ปริพาชกผู้หนึ่ง บอกกับสารีบุตรว่า ผู้ใดผู้หนึ่งที่ยังเป็น สอุปาทิเสสะ(อรหันต์) กระทำกาละ ผู้นั้นล้วนไม่พ้น จากนรก ไม่พ้นจากกำเนิดดิรัจฉาน ไม่พ้นเปรตวิสัย ไม่พ้นจาก อบาย ทุคติ และวินิบาต ท่านพระสารีบุตรไม่ยินดี ไม่คัดค้าน ถ้อยคำ ที่อัญญเดียรถีย์ ปริพาชกเหล่านั้น กล่าว ครั้นแล้วลุกจากอาสนะ หลีกไป เข่าเฝ้าพระผู้มีพระภาค พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรสารีบุตร อัญญเดียรถีย์ปริพาชก บางพวก โง่เขลา ไม่ฉลาด อย่างไร จักรู้ผู้ที่เป็น สอุปาทิเสสะ ว่า เป็นสอุปาทิเสสะ หรือจักรู้ผู้ ที่เป็น อนุปาทิเสสะ ว่า เป็นอนุปาทิเสสะ จากนั้นพระผู้มีพระภาคตรัส เรื่องบุคคล ๙ จำพวก ที่พ้นแล้วซึ่ง อบาย ทุคติ และวินิบาต ดูกรสารีบุตร บุคคล ๙ จำพวกนี้ ที่เป็น สอุปาทิเสสะ กระทำกาละ พ้นจาก นรก พ้นจากกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน พ้นจากเปรตวิสัย พ้นจากอบาย ทุคติ และ วินิบาต ๙ จำพวกเป็นไฉน บุคคลนั้นเป็น (อนาคามี 5 สกทาคามี 1 โสดาบัน 3) ๑. อันตราปรินิพพายี (อนาคามี) เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ สิ้น (ปุริสคติ 3 จำพวก สะเด็ดไฟไม่ตกถึงพื้น) ๒. อุปหัจจปรินิพพายี (อนาคามี) เพราะโอรัมภา คิยสังโยชน์ ๕ สิ้นไป (สะเก็ดไฟตกถึงพื้นแล้วดับ) ๓. อสังขารปรินิพพายี (อนาคามี) เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ สิ้นไป (สะเก็ดไปตกลงกอหญ้ากอไม้เล็กๆแล้วดับ) ๔. สสังขารปรินิพพายี (อนาคามี) เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ สิ้น (สะเก็ดไฟตกลงกอหญ้ากอไม้เขื่องๆแล้วดับ) ๕. อุทธังโสโตอกนิฏฐคามี (อนาคามี) โอรัมภา- ๕ สิ้นไป (สะเก็ดไฟตกลงกอหญ้ากอไม้ ลามไปสุดชาย ป่าชายน้ำ) ๖. สกทาคามี เพราะสังโยชน์๓ สิ้นไป ราคะ โทสะ โมหะ เบาบาง กลับมายังโลกนี้เพียงคราวเดียว ๗. เอกพีชี (โสดาบัน) เพราะสังโยชน์สิ้นไป บังเกิดยัง ภพมนุษย์นี้ครั้งเดียว ๘. โกลังโกละ (โสดาบัน) เพราะสังโยชน์ ๓ สิ้นไป ท่องเที่ยวอยู่ ๒-๓ ตระกูล ๙. สัตตักขัตตุปรม (โสดาบัน) เพราะ สังโยชน์ ๓ สิ้นไป ท่องเที่ยวอยู่ยังเทวดาและมนุษย์ ๗ ครั้ง
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๓ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๕ หน้าที่ ๓๔๗-๓๕๐ สอุปาทิเสสสูตร [๒๑๖] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวันอารามของ ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ฯ ครั้งนั้นแล เวลาเช้า ท่านพระสารีบุตรนุ่งแล้ว ถือบาตรและจีวรเข้าไป บิณฑบาต ยังพระนครสาวัตถี ท่านพระสารีบุตรมีความคิดดังนี้ว่า การเที่ยวไป บิณฑบาต ในพระนครสาวัตถี ยังเช้าเกินไป ผิฉะนั้น เราพึงเข้าไปยังอารามของ อัญญเดียรถีย์ปริพาชกก่อนเถิด ลำดับนั้น ท่านพระสารีบุตรได้เข้าไปยังอารามของ พวกอัญญเดียรถีย์ ปริพาชก ได้ปราศรัยกับพวก อัญญเดียรถีย์ปริพาชกเหล่านั้น ครั้นผ่านการปราศรัย พอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว จึงนั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งก็สมัยนั้น อัญญเดียรถีย์ ปริพาชก เหล่านั้น กำลังนั่งประชุมสนทนากัน ในระหว่างว่า ดูกรอาวุโส ทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่งที่ยังเป็น สอุปาทิเสสะ* กระทำกาละ ผู้นั้น ล้วนไม่พ้นจากนรก ไม่พ้นจากกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ไม่พ้นจากเปรตวิสัย ไม่พ้นจาก อบาย ทุคติ และวินิบาต ฯ *(อรหันต์ที่กายยังไม่แตกทำลาย ยังเสวยสุข-ทุกข์ ในเวทนา แต่ไม่มีราคะโทสะโมหะ) ครั้งนั้น ท่านพระสารีบุตรไม่ยินดีไม่คัดค้านถ้อยคำ ที่อัญญเดียรถีย์ ปริพาชกเหล่านั้น กล่าว ครั้นแล้วลุกจากอาสนะหลีกไปด้วยคิดว่า เราจักรู้ทั่วถึง เนื้อความแห่งภาษิตนี้ ในสำนักพระผู้มีพระภาค ลำดับนั้น ท่านพระสารีบุตร เที่ยวบิณฑบาตในพระนครสาวัตถี กลับจากบิณฑบาต ภายหลังภัต เข้าไปเฝ้าพระผู้มี พระภาค ถึงที่ประทับ ถวายบังคมแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ครั้นแล้วได้กราบทูล พระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอประทาน พระวโรกาส เวลาเช้า ข้าพระองค์นุ่งแล้ว ถือบาตรจีวร เข้าไปบิณฑบาตยังพระนคร สาวัตถี ข้าพระองค์ได้มีความคิดอย่างนี้ว่า การเที่ยวบิณฑบาตในพระนครสาวัตถี ยังเช้าเกินไป ผิฉะนั้น เราพึงเข้าไปยังอารามของพวก อัญญเดียรถีย์ปริพาชกก่อนเถิด ลำดับนั้น ข้าพระองค์เข้าไปยังอาราม ของพวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชก ได้ปราศรัย กับพวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชกเหล่านั้น ครั้นผ่านการปราศรัยพอให้ระลึกถึงกันไปแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง ก็สมัยนั้นแล พวกอัญญเดียรถีย์ปริพาชกเหล่านั้น กำลังนั่งประชุมสนทนากันอยู่ใน ระหว่างว่า ดูกรอาวุโสทั้งหลาย ผู้ใดผู้หนึ่งที่ยังเป็นสอุปาทิเสสะ กระทำกาละผู้นั้น ล้วนไม่พ้น จากนรก ไม่พ้นจากกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน ไม่พ้นจากเปรตวิสัยไม่พ้น จาก อบาย ทุคติ และวินิบาต ข้าพระองค์ไม่ยินดีไม่คัดค้านถ้อยคำ ที่พวกอัญญเดียรถีย์ ปริพาชก เหล่านั้นกล่าวแล้ว ครั้นแล้วลุกจากอาสนะหลีกไป ด้วยคิดว่า เราจักรู้ทั่วถึง เนื้อความ แห่งภาษิตนี้ในสำนัก ของพระผู้มีพระภาค ฯ พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรสารีบุตร อัญญเดียรถีย์ปริพาชก บางพวก โง่เขลา ไม่ฉลาด อย่างไร จักรู้ผู้ที่เป็น สอุปาทิเสสะ ว่า เป็นสอุปาทิเสสะ หรือจักรู้ผู้ ที่เป็น อนุปาทิเสสะ ว่า เป็นอนุปาทิเสสะ .................................................................................................. ดูกรสารีบุตร บุคคล ๙ จำพวกนี้ ที่เป็น สอุปาทิเสสะ กระทำกาละ พ้นจาก นรก พ้นจากกำเนิดสัตว์ดิรัจฉานพ้นจากเปรตวิสัย พ้นจากอบาย ทุคติ และ วินิบาต ๙ จำพวกเป็นไฉน ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีลในสมาธิ กระทำพอประมาณในปัญญา บุคคลนั้นเป็นอันตราปรินิพพายี(๑) เพราะโอรัมภา คิยสังโยชน์ ๕ สิ้นไป ดูกรสารีบุตร นี้บุคคลจำพวกที่ ๑ ผู้เป็นสอุปาทิเสสะ กระทำ กาละ พ้นจากนรก พ้นจากกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน พ้นจากเปรตวิสัย พ้นจากอบาย ทุคติ และวินิบาตฯ อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล ในสมาธิ กระทำพอประมาณในปัญญา บุคคลนั้นเป็นอุปหัจจปรินิพพายี (๒) เพราะโอรัมภา คิยสังโยชน์ ๕ สิ้นไป ดูกรสารีบุตร นี้บุคคลจำพวกที่ ๒ ... อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล ในสมาธิ กระทำพอประมาณในปัญญา บุคคลนั้นเป็นอสังขารปรินิพพายี(๓) เพราะ โอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ สิ้นไป ดูกรสารีบุตร นี้บุคคลจำพวกที่ ๓ ... อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล ในสมาธิ กระทำพอประมาณในปัญญา บุคคลนั้นเป็นสสังขารปรินิพพายี (๔) เพราะโอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ สิ้นไป ดูกรสารีบุตร นี้บุคคลจำพวกที่ ๔ ... อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีล ในสมาธิ กระทำพอประมาณในปัญญา บุคคลนั้นเป็นอุทธังโสโตอกนิฏฐคา (๕) มีเพราะ โอรัมภาคิยสังโยชน์ ๕ สิ้นไป ดูกรสารีบุตร นี้บุคคลจำพวกที่ ๕ ... อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีลกระทำ พอประมาณในสมาธิ ในปัญญา บุคคลนั้นเป็นสกทาคามี (๖) เพราะสังโยชน์๓ สิ้นไป เพราะราคะ โทสะ และโมหะเบาบาง กลับมายังโลกนี้เพียงคราวเดียว จะทำที่สุด แห่งทุกข์ได้ ดูกรสารีบุตร นี้บุคคลจำพวกที่ ๖ ... อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีลกระทำ พอประมาณในสมาธิ ในปัญญา บุคคลนั้นเป็นเอกพีชี (๗) เพราะสังโยชน์สิ้นไป บังเกิดยัง ภพมนุษย์นี้ครั้งเดียว จะทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ ดูกรสารีบุตรนี้บุคคลจำพวกที่ ๗ ... อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีลกระทำ พอประมาณในสมาธิ ในปัญญา บุคคลนั้นเป็นโกลังโกละ(๘) เพราะสังโยชน์ ๓ สิ้นไป ท่องเที่ยวอยู่ ๒-๓ ตระกูล แล้วจะทำที่สุดแห่งทุกข์ได้ดูกรสารีบุตร นี้บุคคลจำพวกที่ ๘ ... อีกประการหนึ่ง บุคคลบางคนในโลกนี้ เป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ในศีลกระทำ พอประมาณในสมาธิ ในปัญญา บุคคลนั้นเป็นสัตตักขัตตุปรมโสดา(๙) เพราะ สังโยชน์ ๓ สิ้นไป ท่องเที่ยวอยู่ยังเทวดาและมนุษย์ ๗ ครั้งเป็นอย่างยิ่งแล้วจะทำ ที่สุด แห่งทุกข์ ได้ ดูกรสารีบุตร นี้บุคคลจำพวกที่ ๙ ผู้เป็นสอุปาทิเสสะกระทำกาละ พ้นจากนรก พ้นจากกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน พ้นจากเปรตวิสัยพ้นจากอบาย ทุคติ และวินิบาต ดูกรสารีบุตร อัญญเดียรถีย์ปริพาชกบางพวกโง่เขลา ไม่ฉลาด อย่างไร จักรู้บุคคล ผู้เป็น สอุปาทิเสสะว่า เป็นสอุปาทิเสสะหรือจักรู้บุคคลผู้เป็น อนุปาทิเสสะ ว่า เป็นอนุปาทิเสสะ ดูกรสารีบุตร บุคคล๙ จำพวกนี้แล เป็นสอุปาทิเสสะ กระทำ กาละ พ้นจากนรก พ้นจากกำเนิดสัตว์ดิรัจฉาน พ้นจากเปรตวิสัย พ้นจากอบาย ทุคต ิและ วินิบาต ดูกรสารีบุตร ธรรมปริยายนี้ ยังไม่แจ่มแจ้งแก่ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสกอุบาสิกา ก่อน ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะผู้ฟังธรรมปริยายที่เรากล่าว ด้วยความอธิบายปัญหา นี้แล้ว อย่าถึงความประมาท ( ดู อนุปาทิเสส - สอุปาทิเสส)