(ฉบับหลวง) อ่านฉบับมหาจุฬา คลิก
พระไตรปิฎก ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๗ สุตตันตปิฎก หน้าที่ ๙๒
ปาลิเลยยสูตร
ว่าด้วยการรู้เห็นที่ทำให้สิ้นอาสวะ
[๑๗๐] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ โฆสิตาราม ใกล้พระนคร โกสัมพี ครั้งนั้นแล เป็นเวลาเช้า พระผู้มีพระภาค ทรงผ้าอันตรวาสก ทรงถือบาตร และจีวร เสด็จเข้าไปยังพระนครโกสัมพีเพื่อบิณฑบาต ครั้นเสด็จเที่ยวบิณฑบาต ใน พระนครโกสัมพีแล้ว ในเวลาปัจฉาภัต เสด็จกลับจากบิณฑบาตแล้ว ทรงเก็บงำ เสนาสนะ ด้วยพระองค์เอง ทรงถือบาตรและจีวร มิได้รับสั่งเรียกพวกภิกษุ ที่เป็น อุปัฏฐาก มิได้ตรัสอำลาพระภิกษุสงฆ์ พระองค์เดียวไม่มีเพื่อนเสด็จหลีกไปสู่ที่จาริก
[๑๗๑] ครั้งนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่ง เมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จไปแล้วไม่นาน ได้เข้าไปหาท่านพระอานนท์จนถึงที่อยู่ ครั้นแล้ว ได้กล่าวกะท่านพระอานนท์ว่า มาเถอะท่านพระอานนท์พระผู้มีพระภาค ทรงเก็บงำเสนาสนะด้วยพระองค์เอง ทรงถือ บาตรและจีวร มิได้ทรงรับสั่งเรียกพวกภิกษุที่เป็นอุปัฏฐาก มิได้ตรัสอำลาพระภิกษุ สงฆ์ พระองค์เดียว ไม่มีเพื่อน เสด็จไปสู่ที่จาริก.
ท่านพระอานนท์ได้ตอบว่า อาวุโส สมัยใด พระผู้มีพระภาค ทรงเก็บงำ เสนาสนะ ด้วยพระองค์เอง ทรงถือบาตรและจีวร มิได้ทรงรับสั่งเรียกพวกภิกษุที่เป็น อุปัฏฐาก มิได้ตรัสอำลาภิกษุสงฆ์ พระองค์เดียว ไม่มีเพื่อน เสด็จหลีกไปสู่ที่จาริก สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคย่อมทรงพระประสงค์ ที่จะประทับแต่พระองค์เดียว สมัยนั้น พระผู้มีพระภาค ย่อมเป็นผู้อันใครๆ ไม่พึงติดตาม
[๑๗๒] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาค เสด็จเที่ยวจาริกไปโดยลำดับ เสด็จถึงป่า ปาลิเลยยกะ. ข่าวว่า พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ โคนไม้รังอันเจริญ ในป่า ปาลิเลยยกะนั้น. ครั้งนั้นแล ภิกษุมากรูปด้วยกัน ได้เข้าไปหาท่านพระอานนท์ถึงที่อยู่ ครั้นแล้วต่างก็สนทนาปราศรัยกับท่านพระอานนท์ ครั้นผ่านการปราศรัย พอให้ระลึก ถึงกันไปแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง.
ครั้นแล้ว ได้พากันกล่าวกะท่านพระอานนท์ว่า ท่านอานนท์ นานแล้ว ที่พวกผม ได้สดับธรรมีกถา ฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาค ท่านอานนท์ พวกผม ปรารถนา ที่จะสดับธรรมีกถาเฉพาะพระพักตร์พระผู้มีพระภาค.
ลำดับนั้นแล ท่านพระอานนท์พร้อมกับภิกษุเหล่านั้น พากันเข้าไปเฝ้าพระผู้มี พระภาคถึงที่ประทับ ณ โคนไม้รังอันเจริญ ในป่าปาลิเลยยกะ ครั้นแล้ว ต่างถวายบังคม พระผู้มีพระภาคแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง. ครั้นแล้ว พระผู้มีพระภาค ทรงยังภิกษุเหล่านั้น ให้เห็นแจ้ง ให้สมาทาน ให้อาจหาญ ให้ร่าเริง ด้วยธรรมีกถา
[๑๗๓] ก็โดยสมัยนั้นแล ภิกษุรูปหนึ่ง ได้เกิดความปริวิตกแห่งใจขึ้นว่า เมื่อบุคคลรู้อย่างไร เห็นอย่างไรหนอ อาสวะทั้งหลาย จึงสิ้นไปโดยลำดับ?
พระผู้มีพระภาค ทรงทราบความปริวิตกแห่งใจของภิกษุนั้น ด้วยพระทัย จึงตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาตรัสว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราแสดงธรรมด้วยการเลือกเฟ้น
แสดงสติปัฏฐาน ๔ ด้วยการเลือกเฟ้น
แสดงสัมมัปปธาน ๔ ด้วยการเลือกเฟ้น
แสดงอิทธิบาท ๔ ด้วยการเลือกเฟ้น
แสดงอินทรีย์ ๕ ด้วยการเลือกเฟ้น
แสดงพละ ๕ ด้วยการเลือกเฟ้น
แสดงโพชฌงค์ ๗ ด้วยการเลือกเฟ้น
แสดงอริยมรรคมีองค์ ๘ ด้วยการเลือกเฟ้น
(โพธิปักขิยธรรม 37)
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราได้แสดงธรรม ด้วยการเลือกเฟ้นเช่นนี้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ธรรมอันเราแสดงแล้ว ด้วยการเลือกเฟ้นเช่นนี้ เออ ก็มีภิกษุ บางรูป ในธรรมวินัยนี้ ยังเกิดความปริวิตกแห่งใจขึ้นว่า เมื่อบุคคลรู้ได้อย่างไร เห็นอย่างไร หนอ อาสวะทั้งหลาย จึงสิ้นไปโดยลำดับ.
[๑๗๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลรู้ได้อย่างไร เห็นอย่างไร อาสวะ ทั้งหลายได้สดับแล้ว จึงสิ้นไปโดยลำดับ?
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ปุถุชนผู้มิได้สดับแล้ว ในโลกนี้ ไม่ได้เห็นพระอริยเจ้า ทั้งหลาย
ไม่ฉลาดในอริยธรรม
มิได้รับแนะนำในอริยธรรม
ไม่ได้เห็นสัตบุรุษไม่ฉลาด ใน สัปปุริสธรรม*ไม่ได้รับแนะนำใน สัปปุริสธรรม ย่อมตามเห็นรูปโดยความเป็นตน
* (ธรรมของสัตบุรุษ ธรรมที่ทำให้เป็นสัตบุรุษ คุณสมบัติของคนดี)
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็การตามเห็นดังนั้นแล เป็นสังขาร ก็สังขารนั้น มีอะไรเป็น เหตุ มีอะไรเป็นเครื่องก่อให้เกิดขึ้น มีอะไรเป็นกำเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิด?
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สังขารนั้น เกิดจากตัณหาที่เกิดขึ้น แก่ปุถุชนผู้มิได้สดับ แล้ว ผู้อันความเสวยอารมณ์ที่เกิดแต่อวิชชาสัมผัสถูกต้องแล้ว.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการฉะนี้แล แม้สังขารนั้นก็ไม่เที่ยง ปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยเหตุเกิดขึ้น แม้ตัณหานั้น แม้เวทนานั้น แม้ผัสสะนั้น แม้อวิชชานั้น ก็ไม่เที่ยง อันปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยเหตุเกิดขึ้น.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลรู้อยู่ แม้อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างนี้ อาสวะทั้งหลาย ย่อมสิ้นไปโดยลำดับ.
[๑๗๕] ปุถุชน ย่อมไม่ตามเห็นรูป โดยความเป็นตนเลย แต่ว่าตามเห็น ตนมีรูป
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็การตามเห็นดังนั้นเป็นสังขาร. ก็สังขารนั้นมีอะไรเป็นเหตุ มีอะไรเป็นเครื่องก่อให้เกิดขึ้น มีอะไรเป็นกำเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิด?
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สังขารนั้นเกิดจากตัณหาที่เกิดขึ้น แก่ปุถุชนผู้มิได้สดับ ผู้อันความ เสวยอารมณ์ที่เกิดแต่อวิชชา สัมผัสถูกต้องแล้ว.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการฉะนี้แล แม้สังขารนั้น ก็ไม่เที่ยง อันปัจจัยปรุงแต่ง อันอาศัยเหตุเกิดขึ้น แม้ตัณหานั้น แม้ผัสสะนั้น แม้อวิชชานั้น ก็ไม่เที่ยง อันปัจจัย ปรุงแต่ง อาศัยเหตุเกิดขึ้น.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลรู้อยู่ แม้อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างนี้อาสวะทั้งหลาย ย่อมสิ้น ไปโดยลำดับ.
[๑๗๖] ปุถุชน ย่อมไม่ตามเห็นรูป โดยความเป็นตนเลย ย่อมไม่ตาม เห็นตนมีรูป แต่ว่าตามเห็นรูปในตน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็การตามเห็นดังนั้นแลเป็นสังขาร ก็สังขารนั้น มีอะไรเป็น เหตุ มีอะไรเป็นเครื่องก่อให้เกิดขึ้น มีอะไรเป็นกำเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิด?
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สังขารนั้น เกิดจากตัณหาที่เกิดขึ้น แก่ปุถุชนผู้มิได้สดับ ผู้อันความ เสวยอารมณ์ที่เกิดแต่อวิชชาสัมผัสถูกต้องแล้ว.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการฉะนี้ แม้สังขารนั้นก็ไม่เที่ยงอันปัจจัยปรุงแต่ง อาศัย เหตุเกิดขึ้น แม้ตัณหานั้น แม้เวทนานั้น แม้ผัสสะนั้น แม้อวิชชานั้นก็ไม่เที่ยง อันปัจจัยปรุงแต่งอาศัยเหตุเกิดขึ้น.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลรู้อยู่แม้อย่างนี้เห็นอยู่อย่างนี้ อาสวะทั้งหลาย ย่อมสิ้น ไปโดยลำดับ.
[๑๗๗] ปุถุชน ย่อมไม่ตามเห็นรูป โดยความเป็นตนเลย ย่อมไม่ตาม เห็นตนมีรูป ย่อมไม่ตามเห็นรูปในตน แต่ว่าตามเห็นตนในรูป
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็การตามเห็นดังนั้นแลเป็นสังขาร ก็สังขารนั้น มีอะไรเป็น เหตุ มีอะไรเป็นเครื่องก่อให้เกิดขึ้น มีอะไรเป็นกำเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิด?
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สังขารนั้นเกิดจากตัณหาที่เกิดขึ้น แก่ปุถุชนผู้มิได้สดับผู้อัน ความเสวยอารมณ์ที่เกิด แต่อวิชชาสัมผัสถูกต้องแล้ว.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการฉะนี้แล แม้สังขารนั้น ก็ไม่เที่ยง อันปัจจัย ปรุงแต่ง อาศัยเหตุเกิดขึ้น แม้ตัณหานั้น แม้เวทนานั้น แม้ผัสสะนั้น แม้อวิชชานั้น ก็ไม่เที่ยง อันปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยเหตุเกิดขึ้น.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลรู้อยู่แม้อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างนี้ อาสวะทั้งหลาย ย่อม สิ้นไป โดยลำดับ.
[๑๗๘] ปุถุชน
ย่อมไม่ตามเห็นรูป โดยความเป็นตนเลย
ย่อมไม่ตามเห็นตน มีรูป
ย่อมไม่ตามเห็นรูป ในตน
ย่อมไม่ตามเห็นตน ในรูป
แต่ว่าตามเห็นเวทนา โดยความเป็นตน ฯลฯ
แต่ว่าตามเห็นตนมีเวทนา ฯลฯ
แต่ว่าตามเห็นเวทนาตนใน ฯลฯ
แต่ว่าตามเห็นตนในเวทนา ฯลฯ
แต่ว่าตามเห็นสัญญา โดยความเป็นตน ฯลฯ
แต่ว่าตามเห็นตนมีสัญญา ฯลฯ
แต่ว่าตามเห็นสัญญาในตน ฯลฯ
แต่ว่าตามเห็นตนในสัญญา ฯลฯ
แต่ว่าตามเห็นสังขาร โดยความเป็นตน ฯลฯ
แต่ว่าตามเห็นตนมีสังขาร ฯลฯ
แต่ว่าตามเห็นสังขารในตน ฯลฯ
แต่ว่าตามเห็นตนในสังขาร ฯลฯ
แต่ว่าตามเห็นวิญญาณ โดยความเป็นตน ฯลฯ
แต่ว่าตามเห็นตนมีวิญญาณ ฯลฯ
แต่ว่าตามเห็นวิญญาณในตน ฯลฯ
แต่ว่าตามเห็นตนในวิญญาณ.
(ส่วนอริยเจ้า ผู้ได้สดับ ได้รับแนะนำดีแล้วใน สัปปุริสธรรม จะเห็นตรงกันข้ามกับปุถุชน)
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็การตามเห็นดังนั้นแล เป็นสังขาร ก็สังขารนั้น มีอะไรเป็น เหตุ มีอะไรเป็นเครื่องก่อให้เกิดขึ้น มีอะไรเป็นกำเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิด? สังขารนั้น เกิดจากตัณหาที่เกิดขึ้นแก่ปุถุชนผู้มิได้สดับ ผู้อันความเสวยอารมณ์ ที่เกิดแต่อวิชชา สัมผัสถูกต้องแล้ว.
ดูกรภิกษุทั้งหลายด้วยประการฉะนี้แล แม้สังขารนั้น ก็ไม่เที่ยง อันปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยเหตุเกิดขึ้น แม้ตัณหานั้นแม้เวทนานั้น แม้สัมผัสะนั้น แม้อวิชชานั้น ก็ไม่เที่ยง อันปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยเหตุเกิดขึ้น.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลรู้อยู่แม้อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างนี้ อาสวะทั้งหลาย ย่อม สิ้นไปโดยลำดับ.
[๑๗๙] ปุถุชน
ย่อมไม่ตามเห็นรูป โดยความเป็นตนเลย ฯลฯ
ย่อมไม่ตามเห็นเวทนาโดยความเป็นตน ฯลฯ
ย่อมไม่ตามเห็นสัญญา โดยความเป็นตน ฯลฯ
ย่อมไม่ตามเห็นสังขารโดยความเป็นตน ฯลฯ
ย่อมไม่ตามเห็นวิญญาณ โดยความเป็นตน ฯลฯ
แต่ว่าเป็นผู้มีทิฏฐิ เช่นนี้ ว่า ตนก็อันนั้น โลกก็อันนั้น
เรานั้นละโลกนี้ ไปแล้ว จักเป็นผู้เที่ยง ยั่งยืนมั่นคง มีความไม่เปลี่ยนแปลงเป็นธรรม.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ทิฏฐิความเห็นว่าเที่ยงเช่นนั้นเป็นสังขาร ก็สังขารนั้น มีอะไร เป็นเหตุ ฯลฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลรู้อยู่แม้อย่างนี้เห็นอยู่อย่างนี้ อาสวะทั้งหลาย ย่อมสิ้นไปโดยลำดับ.
[๑๘๐] ปุถุชน
ย่อมไม่ตามเห็นรูป โดยความเป็นตนเลย ฯลฯ
ย่อมไม่ตามเห็นเวทนาโดยความเป็นตน ฯลฯ
ย่อมไม่ตามเห็นสัญญา โดยความเป็นตน ฯลฯ
ย่อมไม่ตามเห็นสังขารโดยความเป็นตน ฯลฯ
ย่อมไม่ตามเห็นวิญญาณ โดยความเป็นตน ฯลฯ
เป็นผู้ไม่มีทิฏฐิ เช่นนี้ว่า ตนก็อันนั้น โลกก็อันนั้น
เรานั้นละโลกนี้ไปแล้ว จักเป็นผู้ เที่ยง ยั่งยืน มั่นคง มีความไม่เปลี่ยนแปลงเป็นธรรมดา แต่ว่าเป็นผู้มีทิฏฐิ เช่นนี้ว่า เราไม่พึงมี และบริขารของเราไม่พึงมี เราจักไม่มี บริขารของเราจักไม่มี
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็มีทิฏฐิความเห็นว่าขาดสูญเช่นนั้นเป็นสังขาร. ก็สังขารนั้น มีอะไรเป็นเหตุ ฯลฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลแม้รู้อยู่อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างนี้ อาสวะทั้งหลาย ย่อมสิ้นไปโดยลำดับ.
[๑๘๑] ปุถุชน
ย่อมไม่ตามเห็นรูป โดยความเป็นตน ฯลฯ
ย่อมไม่เห็นเวทนา โดยความเป็นตน ฯลฯ
ย่อมไม่ตามเห็นสัญญา โดยความเป็นตน ฯลฯ
ย่อมไม่ตามเห็นสังขาร โดยความเป็นตน ฯลฯ
ย่อมไม่ตามเห็นวิญญาณ โดยความเป็นตน ฯลฯ
เป็นผู้ไม่มีทิฏฐิ เช่นนี้ว่า ตนก็อันนั้น โลกก็อันนั้น เรานั้นละโลกนี้ไปแล้ว จักเป็นผู้เที่ยง ยั่งยืน มั่นคง มีความไม่เปลี่ยนแปลงเป็นธรรมดา และเป็นผู้ไม่มีทิฏฐิ เช่นนี้ว่า เราไม่พึงมี และบริขารของเราไม่พึงมี เราจักไม่มี บริขารของเราจักไม่มี แต่ว่ายังเป็นผู้มีความสงสัย เคลือบแคลง ไม่แน่ใจในสัทธรรม.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ความเป็นผู้มีความสงสัย เคลือบแคลง ไม่แน่ใจในสัทธรรม เช่นนั้นเป็นสังขาร. ก็สังขารนั้น มีอะไรเป็นเหตุ มีอะไรเป็นเครื่องก่อให้เกิดขึ้น มีอะไร เป็นกำเนิด มีอะไรเป็นแดนเกิด?
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สังขารนั้น เกิดจากตัณหาที่เกิดขึ้น แก่ปุถุชนผู้มิได้สดับ ผู้อัน ความเสวยอารมณ์ที่เกิดแต่อวิชชาสัมผัสถูกต้อง.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย ด้วยประการฉะนี้แล แม้สังขารนั้นก็ไม่เที่ยง อันปัจจัย ปรุงแต่ง อาศัยเหตุเกิดขึ้น แม้ตัณหานั้นแม้เวทนานั้น แม้ผัสสะนั้น แม้อวิชชานั้น ก็ไม่เที่ยง อันปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยเหตุเกิดนั้น.
ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลแม้รู้อยู่อย่างนี้ เห็นอยู่อย่างนี้ อาสวะทั้งหลาย ย่อมสิ้นไปโดยลำดับ
|