เว็บไซต์ อนาคามี เผยแพร่คำพระศาสดา เผยแพร่คำสอนตถาคต เว็บไซต์เผยแพร่พระสุตรคำสอนของพระพุทธเจ้า คลิปคำสอน คลิปสาธยายธรรม
 
ค้นหาคำที่ต้องการ          

 
ปาลิเลยยสูตร ว่าด้วยป่าปาลิเลยยกะ (ฉบับมหาจุฬา)
124  
 
 


ปาลิเลยยสูตร ว่าด้วยป่าปาลิเลยยกะ (ฉบับมหาจุฬา)


“เมื่อบุคคลรู้ เห็น อย่างไร อาสวะทั้งหลายจึงสิ้นไปโดยลำดับ”
คือ ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ
ไม่ได้เห็นพระอริยะ
ไม่ฉลาดในธรรมของพระอริยะ
ไม่ได้รับการแนะนำในธรรมของพระอริยะ
ไม่ได้เห็นสัตบุรุษ
ไม่ฉลาดใน ธรรมของสัตบุรุษ
ไม่ได้รับการแนะนำในธรรมของสัตบุรุษ
(จึง) พิจารณาเห็นรูป โดยความเป็นอัตตา

ส่วน ปุถุชนผู้ได้สดับ
(ย่อม)
ไม่พิจารณาเห็นรูป โดยความเป็นอัตตา
ไม่พิจารณาเห็นรูปโดยความเป็นอัตตา
ไม่พิจารณาเห็นอัตตาว่ามีรูป
ไม่พิจารณาเห็นรูปในอัตตา
ไม่พิจารณาเห็นอัตตาในรูป

ฯลฯ

เพราะเหตุนั้น
แม้สังขารก็ไม่เที่ยง ถูกปัจจัย ปรุงแต่ง อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น
แม้ตัณหาก็ไม่เที่ยง ถูกปัจจัย ปรุงแต่ง อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น
แม้เวทนาก็ไม่เที่ยง ถูกปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยปัจจัย เกิดขึ้น
แม้ผัสสะก็ไม่เที่ยง ถูกปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น
แม้อวิชชาก็ไม่เที่ยง ถูกปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น

ภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลรู้ เห็นอย่างนี้ อาสวะทั้งหลายจึงสิ้นไปโดย ลำดับ

 

 

(ฉบับมหาจุฬา)
อ่านฉบับหลวง คลิก

พระไตรปิฎก บับมหาจุฬาฯ เล่มที่ ๑๗ หน้าที่ ๑๒๙-๑๓๔

๙. ปาลิเลยยสูตร
ว่าด้วยป่าปาลิเลยยกะ

           [๘๑] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ โฆสิตาราม เขตกรุงโกสัมพี ครั้นในเวลาเช้า ทรงครองอันตรวาสกถือบาตรและจีวร เสด็จเข้าไปบิณฑบาตยังกรุง โกสัมพี เสด็จกลับจากบิณฑบาต ภายหลังเสวยพระกระยาหารเสร็จแล้ว ทรงเก็บงำ เสนาสนะด้วยพระองค์เอง ถือบาตรและจีวร ไม่ได้ทรงรับสั่งพวกอุปัฏฐาก ไม่ได้ตรัส อำลาภิกษุสงฆ์ เสด็จจาริกไปพระองค์เดียวไม่มีผู้ติดตาม

           ลำดับนั้น ภิกษุรูปหนึ่ง เมื่อพระผู้มีพระภาคเสด็จจากไปไม่นาน ได้เข้าไปหา ท่านพระอานนท์ถึงที่อยู่ แล้วได้กล่าวกับท่านพระอานนท์ดังนี้ว่า “ท่านอานนท์ พระผู้มีพระภาคทรงเก็บงำเสนาสนะด้วยพระองค์เองถือบาตรและจีวร ไม่ได้ทรงรับสั่ง พวกอุปัฏฐาก ไม่ได้ตรัสอำลาภิกษุสงฆ์ เสด็จจาริกไปพระองค์เดียวไม่มีผู้ติดตาม”

           ท่านพระอานนท์ได้ตอบว่า “ท่านผู้มีอายุ สมัยใด พระผู้มีพระภาค ทรงเก็บงำ เสนาสนะด้วยพระองค์เอง ถือบาตรและจีวร ไม่ได้ทรงรับสั่งพวกอุปัฏฐาก ไม่ได้ตรัส อำลา ภิกษุสงฆ์ เสด็จจาริกไปพระองค์เดียวไม่มีผู้ติดตาม สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคมี พระประสงค์จะประทับอยู่เพียงลำพัง จึงไม่ควรที่ใครๆ จะพึงติดตาม”

           ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเสด็จจาริกไปโดยลำดับ ถึงป่าปาลิเลยยกะ ทราบว่า ณ ที่นั้น พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ โคนไม้รังอันงาม

           ต่อมา ภิกษุจำนวนมากเข้าไปหาท่านพระอานนท์ถึงที่อยู่ ได้สนทนาปราศรัย พอเป็นที่บันเทิงใจ พอเป็นที่ระลึกถึงกันแล้ว นั่ง ณ ที่สมควร ได้พากันกล่าวกับท่าน พระอานนท์ดังนี้ว่า “ท่านอานนท์ นานมาแล้วที่พวกผมได้ฟังธรรมีกถา เฉพาะ พระพักตร์ พระผู้มีพระภาค ท่านอานนท์ พวกผมปรารถนาที่จะฟังธรรมีกถาเฉพาะ พระพักตร์พระผู้มีพระภาค”

           ลำดับนั้น ท่านพระอานนท์พร้อมด้วยภิกษุเหล่านั้น พากันเข้าไปเฝ้าพระผู้ม ีพระภาค ณ โคนไม้รังอันงามในป่าปาลิเลยยกะ ถวายอภิวาทแล้วนั่ง ณ ที่สมควร พระผู้มีพระภาคทรงชี้แจงให้ภิกษุเหล่านั้นเห็นชัด ชวนใจให้อยากรับเอาไปปฏิบัติ เร้าใจ ให้อาจหาญแกล้วกล้า ปลอบชโลมใจให้สดชื่นร่าเริงด้วยธรรมีกถา

           สมัยนั้น ภิกษุรูปหนึ่งได้เกิดความคิดคำนึงอย่างนี้ว่า “เมื่อบุคคลรู้ เห็น อย่างไร อาสวะทั้งหลายจึงสิ้นไปโดยลำดับ”

           พระผู้มีพระภาคทรงทราบความคิดคำนึงของภิกษุนั้น ด้วยพระทัยจึงรับสั่ง เรียกภิกษุทั้งหลายมาตรัสว่า

“ภิกษุทั้งหลาย เราได้แสดงธรรมโดยการวิจัย (การเลือกเฟ้น)
แสดงสติปัฏฐาน ๔ ประการโดยการวิจัย
แสดงสัมมัปปธาน ๔ ประการ โดยการวิจัย
แสดงอิทธิบาท ๔ ประการ โดยการวิจัย
แสดงอินทรีย์ ๕ ประการ โดยการวิจัย
แสดงพละ ๕ ประการ โดยการวิจัย
แสดงโพชฌงค์ ๗ ประการ โดยการวิจัย
แสดงอริยมรรคมีองค์ ๘ โดยการวิจัย

(โพธิปักขิยธรรม 37)

          ภิกษุทั้งหลาย เราได้แสดงธรรมโดยการวิจัยเช่นนี้ ธรรมอันเราแสดงแล้ว โดยการวิจัยเช่นนี้ แต่ก็มีภิกษุบางรูปในธรรมวินัยนี้ยังเกิดความคิดคำนึงว่า ‘เมื่อบุคคลรู้ เห็นอย่างไร อาสวะทั้งหลายจึงสิ้นไปโดยลำดับ’

           เมื่อบุคคลรู้ เห็นอย่างไร อาสวะทั้งหลายจึงสิ้นไปโดยลำดับ

           คือ ปุถุชน ในโลกนี้ผู้ไม่ได้สดับ ไม่ได้เห็นพระอริยะ ไม่ฉลาดในธรรมของ พระอริยะ ไม่ได้รับการแนะนำในธรรมของพระอริยะ ไม่ได้เห็นสัตบุรุษ ไม่ฉลาดใน ธรรมของสัตบุรุษ ไม่ได้รับการแนะนำในธรรมของสัตบุรุษ พิจารณาเห็นรูป โดยความเป็นอัตตา ก็การพิจารณาเห็นนั้นจัดเป็นสังขาร สังขารนั้นมีอะไรเป็นเหตุ มีอะไรเป็นเหตุเกิด มีอะไรเป็นกำเนิดมีอะไรเป็น แดนเกิดคือ สังขารนั้นเกิดจากตัณหา ที่เกิดขึ้นแก่ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ผู้ถูกความเสวย อารมณ์ ที่เกิดจากอวิชชาสัมผัส ถูกต้องแล้ว เพราะเหตุนั้น แม้สังขารนั้นก็ไม่เที่ยง ถูกปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยปัจจัย เกิดขึ้น แม้ตัณหานั้นก็ไม่เที่ยง ถูกปัจจัยปรุงแต่งอาศัย ปัจจัยเกิดขึ้น แม้เวทนานั้น.. แม้ผัสสะนั้น.. แม้อวิชชานั้นก็ไม่เที่ยงถูกปัจจัย ปรุงแต่ง อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น เมื่อบุคคลรู้ เห็นอย่างนี้ อาสวะทั้งหลายจึงสิ้นไปโดยลำดับ

           ปุถุชน ไม่พิจารณาเห็นรูปโดยความเป็นอัตตา แต่พิจารณาเห็นอัตตาว่ามีรูป ก็การพิจารณาเห็นนั้นจัดเป็นสังขาร สังขารนั้นมีอะไรเป็นเหตุ มีอะไรเป็นเหตุเกิด มีอะไรเป็นกำเนิดมีอะไรเป็น แดนเกิด คือ สังขารนั้นเกิดจากตัณหา ที่เกิดขึ้นแก่ปุถุชน ผู้ไม่ได้สดับ ผู้ถูกความเสวย อารมณ์ ที่เกิดจากอวิชชาสัมผัสถูกต้องแล้ว เพราะเหตุ นั้น แม้สังขารนั้นก็ไม่เที่ยงถูก ปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น แม้ตัณหานั้น ... แม้เวทนานั้น ... แม้ผัสสะนั้น... แม้อวิชชานั้นก็ไม่เที่ยง ถูกปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยปัจจัย เกิดขึ้น เมื่อบุคคลรู้ เห็นอย่างนี้ อาสวะทั้งหลายจึงสิ้นไปโดยลำดับ

           ปุถุชน ไม่พิจารณาเห็นรูปโดยความเป็นอัตตา ไม่พิจารณาเห็นอัตตาว่ามีรูป แต่พิจารณาเห็นรูปในอัตตา ก็การพิจารณาเห็นนั้นจัดเป็นสังขารสังขารนั้น มีอะไร เป็นเหตุ มีอะไรเป็นเหตุเกิด มีอะไรเป็นกำเนิดมีอะไร เป็น แดนเกิด คือ สังขารนั้น เกิดจากตัณหาที่เกิดขึ้นแก่ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ผู้ถูกความเสวย อารมณ์ ที่เกิดจาก อวิชชาสัมผัสถูกต้องแล้ว เพราะเหตุนั้น แม้สังขารนั้นก็ไม่เที่ยง ถูกปัจจัย ปรุงแต่ง อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น แม้ตัณหานั้น ... แม้เวทนานั้น ... แม้ผัสสะ นั้น... แม้อวิชชานั้น ก็ไม่เที่ยง ถูกปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น เมื่อบุคคลรู้ เห็นอย่างนี้ อาสวะ ทั้งหลายจึงสิ้นไปโดยลำดับ

           ปุถุชน ไม่พิจารณาเห็นรูปโดยความเป็นอัตตา ไม่พิจารณาเห็นอัตตาว่ามีรูป ไม่พิจารณาเห็นรูปในอัตตา แต่พิจารณาเห็นอัตตาในรูป ก็การพิจารณาเห็นนั้น จัดเป็น สังขาร สังขารนั้นมีอะไรเป็นเหตุ มีอะไรเป็นเหตุเกิด มีอะไรเป็นกำเนิดมีอะไรเป็น แดนเกิด คือ สังขารนั้นเกิดจากตัณหา ที่เกิดขึ้นแก่ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ผู้ถูกความเสวย อารมณ์ ที่เกิดจากอวิชชาสัมผัสถูกต้องแล้ว เพราะเหตุนั้น แม้สังขารนั้นก็ไม่เที่ยง ถูกปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น แม้ตัณหานั้น ... แม้เวทนานั้น ... แม้ผัสสะนั้น... แม้อวิชชานั้น ก็ไม่เที่ยง ถูกปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น เมื่อบุคคลรู้ เห็น อย่างนี้ อาสวะทั้งหลายจึงสิ้นไปโดยลำดับ

ปุถุชน
ไม่พิจารณาเห็นรูปโดยความเป็นอัตตา
ไม่พิจารณาเห็นอัตตาว่ามีรูป
ไม่พิจารณาเห็นรูปในอัตตา
ไม่พิจารณาเห็นอัตตาในรูป

แต่พิจารณาเห็นเวทนาโดยความเป็นอัตตา
พิจารณาเห็นอัตตาว่ามีเวทนา
พิจารณาเห็นเวทนาในอัตตา
พิจารณาเห็นอัตตาในเวทนา

พิจารณาเห็นสัญญาโดยความเป็นอัตตา
พิจารณาเห็นอัตตาว่ามีสัญญา
พิจารณาเห็นสัญญาในอัตตา
พิจารณาเห็นอัตตาในสัญญา

พิจารณาเห็นสังขารโดยความเป็นอัตตา
พิจารณาเห็นอัตตาว่ามีสังขาร
พิจารณาเห็นสังขารในอัตตา
พิจารณาเห็นอัตตาในสังขาร

พิจารณาเห็นวิญญาณโดยความเป็นอัตตา
พิจารณาเห็นอัตตาว่ามีวิญญาณ
พิจารณาเห็นวิญญาณในอัตตา
พิจารณาเห็นอัตตาในวิญญาณ

          
 ก็การพิจารณาเห็นนั้นจัดเป็นสังขาร สังขารนั้นมีอะไรเป็นเหตุ ฯลฯ มีอะไร เป็นแดนเกิด คือ สังขารนั้นเกิดจากตัณหาที่เกิดขึ้นแก่ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ผู้ถูกความ เสวยอารมณ์ ที่เกิดจากอวิชชาสัมผัสถูกต้องแล้ว เพราะเหตุนั้น แม้สังขารนั้น ก็ไม่เที่ยง ถูกปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น แม้ตัณหานั้น ... แม้เวทนานั้น ... แม้ผัสสะนั้น... แม้อวิชชานั้นก็ไม่เที่ยง ถูกปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยปัจจัยเกิดขึ้นเมื่อบุคคลรู้เห็นอย่างนี้ อาสวะทั้งหลายจึงสิ้นไปโดยลำดับ

           ปุถุชนไม่พิจารณาเห็นรูปโดยความเป็นอัตตา ไม่พิจารณาเห็นเวทนา ...ไม่พิจารณาเห็นสัญญา ... ไม่พิจารณาเห็นสังขาร ... ไม่พิจารณาเห็นวิญญาณ โดยความเป็นอัตตา แต่มีทิฏฐิ (ความเห็น) อย่างนี้ว่า ‘อัตตากับโลกเป็นอย่าง เดียวกัน เรานั้นละโลกนี้ไปแล้ว จักเป็นผู้เที่ยงแท้ ยั่งยืน คงทน ไม่ผันแปร’ ก็สัสสตทิฏฐิ (ความเห็นว่าเที่ยง) นั้นจัดเป็นสังขาร สังขารนั้นมีอะไรเป็นเหตุ ฯลฯ เมื่อบุคคลรู้ เห็นอย่างนี้ อาสวะทั้งหลายจึงสิ้นไปโดยลำดับ

           ปุถุชนไม่พิจารณาเห็นรูปโดยความเป็นอัตตา ไม่พิจารณาเห็นเวทนา ...ไม่พิจารณาเห็นสัญญา ... ไม่พิจารณาเห็นสังขาร ... ไม่พิจารณาเห็นวิญญาณ โดยความเป็นอัตตา ทั้งไม่มีทิฏฐิอย่างนี้ว่า ‘อัตตากับโลกเป็นอย่างเดียวกัน เรานั้น ละโลกนี้ไปแล้วจักเป็นผู้เที่ยงแท้ ยั่งยืน คงทน ไม่ผันแปร’ แต่มีทิฏฐิอย่างนี้ว่า ‘ถ้าเราไม่พึงมี แม้บริขารของเราก็ไม่พึงมี ถ้าเราจักไม่ได้มีแล้ว แม้บริขารของเรา ก็จักไม่มี ’ ก็อุจเฉททิฏฐิ (ความเห็นว่าขาดสูญ) นั้นจัดเป็นสังขาร สังขารนั้น มีอะไร เป็นเหตุ มีอะไรเป็นเหตุเกิด มีอะไรเป็นกำเนิดมีอะไรเป็น แดนเกิด คือ สังขารนั้น เกิดจากตัณหา ที่เกิดขึ้นแก่ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ผู้ถูกความเสวย อารมณ์ ที่เกิดจาก อวิชชา สัมผัสถูกต้องแล้ว เพราะเหตุนั้น แม้สังขารนั้นก็ไม่เที่ยง ฯลฯ เมื่อบุคคล รู้เห็น อย่างนี้ อาสวะทั้งหลายจึงสิ้นไปโดยลำดับ

           ปุถุชนไม่พิจารณาเห็นรูปโดยความเป็นอัตตา ไม่พิจารณาเห็นเวทนา ...ไม่พิจารณาเห็นสัญญา ... ไม่พิจารณาเห็นสังขาร ... ไม่พิจารณาเห็นวิญญาณ โดยความเป็นอัตตา ฯลฯ ไม่พิจารณาเห็นอัตตาในวิญญาณ ทั้งไม่มีทิฏฐิอย่างนี้ว่า ‘อัตตากับโลกเป็นอย่างเดียวกัน เรานั้นละโลกนี้ไปแล้วจักเป็นผู้เที่ยงแท้ ยั่งยืนคงทน ไม่ผันแปร’ ทั้งไม่มีทิฏฐิอย่างนี้ว่า ‘ถ้าเราไม่พึงมี แม้บริขารของเราก็ไม่พึงมี ถ้าเรา จักไม่ได้มีแล้ว แม้บริขารของเราก็จักไม่มี’ แต่ยังมีความสงสัย เคลือบแคลงไม่แน่ใจ ในสัทธรรม ก็ความเป็นผู้สงสัย เคลือบแคลง ไม่แน่ใจในสัทธรรมนั้นจัดเป็นสังขาร สังขารนั้นมีอะไรเป็นเหตุ มีอะไรเป็นเหตุเกิด มีอะไรเป็นกำเนิดมีอะไรเป็น แดนเกิด คือ สังขารนั้นเกิดจากตัณหา ที่เกิดขึ้นแก่ปุถุชนผู้ไม่ได้สดับ ผู้ถูกความ เสวยอารมณ์ ที่เกิดจากอวิชชาสัมผัสถูกต้องแล้ว

           เพราะเหตุนั้น
แม้สังขารนั้น ก็ไม่เที่ยง
ถูกปัจจัย ปรุงแต่ง อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น
แม้ตัณหานั้นก็ไม่เที่ยง
ถูกปัจจัย ปรุงแต่ง อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น
แม้เวทนานั้นก็ไม่เที่ยง
ถูกปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยปัจจัย เกิดขึ้น
แม้ผัสสะนั้นก็ไม่เที่ยง
ถูกปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น
แม้อวิชชานั้น ก็ไม่เที่ยง
ถูกปัจจัยปรุงแต่ง อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น

           ภิกษุทั้งหลาย เมื่อบุคคลรู้ เห็นอย่างนี้ อาสวะทั้งหลายจึงสิ้นไปโดย ลำดับ”

ปาลิเลยยสูตรที่ ๙ จบ

 
พุทธวจน : อ่านคำสอนพระศาสดา อ่านแบบสบายตา โดยคัดลอกหนังสือทั้งเล่มมาจัดทำเป็นเว็บเพจ (คลิกอ่านพร้อมดาวน์โหลดไฟล์ pdf)
90 90 90 90
พุทธประวัติ ขุมทรัพย์ อริยสัจ
ภาคต้น
อริยสัจ
ภาคปลาย
ปฏิจจ ปฐมธรรม ตถาคต อนาคามี อินทรีย์
สังวร
สัตว์
สัตตานัง
ทาน
สกทาคามี
ฆราวาส
ชั้นเลิศ
มรรควิธี
ที่ง่าย
อริยวินัย เดรัจฉานวิชา กรรม สมถะ
วิปัสสนา
โสดาบัน นา
ปานสติ
จิต มโน
วิญญาณ
ก้าวย่าง
อย่างพุทธะ
ตามรอย
ธรรม
ภพ ภูมิ
พุทธวจน
สาธยาย
ธรรม
สังโยชน์