉาวิมุตติได้ ทั้งอกุศลธรรมลามก เป็นอเนกบรรดามี เพราะมิจฉาวิมุตติเป็นปัจจัยนั้น ก็เป็นอันผู้มี สัมมาวิมุตติ สลัดได้ แล้ว และกุศลธรรม เป็นอเนกย่อมถึงความเจริญบริบูรณ์ เพราะ สัมมาวิมุตติ เป็นปัจจัย

ด้วยประการนี้แล จึงเป็นธรรม ฝ่ายกุศล ๒๐ ฝ่ายอกุศล ๒๐ ชื่อ ธรรมบรรยาย มหาจัตตารีสกะ อันเราให้เป็นไปแล้ว สมณะหรือ พราหมณ์ หรือเทวดา หรือมาร หรือ พรหม หรือใครๆ ในโลกจะให้เป็นไปไม่ได้

สมณะหรือพราหมณ์ผู้ใดผู้หนึ่งพึงสำคัญที่จะติเตียน คัดค้านธรรมบรรยาย มหาจัตตารีสกะ นี้ การกล่าวก่อนและการกล่าวตามกัน ๑๐ ประการ อันชอบด้วยเหตุ ของสมณะ หรือพราหมณ์ ผู้นั้น ย่อมถึงฐานะน่าตำหนิ ในปัจจุบัน เทียว
1.ถ้าใครติเตียนสัมมาทิฐิ เขาก็ต้องบูชา สรรเสริญท่านสมณพราหมณ์ผู้มีทิฐิผิด
2.
ถ้าใครติเตียนสัมมาสังกัปปะ เขาก็ต้องบูชาสรรเสริญท่านสมณพราหมณ์ ผู้มีสังกัปปะ ผิด
3. 
ถ้าใครติเตียนสัมมาวาจา เขาก็ต้องบูชา สรรเสริญท่านสมณพราหมณ์ผู้มีวาจาผิด
4. 
ถ้าใครติเตียนสัมมากัมมันตะ เขาก็ต้องบูชา สรรเสริญท่านสมณพราหมณ์ผู้มีการงานผิด
5. 
ถ้าใครติเตียนสัมมาอาชีวะ เขาก็ต้องบูชา สรรเสริญท่านสมณพราหมณ์ผู้มีอาชีวะผิด
6 
ถ้าใครติเตียนสัมมาวายามะ เขาก็ต้องบูชาสรรเสริญท่านสมณพ- ผู้มีความพยายามผิด
7.ถ้าใครติเตียนสัมมาสติ เขาก็ต้องบูชา สรรเสริญท่านสมณพราหมณ์ผู้มีสติผิด
8. 
ถ้าใครติเตียนสัมมาสมาธิ เขาก็ต้องบูชา สรรเสริญท่านสมณพราหมณ์ผู้มีสมาธิผิด
9.ถ้าใครติเตียนสัมมาญาณะ เขาก็ต้องบูชา สรรเสริญท่านสมณพราหมณ์ผู้มีญาณผิด
10. ถ้าใครติเตียนสัมมาวิมุตติ ขาก็ต้องบูชา สรรเสริญท่านสมณพราหมณ์ผู้มีวิมุตติผิด

สมณะหรือพราหมณ์พวกใดพวกหนึ่ง พึงสำคัญที่จะติเตียน คัดค้าน ธรรมบรรยาย มหาจัตตารีสกะนี้ การกล่าวก่อนและการกล่าวตามกัน ๑๐ ประการ อันชอบด้วยเหตุของสมณะ หรือพราหมณ์พวกนั้น ย่อมถึงฐานะน่าตำหนิในปัจจุบัน เทียว

แม้พวกอัสสะ และพวกภัญญะชาวอุกกล ชนบท ซึ่งเป็น อเหตุกวาทะ อกิริยวาทะ นัตถิกวาทะ ก็ยังสำคัญที่จะไม่ติเตียน ไม่คัดค้าน ธรรมบรรยาย มหาจัตตารีสกะ นั่น เพราะเหตุไร เพราะกลัวถูกนินทา ถูกว่าร้าย และ ถูกก่อความ

พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระภาษิตนี้แล้ว ภิกษุเหล่านั้นต่างชื่นชมยินดีพระภาษิตของ พระผู้มีพระภาคแล

 

 
 
พุทธวจน : อ่านคำสอนพระศาสดา อ่านแบบสบายตา โดยคัดลอกหนังสือทั้งเล่มมาจัดทำเป็นเว็บเพจ (คลิกอ่านพร้อมดาวน์โหลดไฟล์ pdf)
90 90 90 90  
 
พุทธประวัติ ขุมทรัพย์
อริยสัจ
ภาคต้น
อริยสัจ
ภาคปลาย
ปฏิจจ ปฐมธรรม ตถาคต อนาคามี อินทรีย์
สังวร
สัตว์
สัตตานัง
ทาน
สกทาคามี
ฆราวาส
ชั้นเลิศ
มรรควิธี
ที่ง่าย
 
   
อริยวินัย เดรัจฉานวิชา กรรม สมถะ
วิปัสสนา
โสดาบัน อานา
ปานสติ
จิต มโน
วิญญาณ
ก้าวย่าง
อย่างพุทธะ
ตามรอย
ธรรม
ภพ ภูมิ
พุทธวจน
สาธยาย
ธรรม
สังโยชน์