ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๕ หน้าที่ ๑๗๖
อปราทิฏฐิสูตรที่ ๕
[๕๗๓] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่าน อนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี
ก็โดยสมัยนั้นแล พรหมองค์หนึ่งได้เกิดทิฐิอันชั่วช้าเห็นปานดังนี้ว่า สมณะหรือพราหมณ์ ที่จะพึงมาในพรหมโลกนี้ ได้ไม่มีเลย
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
[๕๗๔] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาค ทรงทราบความปริวิตกแห่งใจของ พรหมนั้น ด้วยพระทัยแล้ว ทรงหายไป ในพระวิหารเชตะวัน ปรากฏแล้วในพรหมโลก นั้นเปรียบเหมือน บุรุษ มีกำลังพึงเหยียดออกซึ่งแขนที่คู้ไว้ หรือพึงคู้เข้า ซึ่งแขนที่ เหยียดออก ฉะนั้น
ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาค ประทับนั่งขัดสมาธิ ในเวหาเบื้องบน ของพรหมนั้น เข้าเตโชธาตุกสิณแล้ว (นั่งสมาธิเหนือพรหม)
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
[๕๗๕] ครั้งนั้นแล ท่านพระมหาโมคคัลลานะ ได้มีความคิดเช่นนี้ว่า บัดนี้พระผู้มีพระภาค ประทับอยู่ ณ ที่ไหนหนอ ฯ ท่านพระมหาโมคคัลลานะ ได้เห็นแล้วแล ซึ่งพระผู้มีพระภาคผู้ประทับนั่ง ขัดสมาธิในเวหาเบื้องบน ของพรหมนั้น เข้าเตโชธาตุกสิณแล้ว ด้วยจักษุเพียงดังทิพย์อันบริสุทธิ์ล่วงจักษุของมนุษย์ ครั้นแล้ว ได้หายไปใน พระวิหารเชตวัน ปรากแล้วในพรหมโลกนั้น ปานดังบุรุษมีกำลังพึง เหยียดออก ซึ่งแขนที่คู้เข้า หรือพึงคู้ เข้าซึ่งแขน ที่เหยียดออกแล้ว ฉะนั้น
ลำดับนั้นแล ท่านพระมหาโมคคัลลานะ อาศัยทิศบูรพา(ตะวันออก) นั่งขัด สมาธิ ในเวหา เบื้องบน ของพรหมนั้น (แต่) ต่ำกว่าพระผู้มีพระภาค เข้าเตโชธาตุกสิณ แล้ว
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
[๕๗๖] ครั้งนั้นแล ท่านพระมหากัสสป ได้มีความคิดนี้ว่า บัดนี้ พระผู้มีพระภาค ประทับ อยู่ ณ ที่ไหนหนอแล ท่านพระมหากัสสปได้เห็นแล้วแล ซึ่งพระผู้มีพระภาค ฯลฯ ด้วยจักษุเพียงดังทิพย์ ฯลฯ ครั้นแล้วได้หายไปใน พระวิหาร เชตวัน ปรากฏแล้วในพรหมโลก นั้น ปานดังบุรุษมีกำลัง ฯลฯ ฉะนั้น
ลำดับนั้นแล ท่านพระมหากัสสป อาศัยทิศทักษิณ(ทิศใต้) นั่งขัดสมาธิ ในเวหาส เบื้องบนของพรหม นั้น (แต่) ต่ำกว่าพระผู้มี พระภาค เข้า เตโชธาตุกสิณ แล้ว
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
[๕๗๗] ครั้งนั้นแล ท่านพระมหากัปปินะ ได้มีความคิดนี้ว่า บัดนี้พระผู้มี พระภาคประทับ อยู่ ณ ที่ไหนหนอแล ลำดับนั้นแล ท่านพระมหากัปปินะได้เห็น พระผู้มีพระภาค ฯลฯ ด้วยจักษุเพียง ดังทิพย์ ครั้นแล้วได้หายไปในพระวิหาร เชตวัน ปรากฏแล้ว ในพรหมโลกนั้น ปาน ดังบุรุษมีกำลัง ฯลฯ ฉะนั้น
ลำดับนั้นแล ท่านพระมหากัปปินะ อาศัยปัจฉิมทิศ(ตะวันตก) นั่งขัดสมาธิ ในเวหา เบื้องบน พรหมนั้น (แต่) ต่ำกว่าพระผู้มีพระภาค เข้าเตโชธาตุกสิณ แล้ว
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
[๕๗๘] ครั้งนั้นแล ท่านพระอนุรุทธ ได้มีความคิดนี้ว่า บัดนี้พระผู้มีพระภาค ประทับอยู่ ณ ที่ไหนหนอแล ท่านพระอนุรุทธได้เห็นแล้วแลซึ่งพระผู้มีพระภาค ฯลฯ ด้วยจักษุเพียงดังทิพย์ ครั้นแล้วได้หายไปในพระวิหารเชตวัน ปรากฏแล้ว ในพรหมโลก นั้น ปานดังบุรุษมีกำลัง ฯลฯ ฉะนั้น
ลำดับนั้นแล ท่านพระอนุรุทธ อาศัยทิศอุดร(ทิศเหนือ) นั่งขัดสมาธิ ในวิเวหา เบื้องบน ของพรหม นั้น (แต่) ต่ำกว่าพระผู้มีพระภาค เข้าเตโชธาตุกสิณ แล้ว
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ท่านพระมหาโมคคัลลานะเป็นผู้ กล่าวกะพรหม
[๕๗๙] ครั้งนั้นแล ท่านพระมหาโมคคัลลานะ ได้กล่าวกะพรหมด้วย คาถาว่า ผู้มีอายุ ทิฐิในก่อนของท่าน แม้ในวันนี้ก็ยังมีแก่ท่านหรือ ท่านเห็นพระผู้มีพระภาค ผู้เป็นไป ล่วงวิเศษ ผู้เป็นเบื้องหน้าของสัตว์ในพรหมโลกหรือ
[๕๘๐] พรหมนั้นตอบว่า ข้าแต่ท่านผู้นิรทุกข์ ทิฐิในเก่าก่อน ของข้าพเจ้า มิได้มีแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าย่อมเห็น พระผู้มีพระภาคผู้เป็นไปล่วงวิเศษ ผู้เป็นเบื้องหน้า ของสัตว์ในพรหมโลก ไฉนในวันนี้ ข้าพเจ้าจะพึงกล่าวว่า "เราเป็นผู้เที่ยงเป็นผู้ติดต่อ กัน" ดังนี้เล่าฯ
[๕๘๑] ลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคยังพรหมนั้นให้สลดใจแล้ว ได้หายไปใน พรหมโลก นั้น ปรากฏแล้วในพระวิหาร เชตวัน ปานดังบุรุษมีกำลัง พึงเหยียดออก ซึ่งแขน ที่คู้เข้า หรือพึงคู้เข้า ซึ่งแขนที่ได้เหยียดออกแล้ว ฉะนั้น
ลำดับนั้นแล พรหมได้เรียก พรหมปาริสัชชะ องค์หนึ่งมาว่า แน่ะท่าน ผู้นิรทุกข์ ท่านจงมา ท่านจงเข้าไปหาท่านพระมหาโมคคัลลานะจนถึงที่อยู่ ครั้นแล้ว จงกล่าว กะท่านพระหาโมคคัลลานะอย่างนี้ว่า ข้าแต่ท่านผู้นิรทุกข์ สาวกทั้งหลาย ของพระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น แม้เหล่าอื่นซึ่งมีฤทธิ์มากมีอานุภาพมาก เหมือนกับ ท่านพระมหาโมคคัลลานะ ท่านพระกัสสปท่านพระกัปปินะ และท่านพระอนุรุทธะ ผู้เจริญ ก็ยังมีอยู่หรือหนอแล
พรหมปาริสัชชะ นั้นรับคำของพรหมนั้นว่า อย่างนั้นท่านผู้นิรทุกข์ แล้ว หายไป ในพรหมโลกนั้น ปรากฏแล้วข้างหน้า ท่านพระมหาโมคคัลลานะ ปานดัง บุรุษมีกำลัง ฯลฯ ฉะนั้น
[๕๘๒] ครั้งนั้นแล พรหมปาริสัชชะนั้น อภิวาทท่านพระมหาโมคคัลลานะแล้ว ได้ยืนอยู่ ในที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พรหมปาริสัชชะนั้นยืน ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้กล่าวคำนี้กะท่าน พระมหาโมคคัลลานะว่า ข้าแต่ท่านผู้นิรทุกข์ สาวกทั้งหลาย ของพระผู้มีพระภาค พระองค์นั้นแม้เหล่าอื่นซึ่งมีฤทธิ์มาก มีอานุภาพมากเหมือนกับ ท่านพระมหาโมคคัลลานะ ท่านพระกัสสป ท่านพระกัปปินะ และ ท่านพระอนุรุทธะ ก็ยังมีอยู่ หรือหนอ
[๕๘๓] ลำดับนั้นแล ท่านพระมหาโมคคัลลานะได้กล่าวกะพรหมปาริสัชชะ ด้วยาถาว่า สาวกทั้งหลายของพระพุทธเจ้า ซึ่งได้วิชชา ๓ บรรลุอิทธิวิธีญาณ และ ฉลาดในเจโตปริยญาณ หมดอาสวะ ไกลจากกิเลส มีอยู่มากดังนี้
[๕๘๔] ลำดับนั้นแล พรหมปาริสัชชะ นั้นชื่นชมอนุโมทนาภาษิตของ ท่านมหาโมคคัลลานะแล้ว เข้าไปหา พรหมนั้นถึงที่อยู่ ครั้นแล้วได้กล่าวคำนี้ กะพรหมนั้นว่า ข้าแต่ท่านผู้นิรทุกข์ พระมหาโมคคัลลานะกล่าวเช่นนี้ว่า สาวก ทั้งหลาย ของพระพุทธเจ้า ซึ่งได้วิชชา ๓ บรรลุอิทธิวิธีญาณ และ ฉลาดใน เจโตปริยญาณ หมดอาสวะ ไกลจากกิเลส มีอยู่มาก ดังนี้
[๕๘๕] พรหมปาริสัชชะได้กล่าวคำนี้แล้ว พรหมมีใจยินดีชื่นชมภาษิต ของ พรหมปาริสัชชะ นั้นแลฯ |