เว็บไซต์ อนาคามี เผยแพร่คำพระศาสดา เผยแพร่คำสอนตถาคต เว็บไซต์เผยแพร่พระสุตรคำสอนของพระพุทธเจ้า คลิปคำสอน คลิปสาธยายธรรม
 
ค้นหาคำที่ต้องการ          

 
 พระพุทธเจ้า(โพธิสัตว์) จุติจากเทวดาชั้นดุสิตลงสู่ครรภ์มารดา 336  
 
 

(โดยย่อ)
การอยู่ในหมู่เทพชั้นดุสิต
ดำรงอยู่ในหมู่ เทพชั้นดุสิต จนกระทั่งตลอดกาลแห่งอายุ
การจุติจาก ดุสิตลงสู่ครรภ์ โพธิสัตว์ มีสติ รู้ตัวทั่วพร้อม
แผ่นดินไหว เนื่องด้วยการจุติ
การลงสู่ครรภ์ กำลังก้าวลงสู่ครรภ์แห่งมารดา
การอยู่ในครรภ์  การประสูติ มารดายืนคลอด
เทวดารับก่อน มีท่อธารจากอากาศ
กล่าวอาสภิวาจา ชาติสุดท้าย ภพใหม่ไม่มี
เกิดแสงสว่าง และเสียง สนั่นหวั่นไหว
โอฬารไปทั่วทั้งโลกธาตุ แม้ในโลกันนรกที่มืดมิด

มหาปุริสลักขณะ ๓๒
ถ้าเป็นฆราวาส ย่อมเป็นจักรพรรดิ.
ถ้าออกบวชจะได้เป็น อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

บุรพกรรมของการได้มหาปุริสลักขณะ

เรื่องสำคัญของพระพุทธเจ้า
การบำเพ็ญบารมีในอดีตชาติ
การประสูติ แสงสว่าง แผ่นดินไหว
แสวงหาสัจจะบำเพ็ญทุกรกิริยา
ปัญจวัคคีย์หลีก สิ่งที่ตรัสรู้
ตรัสรู้ แสดงเทศนาปัญจวัคคีย์
ปลงสังขาร ปรินิพพาน
ลำดับขั้นการปรินิพพาน
เทวดาแสดงฤทธิ์ขณะถวายเพลิง
แบ่งพระสรีระออกเป็น ๘ ส่วน
 
 

พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๐  พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒

พระพุทธเจ้า จุติจากเทวดาชั้นดุสิตลงสู่ครรภ์มารดา

มหาปทานสูตร (๑๔)


             [๑๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระโพธิสัตว์พระนามว่าวิปัสสี จุติจากชั้นดุสิตแล้ว มีพระสติ สัมปชัญญะ เสด็จลงสู่พระครรภ์ของพระมารดา ข้อนี้เป็นธรรมดาในเรื่องนี้ ฯ

             [๑๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมดามีอยู่ดังนี้ เมื่อใด พระโพธิสัตว์ จุติจาก ชั้นดุสิต เสด็จลงสู่พระครรภ์ของพระมารดา เมื่อนั้นในโลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดาและมนุษย์ แสงสว่าง อันยิ่งไม่มี ประมาณปรากฏในโลก ล่วงเทวานุภาพของเทวดาทั้งหลาย ช่องว่างซึ่งอยู่ที่สุดโลก มิได้ถูกอะไร ปกปิดไว้ ที่มืดมิดก็ดี สถานที่ที่พระจันทร์ และพระอาทิตย์ เหล่านี้ ซึ่งมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากปานนี้ส่องแสงไปไม่ถึงก็ดี ในที่ทั้งสองชนิดนั้น แสงสว่าง อันยิ่งไม่มีประมาณ ย่อมปรากฏล่วงเทวานุภาพ ของเทวดาทั้งหลาย ถึงสัตว์ทั้งหลาย ที่เกิดในสถานที่เหล่านั้นก็จำกันและกันได้ ด้วยแสงนั้นว่า พ่อเฮ้ย ได้ยินว่า ถึงสัตว์พวกอื่นที่เกิดในนี้ก็มีอยู่เหมือนกัน ทั้งหมื่น โลกธาตุนี้ ย่อมหวั่นไหว สะเทื้อนสะท้าน ทั้งแสงสว่างอันยิ่งไม่มีประมาณย่อมปรากฏ ในโลก ล่วงเทวานุภาพ ของเทวดาทั้งหลาย ข้อนี้เป็นธรรมดาในเรื่องนี้ ฯ

             [๑๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมดามีอยู่ดังนี้ ในเวลาที่พระโพธิสัตว์เสด็จ ลงสู่พระครรภ์พระมารดา เทวบุตร ๔ องค์ ย่อมเข้าไปรักษาทิศทั้ง ๔ โดยตั้งใจว่า ใครๆ คือ มนุษย์ หรือ อมนุษย์ ก็ตามอย่าเบียดเบียนพระโพธิสัตว์ หรือพระมารดาของ พระโพธิสัตว์นั้นได้ ข้อนี้เป็นธรรมดาในเรื่องนี้ ฯ

             [๑๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมดามีอยู่ดังนี้ ในเวลาที่พระโพธิสัตว์เสด็จ ลงสู่ พระครรภ์ของพระมารดา พระมารดาของพระโพธิสัตว์โดยปรกติทรงศีล งดเว้น จากการฆ่าสัตว์ งดเว้นจากการลักทรัพย์ งดเว้นจากการประพฤติผิด ในกาม งดเว้นจากการ กล่าวเท็จ งดเว้นจากการดื่มน้ำเมา คือ สุราและเมรัยอันเป็นฐานแห่ง ความประมาท ข้อนี้เป็นธรรมดาในเรื่องนี้ ฯ

             [๑๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมดามีอยู่ดังนี้ ในเวลาที่พระโพธิสัตว์เสด็จ ลงสู่พระครรภ์ของพระมารดา พระมารดาของพระโพธิสัตว์ย่อมไม่เกิด มานัสซึ่ง เกี่ยวด้วยกามคุณในบุรุษทั้งหลาย พระมารดาของพระโพธิสัตว์ ย่อมเป็นหญิง ที่บุรุษใดๆ ซึ่งมีจิตกำหนัดแล้วจะล่วงเกินไม่ได้ ข้อนี้เป็นธรรมดาในเรื่องนี้ ฯ

             [๑๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมดามีอยู่ดังนี้ ในเวลาที่พระโพธิสัตว์เสด็จลง สู่พระครรภ์ของ พระมารดา พระมารดาของพระโพธิสัตว์ย่อมได้กามคุณ ๕ พระนาง เพียบพร้อมพรั่งพร้อมด้วยกามคุณ ๕ ได้รับบำเรออยู่ ข้อนี้เป็น ธรรมดาใน เรื่องนี้ ฯ

             [๑๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมดามีอยู่ดังนี้ ในเวลาที่พระโพธิสัตว์ เสด็จลง สู่พระครรภ์ของ พระมารดา อาพาธใดๆ ย่อมไม่เกิดแก่พระมารดาของพระ โพธิสัตว์เลย พระมารดาของพระโพธิสัตว์ย่อมทรงสำราญ ไม่ลำบาก พระกาย และพระมารดาของ พระโพธิสัตว์ทอดพระเนตรเห็นพระโพธิสัตว์ ซึ่งเสด็จอยู่ภายใน พระครรภ์ มีอวัยวะ น้อยใหญ่ ครบถ้วน มีอินทรีย์ ไม่บกพร่อง ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนแก้วไพฑูรย์ อันงาม เกิดเองอย่างบริสุทธิ์ แปดเหลี่ยม นายช่างเจียระไน ดีแล้ว สุกใสแวววาว สมส่วนทุกอย่าง มีด้าย เขียว เหลือง แดงขาวหรือนวล ร้อยอยู่ ในนั้น บุรุษผู้มีจักษุ จะพึงหยิบแก้วไพฑูรย์นี้นั้นวางไว้ในมือแล้วพิจารณาเห็นว่า แก้วไพฑูรย์นี้งาม เกิดเอง อย่างบริสุทธิ์ แปดเหลี่ยม นายช่างเจียระไนดีแล้ว สุกใส แวววาว สมส่วนทุกอย่าง มีด้าย เขียว เหลือง แดง ขาวหรือนวล ร้อยอยู่ในแก้ว ไพฑูรย์นั้น แม้ฉันใด ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล ในเวลาที่พระโพธิสัตว์ เสด็จลงสู่พระครรภ์ ของพระมารดา อาพาธใดๆย่อมไม่เกิดแก่พระมารดาของ พระโพธิสัตว์เลย พระมารดา ของพระโพธิสัตว์ทรงสำราญ ไม่ลำบากพระกาย และพระมารดาของพระโพธิสัตว์ย่อม ทอดพระเนตรเห็นพระโพธิสัตว์ผู้เสด็จอยู่ ณ ภายในพระครรภ์ มีอวัยวะน้อยใหญ่ ครบถ้วน มีอินทรีย์ไม่บกพร่อง ข้อนี้เป็นธรรมดา ในเรื่องนี้ ฯ

             [๑๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมดามีอยู่ดังนี้ ในเมื่อพระโพธิสัตว์ประสูติ แล้วได้ ๗ วัน พระมารดาของพระ โพธิสัตว์ย่อมทิวงคตเสด็จเข้าถึงชั้นดุสิต ข้อนี้เป็น ธรรมดาในเรื่องนี้ ฯ

             [๒๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมดามีอยู่ดังนี้ หญิงอื่นๆ บริหารครรภ์๙ เดือนบ้าง ๑๐ เดือนบ้าง จึงคลอด พระมารดาของพระโพธิสัตว์หาเหมือนอย่างนั้นไม่ พระมารดาของพระโพธิสัตว์บริหารพระโพธิสัตว์ด้วยพระครรภ์ครบ ๑๐ เดือนถ้วน จึงประสูติ ข้อนี้เป็นธรรมดาในเรื่องนี้ ฯ

             [๒๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมดามีอยู่ดังนี้ พระมารดาของพระโพธิสัตว์ ย่อมไม่ประสูติเหมือนหญิงอื่นๆ ซึ่งนั่งหรือนอนคลอด ส่วนพระมารดาของ พระโพธิสัตว์ ประทับยืนประสูติพระโพธิสัตว์ ข้อนี้เป็นธรรมดาในเรื่องนี้ ฯ

             [๒๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมดามีอยู่ดังนี้ ในเวลาที่พระโพธิสัตว์เสด็จ ออก จากพระครรภ์พระมารดา พวกเทวดารับก่อน พวกมนุษย์รับทีหลัง ข้อนี้เป็นธรรมดา ในเรื่องนี้ ฯ

             [๒๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมดามีอยู่ดังนี้ ในเวลาที่พระโพธิสัตว์เสด็จ ออกจากพระครรภ์พระมารดา และยังไม่ทันถึงแผ่นดิน เทวบุตร ๔ องค์ประคองรับ พระโพธิสัตว์นั้นแล้ววางไว้เบื้องหน้าพระมารดา กราบทูลว่า ขอจงมีพระทัย ยินดีเถิด พระเทวี พระโอรสของพระองค์ที่เกิดมีศักดิ์ใหญ่ นี้เป็นธรรมดา ในเรื่องนี้ ฯ

             [๒๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมดามีอยู่ดังนี้ ในเวลาที่พระโพธิสัตว์เสด็จ ออก จากพระครรภ์พระมารดา เสด็จออกอย่างง่ายดาย ทีเดียว ไม่เปรอะเปื้อน ด้วยน้ำ ไม่เปรอะเปื้อนด้วยเสมหะ ไม่เปรอะเปื้อนด้วยโลหิต ไม่เปรอะเปื้อนด้วย อสุจิอย่างใด อย่างหนึ่ง เป็นผู้บริสุทธิ์ผุดผ่อง ดูกรภิกษุทั้งหลาย แก้วมณีอัน บุคคลวางลง ไว้ในผ้า กาสิกพัสตร์ แก้วมณีย่อมไม่ทำผ้ากาสิกพัสตร์ให้เปรอะเปื้อน เลยถึงแม้ผ้ากาสิกพัสตร์ ก็ไม่ทำแก้วมณีให้เปรอะเปื้อน เพราะเหตุไร จึงเป็นดังนั้น เพราะสิ่งทั้งสองเป็นของ บริสุทธิ์ แม้ฉันใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล ในเวลาที่พระโพธิสัตว์ เสด็จออกจากพระครรภ์พระมารดา เสด็จออกอย่างง่ายดาย ทีเดียว ไม่เปรอะเปื้อน ด้วยน้ำ ไม่เปรอะเปื้อนด้วยเสมหะ ไม่เปรอะเปื้อนด้วยโลหิต ไม่เปรอะเปื้อนด้วยอสุจิ อย่างใดอย่างหนึ่ง เป็นผู้บริสุทธิ์ผุดผ่องข้อนี้เป็นธรรมดา ในเรื่องนี้ ฯ

             [๒๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมดามีอยู่ดังนี้ ในเวลาที่พระโพธิสัตว์เสด็จ ออก จากพระครรภ์พระมารดา ธารน้ำย่อมปรากฏจากอากาศสองธาร เย็นธารหนึ่ง ร้อนธารหนึ่ง สำหรับกระทำอุทกกิจ แก่พระโพธิสัตว์และพระมารดา ข้อนี้เป็นธรรมดา ในเรื่องนี้ ฯ

             [๒๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมดามีอยู่ดังนี้ พระโพธิสัตว์ผู้ประสูติแล้ว ได้ครู่หนึ่ง ประทับยืนด้วยพระบาท ทั้งสองอันสม่ำเสมอ ผินพระพักตร์ทางด้าน ทิศอุดร เสด็จดำเนินไปเจ็ดก้าว และเมื่อฝูงเทพดากั้น เศวตฉัตรตามเสด็จอยู่ ทรงเหลียวแลดู ทั่วทุกทิศ เปล่งวาจาว่า เราเป็นยอดของโลก เราเป็นใหญ่ แห่งโลก เราเป็นผู้ประเสริฐ แห่งโลก ความเกิดของเรานี้เป็นครั้งที่สุด บัดนี้ ความเกิดอีกมิได้มี ดังนี้ ข้อนี้เป็น ธรรมดาในเรื่องนี้ ฯ

             [๒๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมดามีอยู่ดังนี้ เมื่อใด พระโพธิสัตว์เสด็จ ออก จากพระครรภ์พระมารดา เมื่อนั้น ในโลกพร้อมทั้งเทวโลก มารโลก พรหมโลก ในหมู่ สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์เทวดาและมนุษย์ แสงสว่าง อันยิ่งไม่มีประมาณย่อม ปรากฏล่วงเทวานุภาพของเทวดาทั้งหลาย ช่องว่างซึ่ง อยู่ที่สุดโลกมิได้ถูกอะไรปกปิด ที่มืดมิดก็ดี สถานที่ที่พระจันทร์ และพระอาทิตย์ เหล่านี้ซึ่งมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมาก ปานนี้ส่องแสงไปไม่ถึงก็ดี ในที่ทั้งสองชนิดนั้น แสงสว่างอันยิ่งไม่มีประมาณ ย่อม ปรากฏล่วงเทวานุภาพของเทวดาทั้งหลาย ถึงสัตว์ทั้งหลายที่เกิดในสถานที่เหล่านั้น ก็จำกันและกันได้ ด้วยแสงสว่างนั้นว่า พ่อเฮ้ย ได้ยินว่าถึงสัตว์พวกอื่นที่เกิดในนี้ ก็มีอยู่ เหมือนกัน และหมื่นโลกธาตุนี้ ย่อมหวั่นไหวสะเทื้อนสะท้าน ทั้งแสงสว่างอันยิ่งไม่มี ประมาณ ย่อมปรากฏในโลกล่วง เทวานุภาพของเทวดาทั้งหลาย ข้อนี้เป็นธรรมดา ในเรื่องนี้ ฯ

             [๒๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อพระวิปัสสีราชกุมารประสูติแล้วแล พวกอำมาตย์ได้กราบทูล แด่พระเจ้าพันธุมาว่าขอเดชะ พระราชโอรสของพระองค์ ประสูติแล้ว ขอพระองค์จงทอดพระเนตร พระราชโอรสนั้นเถิด ภิกษุทั้งหลาย พระเจ้า พันธุมาได้ทอดพระเนตรเห็นพระวิปัสสีราชกุมาร แล้วรับสั่งเรียกพวกพราหมณ์ ผู้รู้นิมิตมาแล้ว ตรัสว่า ขอพวกพราหมณ์ผู้รู้นิมิตผู้เจริญจงตรวจดูพระราชกุมารเถิด ภิกษุทั้งหลาย พวกพราหมณ์ผู้รู้นิมิตได้เห็น พระวิปัสสีราชกุมารนั้นแล้ว ได้กราบทูล พระเจ้าพันธุมานั้นดังนี้
             ขอเดชะ ขอพระองค์จงดีพระทัยเถิด พระราชโอรสของพระองค์ที่ทรง เกิดแล้วมีศักดิ์ใหญ่ ข้าแต่มหาราช เป็นลาภของพระองค์ ผู้เป็นเจ้าของสกุล อันเป็น ที่บังเกิดแห่งพระราชโอรส เห็นปานดังนี้ ขอเดชะ พระองค์ได้ดีแล้ว เพราะพระราช กุมารนี้ประกอบด้วยมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ซึ่งมีคติเป็นสองเท่านั้น ไม่เป็นอย่างอื่น คือ ถ้าครองเรือนจะได้ เป็นพระเจ้าจักรพรรดิผู้ทรงธรรม เป็นพระราชา โดยธรรม เป็นใหญ่ ในแผ่นดินมีมหาสมุทร ๔ เป็นขอบเขต ทรงชนะแล้ว มีราชอาณาจักรมั่นคง สมบูรณ์ ด้วยแก้ว ๗ ประการ คือ จักรแก้ว ช้างแก้ว ม้าแก้ว แก้วมณี นางแก้ว คฤหบดีแก้ว ปริณายกแก้ว เป็นที่ ๗ พระราชบุตรของพระองค์ มีกว่าพัน ล้วนกล้าหาญ มีรูปทรงสม เป็นวีรกษัตริย์ สามารถย่ำยีเสนา ของข้าศึก ได้พระองค์ทรงชำนะโดยธรรม มิต้องใช้ อาญา มิต้องใช้ศัสตรา ครอบครองแผ่นดิน มีสาครเป็นขอบเขต ถ้าเสด็จออกผนวช เป็นบรรพชิต จะได้เป็นพระอรหันตสัมมา สัมพุทธเจ้า มีหลังคาคือกิเลสอันเปิดแล้ว ในโลก ฯ
             ขอเดชะ ก็พระราชกุมารนี้ประกอบด้วยมหาปุริสลักษณะ ๓๒ เหล่าไหน อันเป็นเหตุให้มีคติเป็นสองเท่านั้น ไม่เป็นอย่างอื่น คือ ถ้าครองเรือนจักได้เป็นพระเจ้า จักรพรรดิผู้ทรงธรรม เป็นพระราชาโดยธรรม เป็นใหญ่ในแผ่นดิน มีมหาสมุทร ๔ เป็นขอบเขต ทรงชนะแล้วมีพระราชอาณาจักรมั่นคงสมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการ คือ จักรแก้ว ฯลฯ ครอบครองแผ่นดินมีสาคร ๔ เป็นขอบเขตถ้าเสด็จออกผนวชเป็น บรรพชิตจะได้เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า มีหลังคาคือกิเลสอันเปิดแล้วในโลกฯ

             [๒๙] ๑. ขอเดชะ ก็พระราชกุมารนี้มีพระบาทประดิษฐานเป็นอันดี (เรียบเสมอ) ข้าแต่สมมติเทพการที่ พระราชกุมารนี้มีพระบาทประดิษฐานเป็นอันดี นี้เป็นมหาปุริสลักษณะของมหาบุรุษนั้น ฯ
             ๒. ณ พื้นภายใต้ฝ่าพระบาททั้ง ๒ ของพระราชกุมารนี้ มีจักรเกิดขึ้นมีซี่ กำข้างละพัน มีกง มีดุม บริบูรณ์ด้วย อาการทั้งปวง ข้าแต่สมมติเทพ แม้การที่พื้น ภายใต้ฝ่าพระบาททั้ง ๒ ของพระราชกุมารนี้มีจักรเกิดขึ้น มีซี่กำข้างละพัน มีกง มีดุม บริบูรณ์ด้วยอาการทั้งปวง นี้ก็เป็นมหาปุริสลักษณะของมหาบุรุษนั้น ฯ
             ๓. มีส้นพระบาทยาว ฯ
             ๔. มีพระองคุลียาว ฯ
             ๕. มีฝ่าพระหัตถ์และฝ่าพระบาทอ่อนนุ่ม ฯ
             ๖. มีฝ่าพระหัตถ์และฝ่าพระบาทมีลายดุจตาข่าย ฯ
             ๗. มีพระบาทเหมือนสังข์คว่ำ ฯ
             ๘. มีพระชงฆ์รีเรียวดุจแข้งเนื้อทราย ฯ
             ๙. เสด็จสถิตยืนอยู่มิได้น้อมลง เอาฝ่าพระหัตถ์ทั้งสองลูบคลำได้ถึงพระ ชาณุทั้งสอง ฯ
             ๑๐. มีพระคุยหะเร้นอยู่ในฝัก ฯ
             ๑๑. มีพระฉวีวรรณดุจวรรณแห่งทองคำ คือ มีพระตจะประดุจหุ้มด้วยทอง ฯ
             ๑๒. มีพระฉวีละเอียด เพราะพระฉวีละเอียด ธุลีละอองจึงมิติดอยู่ในพระ กายได้ ฯ
             ๑๓. มีพระโลมชาติเส้นหนึ่งๆ เกิดในขุมละเส้นๆ ฯ
             ๑๔. มีพระโลมชาติที่มีปลายช้อยขึ้นข้างบน มีสีเขียว มีสีเหมือนดอก อัญชัญ ขดเป็นกุณฑลทักษิณาวัฏ ฯ
             ๑๕. มีพระกายตรงเหมือนกายพรหม ฯ
             ๑๖. มีพระมังสะเต็มในที่ ๗ สถาน ฯ
             ๑๗. มีกึ่งพระกายท่อนบนเหมือนกึ่งกายท่อนหน้าของสีหะ ฯ
             ๑๘. มีระหว่างพระอังสะเต็ม ฯ
             ๑๙. มีปริมณฑลดุจไม้นิโครธ วาของพระองค์เท่ากับพระกายของพระองค์ พระกายของพระองค์เท่ากับวาของพระองค์ ฯ
             ๒๐. มีลำพระศอกลมเท่ากัน ฯ
             ๒๑. มีปลายเส้นประสาทสำหรับนำรสอาหารอันดี ฯ
             ๒๒. มีพระหนุดุจคางราชสีห์ ฯ
             ๒๓. มีพระทนต์ ๔๐ ซี่ ฯ
             ๒๔. มีพระทนต์เรียบเสมอกัน ฯ
             ๒๕. มีพระทนต์ไม่ห่าง ฯ
             ๒๖. มีพระทาฐะขาวงาม ฯ
             ๒๗. มีพระชิวหาใหญ่ ฯ
             ๒๘. มีพระสุรเสียงดุจเสียงแห่งพรหม ตรัสมีสำเนียงดังนกการวิก ฯ
             ๒๙. มีพระเนตรดำสนิท (ดำคม) ฯ
             ๓๐. มีดวงพระเนตรดุจตาแห่งโค ฯ
             ๓๑. มีพระอุณาโลมบังเกิด ณ ระหว่างแห่งขนง มีสีขาวอ่อนควรเปรียบด้วย นุ่น ฯ
             ๓๒. มีพระเศียรดุจประดับด้วยกรอบพระพักตร์ ข้าแต่สมมติเทพ แม้การที่ พระราชกุมารนี้ มีพระเศียรดุจประดับด้วยกรอบพระพักตร์นี้ ก็เป็นมหาปุริสลักษณะ ของมหาบุรุษนั้น ฯ

             [๓๐] ขอเดชะ พระราชกุมารนี้ประกอบด้วยมหาปุริสลักษณะ ๓๒ เหล่านี้ ซึ่งมีคติเป็นสองเท่านั้น ไม่เป็นอย่างอื่น คือ ถ้าครองเรือนจะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ผู้ทรงธรรม เป็นพระราชาโดยธรรม เป็นใหญ่ในแผ่นดินมี มหาสมุทร ๔เป็นขอบเขต ทรงชำนะแล้ว มีราชอาณาจักรมั่นคง สมบูรณ์ด้วยแก้ว ๗ ประการคือ จักรแก้ว ช้างแก้ว ม้าแก้ว แก้วมณี นางแก้ว คฤหบดีแก้ว ปริณายาแก้วเป็นที่ ๗ พระราชบุตรของ พระองค์มีกว่าพัน ล้วนกล้าหาญ มีรูปทรงสมเป็นวีรกษัตริย์ สามารถย่ำยีเสนาของ ข้าศึกได้ พระองค์ทรงชำนะโดยธรรม มิต้องใช้อาชญา มิต้องใช้ศาตรา ครอบครอง แผ่นดินมีสาครเป็นขอบเขต ถ้าเสด็จออกผนวชเป็นบรรพชิต จะได้เป็นพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้า มีหลังคาคือกิเลสอันเปิดแล้วในโลก ฯ

             [๓๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระเจ้าพันธุมาโปรดให้พวกพราหมณ์ ผู้รู้นิมิตนุ่งห่มผ้าใหม่แล้ว เลี้ยงดู ให้อิ่มหนำด้วยสิ่งที่ต้องประสงค์ทุกสิ่งภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระเจ้าพันธุมารับสั่งตั้งพี่เลี้ยงนางนมแก่ พระวิปัสสี ราชกุมาร หญิงพวก หนึ่งให้เสวยน้ำนม หญิงพวกหนึ่งให้สรงสนาน หญิงพวกหนึ่งอุ้ม หญิงพวกหนึ่ง ใส่สะเอวฯ
             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ราชบุรุษทั้งหลาย ได้กั้นเศวตฉัตรเพื่อพระวิปัสสี ราชกุมารผู้ประสูติแล้ว นั้นทั้งกลางวัน และกลางคืน ด้วยหวังว่า หนาว ร้อน หญ้าละออง หรือน้ำค้าง อย่าได้ต้องพระองค์ ฯ
             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็พระวิปัสสีราชกุมารผู้ประสูติมาแล เป็นที่รักเป็นที่ เจริญใจของชนเป็นอันมาก ดอกอุบล ดอกประทุม หรือดอกปุณฑริก เป็นที่รักเป็นที่ เจริญใจของชนเป็นอันมาก แม้ฉันใด พระวิปัสสีราชกุมารก็ได้เป็นที่รัก เป็นที่เจริญใจ ของชนเป็นอันมาก ฉันนั้นเหมือนกัน ได้ยินว่า พระวิปัสสีราชกุมารนั้นอันบุคคล ผลัด เปลี่ยนกันอุ้มใส่สะเอว อยู่เสมอ ฯ
             ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระวิปัสสีราชกุมารผู้ประสูติมาแล เป็นผู้มีพระสุรเสียง กลมเกลี้ยง ไพเราะ อ่อนหวาน และเป็นที่ตั้งแห่งความรัก หมู่นกการวิกบนหิมวันต บรรพตมีสำเนียงกลมเกลี้ยง ไพเราะ อ่อนหวาน และเป็นที่ตั้ง แห่งความปรีเปรม ฉันใด พระวิปัสสีราชกุมาร ก็ฉันนั้นเหมือนกัน เป็นผู้มีพระสุรเสียงกลมเกลี้ยง ไพเราะ อ่อนหวาน เป็นที่ตั้งแห่งความรัก ฯ
             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ทิพยจักษุอันเกิดแต่กรรมวิบาก อันเป็นเหตุให้เห็น ได้ไกล โดยรอบโยชน์หนึ่งทั้งกลางวัน และกลางคืน  ได้ปรากฏแก่พระวิปัสสีราชกุมาร ผู้ประสูติแล้วแล ฯ
             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็พระวิปัสสีราชกุมารผู้ประสูติมาแล ไม่กะพริบพระเนตร เพ่งแลดู ภิกษุทั้งหลาย พวกเทวดาชั้นดาวดึงส์ ไม่กะพริบเนตรเพ่งแลดูแม้ฉันใด พระวิปัสสีราชกุมาร ก็ฉันนั้นเหมือนกัน ไม่กะพริบพระเนตรเพ่งแลดู ฯ
             ดูกรภิกษุทั้งหลาย  สมญาว่า วิปัสสี ดังนี้แล ได้บังเกิดขึ้นแล้วแก่พระ วิปัสสีราชกุมารผู้ประสูติมาแล ฯ
             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระเจ้าพันธุมาประทับนั่งในศาลหรับ พิพากษาคดี ให้พระวิปัสสีราชกุมารนั่งบน พระเพลาไต่สวนคดีอยู่ ฯ
             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ได้ยินว่า พระวิปัสสีราชกุมารประทับนั่งบนพระเพลา ของพระชนก ณ ศาลสำหรับพิพากษา คดีนั้น ทรงสอดส่องพิจารณาคดีแล้ว ทรงทราบ ได้ด้วยพระญาณ พระราชกุมารสอดส่องพิจารณาคดีแล้ว ย่อมทรงทราบ ได้ด้วยพระญาณ ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้น สมญาว่า วิปัสสี ดังนี้แล ได้บังเกิดขึ้นแล้วแก่ พระวิปัสสีราชกุมารนั้น โดยยิ่งกว่าประมาณ ลำดับนั้นแล พระเจ้าพันธุมาได้โปรด ให้สร้างปราสาทสำหรับพระวิปัสสีราชกุมาร ๓ หลัง คือ หลังหนึ่งสำหรับประทับ ในฤดูฝน หลังหนึ่งสำหรับประทับในฤดูหนาว อีกหลังหนึ่งสำหรับประทับในฤดูร้อน โปรดให้บำรุงพระราชกุมารด้วยเบญจกามคุณ ได้ยินว่า พระวิปัสสีราชกุมารได้รับการ บำรุงบำเรอด้วยดนตรี ไม่มีบุรุษ ปนตลอด ๔ เดือนในปราสาทสำหรับประทับในฤดูฝน ในบรรดาปราสาททั้ง ๓ หลังนั้น มิได้เสด็จลงสู่ปราสาทชั้นล่าง เลย ดังนี้แล ฯ

จบภาณวารที่หนึ่ง

   
 
 
พุทธวจน : อ่านคำสอนพระศาสดา อ่านแบบสบายตา โดยคัดลอกหนังสือทั้งเล่มมาจัดทำเป็นเว็บเพจ (คลิกอ่านพร้อมดาวน์โหลดไฟล์ pdf)
90 90 90 90
พุทธประวัติ ขุมทรัพย์ อริยสัจ
ภาคต้น
อริยสัจ
ภาคปลาย
ปฏิจจ ปฐมธรรม ตถาคต อนาคามี อินทรีย์
สังวร
สัตว์
สัตตานัง
ทาน
สกทาคามี
ฆราวาส
ชั้นเลิศ
มรรควิธี
ที่ง่าย
อริยวินัย เดรัจฉานวิชา กรรม สมถะ
วิปัสสนา
โสดาบัน นา
ปานสติ
จิต มโน
วิญญาณ
ก้าวย่าง
อย่างพุทธะ
ตามรอย
ธรรม
ภพ ภูมิ
พุทธวจน
สาธยาย
ธรรม
สังโยชน์