เว็บไซต์ อนาคามี เผยแพร่คำพระศาสดา เผยแพร่คำสอนตถาคต เว็บไซต์เผยแพร่พระสุตรคำสอนของพระพุทธเจ้า คลิปคำสอน คลิปสาธยายธรรม
ค้นหาพระสูตร เรียงตามอักษร
 
  มารผู้มีบาป โตวาทะกับพระผู้มีพระภาค 929
 
(เนื้อหาพอสังเขป)

ตโปกรรมสูตรที่ ๑
มาร : มาณพทั้งหลายย่อมบริสุทธิ์ ได้ด้วยการบำเพ็ญตบะใด ท่านหลีกจากตบะนั้น เสียแล้ว เป็นผู้ไม่บริสุทธิ์ มาสำคัญตนว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ ท่านพลาดจากมรรคาแห่งความบริสุทธิ์ เสียแล้ว

พระผู้มีพระภาค : ตบะอื่นๆ อย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ตบะทั้งหมด หาอำนวยประโยชน์ให้ไม่ ดุจไม้แจวหรือไม้ถ่อ ไม่อำนวยประโยชน์บนบก ฉะนั้น (เรา) จึงเจริญมรรค คือ ศีล สมาธิ และปัญญา เพื่อความตรัสรู้เป็นผู้บรรลุความบริสุทธิ์ อย่าง ยอดเยี่ยมแล้ว ดูกรมารผู้กระทำซึ่งที่สุด ตัวท่านเป็นผู้ที่เรากำจัดเสียได้แล้ว


นาคสูตรที่ ๒
มาร : มารผู้บาปใคร่จะให้เกิดความกลัว ความครั่นคร้าม ขนลุก ขนพองแด่พระผู้มีพระภาค จึงเนรมิตเพศเป็นพระยาช้างใหญ่ เข้าไปใกล้พระผู้มี พระภาค ถึงที่ประทับ

พระผู้มีพระภาค : ท่านจำแลง เพศทั้งที่งาม และไม่งาม ท่องเที่ยวอยู่ตลอดกาลอันยืดยาวนาน มารผู้มี บาปเอ๋ย ไม่พอ ที่ท่านจะทำการจำแลงเพศนั้นเลย ดูกรมารผู้กระทำซึ่งที่สุด ตัวท่าน เป็นผู้ที่เรากำจัด เสียได้แล้ว


สุภสูตรที่ ๓
มาร : มารผู้มีบาปใคร่จะให้เกิดความกลัว ความครั่นคร้าม ขนลุกขนพองแด่พระผู้มีพระภาค จึงเข้าไปใกล้พระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ แล้วแสดง เพศต่างๆ หลากหลาย ทั้งที่งาม ทั้งที่ไม่งาม

พระผู้มีพระภาค : ดูกรมาร ผู้กระทำซึ่งที่สุด ตัวท่านเป็นผู้ที่เรากำจัด เสียได้แล้ว ฯ และชนเหล่าใด สำรวมดีแล้ว ด้วยกาย ด้วยวาจา และด้วยใจ ชนเหล่านั้น ย่อมไม่เป็นผู้ตกอยู่ใน อำนาจของมารชนเหล่านั้น


ปฐมปาสสูตรที่ ๔
มาร : ท่านเป็นผู้ที่ถูกเราผูกไว้แล้ว ด้วยบ่วงของมาร ทั้งที่เป็นของทิพย์ ทั้งที่เป็นของมนุษย์ ท่านเป็นผู้ที่ถูกเราผูกไว้แล้ว ด้วยเครื่องผูกของมาร ดูกรสมณะ ท่านจักไม่หลุดพ้นจากวิสัยของเราไปได้

พระผู้มีพระภาค : เราเป็นผู้พ้นแล้วจากบ่วงของมาร ทั้งที่เป็นของทิพย์ ทั้งที่เป็น ของมนุษย์ เราเป็นผู้พ้นแล้วจากเครื่องผูกของมาร ดูกรมาร ผู้กระทำซึ่งความพินาศ ท่านเป็นผู้ที่เรากำจัดเสียได้แล้ว


ปฐมปาสสูตรที่ ๔
มาร : ท่านเป็นผู้ที่ถูกเราผูกไว้แล้ว ด้วยบ่วงของมาร ทั้งที่เป็นของทิพย์ ทั้งที่เป็นของมนุษย์ ท่านเป็นผู้ที่ถูกเราผูกไว้แล้ว ด้วยเครื่องผูกของมาร ดูกรสมณะ ท่านจักไม่หลุดพ้นจากวิสัยของเราไปได้

พระผู้มีพระภาค ตรัสกะมารผู้มีบาป ด้วยพระคาถาว่า เราเป็นผู้พ้นแล้วจากบ่วงของมาร ทั้งที่เป็นของทิพย์ ทั้งที่เป็น ของมนุษย์ เราเป็นผู้พ้นแล้วจากเครื่องผูกของมาร ดูกรมาร ผู้กระทำซึ่งความพินาศ ท่านเป็นผู้ที่เรากำจัดเสียได้แล้ว

ทุติยปาสสูตรที่ ๕
มาร : ท่านเป็นผู้ที่ถูกเราผูกไว้แล้วด้วยบ่วงทั้งปวง ทั้งที่เป็นของทิพย์ ทั้งที่เป็น ของมนุษย์ ท่านเป็นผู้ที่ถูกเราผูกไว้แล้ว ด้วยเครื่องพันธนาการอันใหญ่ดูกรสมณะ ท่านจักไม่พ้นไปจากวิสัยของเราได้

พระผู้มีพระภาค : เราเป็นผู้พ้นแล้ว จากบ่วงทั้งปวง ทั้งที่เป็นของทิพย์ ทั้งที่เป็นของมนุษย์เรา เป็นผู้พ้นแล้วจากเครื่อง พันธนาการ อันใหญ่ ดูกรมารผู้กระทำซึ่งความพินาศ ท่านเป็นผู้ที่เรากำจัดเสียได้แล้ว


สัปปสูตรที่ ๖
มาร : มารผู้มีบาปใคร่จะให้เกิดความกลัว ความครั่นคร้าม ขนลุกขนพองแก่ พระผู้มีพระภาค จึงนิรมิตเพศเป็นพระยางูใหญ่เข้าไปใกล้ พระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับกาย ของพระยางูนั้น เป็นเหมือนเรือลำใหญ่ที่ขุดด้วยซุงทั้งต้น

พระผู้มีพระภาค : ได้ตรัสกะมารว่า มุนีเสพเรือนว่างเปล่าเพื่ออยู่อาศัย มุนีนั้นเป็นผู้มีตน อันสำรวมแล้ว สัตว์ที่สัญจรไปมาก็มาก สิ่งที่น่ากลัวก็มาก พระพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมไม่ทรง ทำการป้องกันในเพราะอุปธิ (คือขันธ์) ทั้งหลาย (ไม่ยึดขันธ์ ๕ แล้ว จึงไม่หวาดหวั่น เปรียบเหมือนอยู่เรือนวาง ไม่อาลัยในเรือน )

สุปปติสูตรที่ ๗
พระผู้มีพระภาคเสด็จจงกรมอยู่ในที่กลางแจ้ง เกือบตลอดราตรี ทรงสำเร็จสีหไสยา ทรงมี พระสติสัมปชัญญะ ทรงทำความหมายในอันจะเสด็จลุกขึ้นไว้ในพระหฤทัย 

มาร : ท่านหลับหรือ ท่านจะหลับเสียทำไมนะ ท่านหลับเป็นตายเทียวหรือนี่ ท่านหลับโดยสำคัญว่า เราได้เรือนว่างเปล่ากระนั้นหรือ เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นโด่งแล้ว ท่านยังจะหลับอยู่หรือนี่

พระผู้มีพระภาค :  พระพุทธเจ้าซึ่งไม่มีตัณหา ดุจข่าย ซึ่งแส่ไปในอารมณ์ต่างๆ สำหรับจะนำไปสู่ภพไหนๆ ย่อมบรรทมหลับ เพราะความสิ้นไปรอบแห่งอุปธิทั้งปวง กงการอะไรของท่านในเรื่องนี้เล่ามารเอ๋ย

นันทนสูตรที่ ๘
มาร : คนมีบุตร ย่อมเพลิดเพลินเพราะบุตร คนมีโคก็ย่อมเพลิดเพลินเพราะโค ฉันนั้นเหมือนกัน อุปธิทั้งหลายนั่นแล เป็นเครื่องเพลิดเพลินของนรชน เพราะคนที่ไม่มี อุปธิ หาเพลิดเพลินไม่

พระผู้มีพระภาค : คนมีบุตร ย่อมเศร้าโศกเพราะบุตร คนมีโค ก็ย่อมเศร้าโศกเพราะโค ฉัน นั้นเหมือนกัน อุปธิทั้งหลายนั่นแล เป็นเหตุเศร้าโศกของ นรชน เพราะคนที่ไม่มีอุปธิหาเศร้าโศกไม่

ปฐมอายุสูตรที่ ๙
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อายุของมนุษย์ทั้งหลายนี้ น้อยนัก จำต้องไปสู่ สัมปรายภพ ควรทำกุศล ควรประพฤติพรหมจรรย์ สัตว์ผู้เกิดมาแล้ว จะไม่ตาย ไม่มี คนที่เป็นอยู่นาน ย่อมเป็นอยู่ได้ เพียงร้อยปี หรือจะอยู่เกินไปได้บ้าง ก็มีน้อย

มาร :อายุของมนุษย์ทั้งหลายยืนยาว คนดี ไม่ควรดูหมิ่นอายุนั้นเลย ควรประพฤติดุจเด็กอ่อนที่ มุ่งแต่จะกินนม ฉะนั้น การมาแห่ง มัจจุไม่มี

พระผู้มีพระภาค : อายุของมนุษย์ทั้งหลายน้อย คนดีควรดูหมิ่นอายุนั้น เสีย ควรประพฤติดุจคนที่ถูกไฟไหม้ศีรษะ ฉะนั้น การที่จะไม่มาแห่งมัจจุไม่มีเลย

ทุติยอายุสูตรที่ ๑๐
ดูกรภิกษุทั้งหลาย อายุของมนุษย์ทั้งหลายนี้น้อยนัก จำต้องไป สู่สัมปรายภพ ควรทำกุศล ควรประพฤติพรหมจรรย์ สัตว์ผู้เกิดแล้วจะไม่ตายไม่มีเลย คนที่เป็นอยู่นาน ย่อมเป็นอยู่ได้เพียงร้อยปี หรือจะเกินขึ้นไปก็น้อย

มาร : วันคืนย่อมไม่ผ่านพ้นไป ชีวิตย่อมไม่รุกร้นไป อายุย่อมจรตามสัตว์ทั้งหลายไป ดุจ กงจร ตามธูปรถไป ฉะนั้น ดังนี้

พระผู้มีพระภาค : วันคืนย่อมผ่านพ้นไป ชีวิตย่อมรุกร้นไป อายุของ สัตว์ทั้งหลาย ย่อมสิ้นเปลืองไป ดุจน้ำแห่งแม่น้ำน้อย ฉะนั้น


 
 


ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๕ สุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค หน้าที่ ๑๒๗

มารสังยุต ปฐมวรรคที่ ๑ (คัดย่อ)


ตโปกรรมสูตรที่ ๑

                [๔๑๖] พระผู้มีพระภาคได้เกิดความปริวิตกว่า โอเราเป็นผู้พ้นจาก ทุกกรกิริยา นั้นแล้ว อันไม่ประกอบด้วยประโยชน์นั้น โอสาธุ เราเป็นสัตว์ที่บรรลุ โพธิญาณแล้ว

มารผู้มีบาปทราบความปริวิตกของพระผู้มีพระภาคด้วยจิต จึงเข้าไปกราบทูลด้วยคาถา ว่า มาณพทั้งหลายย่อมบริสุทธิ์ ได้ด้วยการบำเพ็ญตบะใด ท่านหลีกจากตบะนั้น เสียแล้ว เป็นผู้ไม่บริสุทธิ์ มาสำคัญตน ว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ ท่านพลาดจากมรรคาแห่ง ความบริสุทธิ์ เสียแล้ว

นี่มารผู้มีบาป ตบะอื่นๆ อย่างใดอย่างหนึ่ง ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ตบะทั้งหมด หาอำนวยประโยชน์ให้ไม่ ดุจไม้แจวหรือไม้ถ่อ ไม่อำนวยประโยชน์บนบก ฉะนั้น (เรา) จึงเจริญมรรค คือ ศีล สมาธิ และปัญญา เพื่อความตรัสรู้เป็นผู้บรรลุความบริสุทธิ์ อย่าง ยอดเยี่ยมแล้ว ดูกรมารผู้กระทำซึ่งที่สุด ตัวท่านเป็นผู้ที่เรากำจัดเสียได้แล้ว
 

นาคสูตรที่ ๒

                [๔๒๐] ครั้งนั้นแล มารผู้บาปใคร่จะให้เกิดความกลัว ความครั่นคร้าม ขนลุก ขนพองแด่พระผู้มีพระภาค จึงเนรมิตเพศเป็นพระยาช้างใหญ่ เข้าไปใกล้พระผู้มี พระภาค ถึงที่ประทับ

พระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า นี่มารผู้มีบาป ได้ตรัสกะมารด้วยพระคาถาว่า ท่านจำแลง เพศทั้งที่งาม และไม่งาม ท่องเที่ยวอยู่ตลอดกาลอันยืดยาวนาน มารผู้มี บาปเอ๋ย ไม่พอ ที่ท่านจะทำการจำแลงเพศนั้นเลย ดูกรมารผู้กระทำซึ่งที่สุด ตัวท่าน เป็นผู้ที่เรากำจัด เสียได้แล้ว

สุภสูตรที่ ๓

                [๔๒๒] ก็โดยสมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคประทับนั่งในที่กลางแจ้ง ในราตรี อันมืดทึบ และฝน กำลังตกประปรายอยู่ ครั้งนั้นแลมารผู้มีบาปใคร่จะให้เกิด ความกลัว ความครั่นคร้าม ขนลุกขนพองแด่พระผู้มีพระภาค จึงเข้าไปใกล้พระผู้ม ีพระภาค ถึงที่ประทับ แล้วแสดง เพศต่างๆ หลากหลาย ทั้งที่งามทั้งที่ไม่งาม ในที่ไม่ไกล แต่พระผู้มีพระภาค ฯ

พระผู้มีพระภาคตรัสกะมารว่า ท่านจำแลงเพศทั้งที่งาม ทั้งที่ไม่งาม ท่องเที่ยวอยู่ ตลอดกาล อันยืดยาวนาน มารผู้มีบาปเอ๋ย ไม่พอที่ท่านจะทำการจำแลงเพศนั้นเลย ดูกรมาร ผู้กระทำซึ่งที่สุด ตัวท่านเป็นผู้ที่เรากำจัด เสียได้แล้ว ฯและชนเหล่าใด สำรวมดีแล้ว ด้วยกาย ด้วยวาจา และด้วยใจ ชนเหล่านั้น ย่อมไม่เป็นผู้ตกอยู่ใน อำนาจของมารชนเหล่านั้น ย่อมไม่เป็นผู้เดินตามหลัง

ปฐมปาสสูตรที่ ๔

                [๔๒๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความหลุดพ้นอย่างยอดเยี่ยมเราบรรลุแล้ว เรากระทำให้แจ้งแล้ว เพราะการกระทำไว้ในใจโดยแยบคาย เพราะการตั้งความเพียร ไว้ ชอบโดยแยบคาย  ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้เธอทั้งหลายก็จงบรรลุซึ่งความหลุดพ้น อย่างยอดเยี่ยม จงกระทำให้แจ้งซึ่งความหลุดพ้นอย่างยอดเยี่ยม เพราะการ กระทำไว้ ในใจ โดยแยบคายเพราะการตั้งความเพียรไว้ชอบโดยแยบคายเถิด  

ครั้งนั้นแล มารผู้มีบาปได้ทูลพระผู้มีพระภาคด้วยคาถาว่า ท่านเป็นผู้ที่ถูกเราผูกไว้แล้ว ด้วยบ่วงของมาร ทั้งที่เป็นของทิพย์ ทั้งที่เป็นของมนุษย์ ท่านเป็นผู้ที่ถูกเราผูกไว้แล้ว ด้วยเครื่องผูกของมาร ดูกรสมณะ ท่านจักไม่หลุดพ้นจากวิสัยของเราไปได้

พระผู้มีพระภาคตรัสกะมารผู้มีบาป ด้วยพระคาถาว่า เราเป็นผู้พ้นแล้วจากบ่วงของมาร ทั้งที่เป็นของทิพย์ ทั้งที่เป็น ของมนุษย์ เราเป็นผู้พ้นแล้วจากเครื่องผูกของมาร ดูกรมาร  ผู้กระทำซึ่งความพินาศ ท่านเป็นผู้ที่เรากำจัดเสียได้แล้ว

 

ทุติยปาสสูตรที่ ๕

                [๔๒๘ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราพ้นแล้วจากบ่วงทั้งปวงทั้งที่เป็น ของทิพย์ ทั้งที่เป็นของมนุษย์ แม้เธอทั้งหลายก็พ้นแล้วจากบ่วงทั้งปวง ทั้งที่เป็น ของทิพย์ ทั้งที่เป็นของมนุษย์ เธอทั้งหลายจงเที่ยวจาริกไปเพื่อประโยชน์ เกื้อกูลแก่ชนหมู่มาก เพื่อความสุขแก่ชน หมู่มาก เพื่ออนุเคราะห์โลก เพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุข แก่เทวดา  และมนุษย์ทั้งหลาย เธอทั้งหลายอย่าได้ไป ด้วยกัน ๒ รูป โดยทางเดียวกัน เธอทั้งหลายจงแสดงธรรมงามในเบื้องต้น งามในท่ามกลางง ามในที่สุดจงประกาศ พรหมจรรย์ พร้อมทั้งอรรถ พร้อมทั้งพยัญชนะ บริสุทธิ์บริบูรณ์สิ้นเชิง สัตว์ทั้งหลายผู้มี ธุลีในจักษุน้อยมีอยู่ เพราะไม่ได้ฟังธรรมย่อมเสื่อมรอบ ผู้รู้ทั่วถึงซึ่งธรรมจักมี แม้เรา ก็จักไป ยังอุรุเวลาเสนานิคม เพื่อแสดงธรรม

ครั้งนั้นแล มารผู้มีบาปเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ แล้วได้ทูลพระผู้มีพระภาค ด้วยคาถาว่า ท่านเป็นผู้ที่ถูกเราผูกไว้แล้วด้วยบ่วงทั้งปวง ทั้งที่เป็นของทิพย์  ทั้งที่เป็น ของมนุษย์ ท่านเป็นผู้ที่ถูกเราผูกไว้แล้ว ด้วยเครื่องพันธนาการอันใหญ่ดูกรสมณะ ท่านจักไม่พ้นไปจากวิสัยของเราได้

พระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า นี่มารผู้มีบาป จึงได้ตรัสด้วยพระคาถาว่า เราเป็นผู้พ้นแล้ว จากบ่วงทั้งปวง ทั้งที่เป็นของทิพย์ ทั้งที่เป็นของมนุษย์เรา เป็นผู้พ้นแล้วจากเครื่อง พันธนาการ อันใหญ่ ดูกรมารผู้กระทำซึ่งความพินาศ ท่านเป็นผู้ที่เรากำจัดเสียได้แล้ว

สัปปสูตรที่ ๖

                [๔๓๑] ก็โดยสมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคได้ประทับนั่งในที่กลางแจ้ง ในราตรีอันมืดทึบ และฝนกำลังตกประปรายอยู่

ครั้งนั้นแล มารผู้มีบาปใคร่จะให้เกิดความกลัว ความครั่นคร้าม ขนลุกขนพองแก่ พระผู้มี พระภาค จึงนิรมิตเพศเป็นพระยางูใหญ่เข้าไปใกล้ พระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับกาย ของพระยางูนั้น เป็นเหมือนเรือลำใหญ่ที่ขุดด้วยซุงทั้งต้น พังพานของมัน เป็นเหมือนเสื่อ ลำแพนผืนใหญ่ สำหรับปูตากแป้งของช่างทำสุรา นัยน์ตาของมัน เป็นเหมือนถาด สำริดใบใหญ่ ของพระเจ้าโกศล ลิ้นของมันแลบออกจากปาก เหมือนสายฟ้าแลบ ในขณะที่เมฆกำลังกระหึ่มฉะนั้น เสียงหายใจเข้าออกของมัน เหมือนเสียงสูบช่างทอง ที่กำลังพ่นลมอยู่ก็ปานกัน

ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคทรงทราบว่า นี่มารผู้มีบาป ดังนี้ จึงได้ตรัสกะมาร ด้วยพระคาถาทั้งหลายว่า มุนีเสพเรือนว่างเปล่าเพื่ออยู่อาศัย มุนีนั้นเป็นผู้มีตน อันสำรวม แล้ว เขาสละความอาลัยในอัตภาพนั้นเที่ยวไป เพราะการสละความอาลัย ในอัตภาพแล้วเที่ยวไปนั้น เหมาะสมแก่ผู้เช่นนั้นฯ สัตว์ที่สัญจรไปมาก็มาก สิ่งที่น่ากลัวก็มาก อนึ่ง เหลือบและสัตว์เลื้อยคลานก็ชุกชุม (แต่) มหามุนีผู้อยู่ ในเรือนว่างเปล่า ย่อมไม่ยังแม้แต่ ขนให้ไหว้ ในเพราะสิ่งที่น่ากลัวเหล่านั้น ถึงแม้ท้องฟ้าจะพึงแตก แผ่นดินจะพึงไหว สัตว์ทั้งหลาย พึงสะดุ้งกลัวกันหมดก็ตามที แม้ถึงว่าหอกหรือหลาวจะจ่อ อยู่ที่อก ก็ตามเถิด พระพุทธเจ้าทั้งหลายย่อมไม่ทรง ทำการป้องกันในเพราะอุปธิ (คือขันธ์) ทั้งหลาย (ไม่ยึดขันธ์ ๕ แล้ว จึงไม่หวาดหวั่น เปรียบเหมือนอยู่เรือนวาง ไม่อาลัยในเรือน )

สุปปติสูตรที่ ๗

                [๔๓๔] ครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเสด็จจงกรมอยู่ในที่กลางแจ้ง เกือบตลอดราตรี ในสมัยใกล้รุ่งแห่งราตรี ทรงล้างพระบาทแล้วเสด็จเข้าพระวิหาร ทรงสำเร็จสีหไสยา โดยพระปรัศเบื้องขวา ทรงเหลื่อมพระบาทด้วยพระบาท ทรงมี พระสติสัมปชัญญะ ทรงทำความหมายในอันจะเสด็จลุกขึ้นไว้ในพระหฤทัย 

ครั้งนั้นแล มารผู้มีบาปได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค แล้วได้กราบทูลพระผู้มีพระภาค ด้วยคาถาว่า ท่านหลับหรือ ท่านจะหลับเสียทำไมนะ ท่านหลับเป็นตายเทียวหรือนี่ ท่านหลับโดยสำคัญว่า เราได้เรือนว่างเปล่ากระนั้นหรือ เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นโด่งแล้ว ท่านยังจะหลับอยู่หรือนี่

พระผู้มีพระภาค จึงได้ตรัสกะมารผู้มีบาปด้วยพระคาถาว่า พระพุทธเจ้าซึ่งไม่มีตัณหา ดุจข่าย ซึ่งแส่ไปในอารมณ์ต่างๆสำหรับจะนำไปสู่ภพไหนๆ ย่อมบรรทมหลับ เพราะความสิ้นไปรอบแห่งอุปธิทั้งปวง กงการอะไรของท่านในเรื่องนี้เล่ามารเอ๋ย  

 

นันทนสูตรที่ ๘

                [๔๓๗] ครั้งนั้นแล มารผู้มีบาปได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคแล้ว กล่าว คาถานี้ ว่า คนมีบุตร ย่อมเพลิดเพลินเพราะบุตร คนมีโค ก็ย่อมเพลิดเพลินเพราะโค ฉันนั้นเหมือนกัน อุปธิทั้งหลายนั่นแล เป็นเครื่องเพลิดเพลินของนรชน เพราะคนที่ไม่มี อุปธิ หาเพลิดเพลินไม่

พระผู้มีพระภาค จึงได้ตรัสพระคาถาว่า คนมีบุตร ย่อมเศร้าโศกเพราะบุตร คนมีโค ก็ย่อมเศร้าโศกเพราะโค ฉัน นั้นเหมือนกัน อุปธิทั้งหลายนั่นแล เป็นเหตุเศร้าโศกของ นรชน เพราะคนที่ไม่มีอุปธิหาเศร้าโศกไม่

 

ปฐมอายุสูตรที่ ๙

                [๔๔๐]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย อายุของมนุษย์ทั้งหลายนี้ น้อยนัก จำต้องไปสู่ สัมปรายภพ ควรทำกุศล ควรประพฤติพรหมจรรย์ สัตว์ผู้เกิดมาแล้ว จะไม่ตาย ไม่มี คนที่เป็นอยู่นาน ย่อมเป็นอยู่ได้ เพียงร้อยปี หรือจะอยู่เกินไปได้บ้าง ก็มีน้อย

มารผู้มีบาปได้เข้าไปเฝ้า แล้วได้กราบทูลว่า อายุของมนุษย์ทั้งหลายยืนยาว คนดี ไม่ควรดูหมิ่นอายุนั้นเลย  ควรประพฤติดุจเด็กอ่อนที่ มุ่งแต่จะกินนม ฉะนั้น การมาแห่ง มัจจุไม่มี

พระผู้มีพระภาคตรัสกะมาร ว่า อายุของมนุษย์ทั้งหลายน้อย คนดีควรดูหมิ่นอายุนั้น เสีย ควรประพฤติดุจคนที่ถูกไฟไหม้ศีรษะ ฉะนั้น  การที่จะไม่มาแห่งมัจจุไม่มีเลย

ทุติยอายุสูตรที่ ๑๐

                [๔๔๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อายุของมนุษย์ทั้งหลายนี้น้อยนัก จำต้องไป สู่สัมปรายภพ ควรทำกุศล ควรประพฤติพรหมจรรย์ สัตว์ผู้เกิดแล้วจะไม่ตายไม่มีเลย คนที่เป็นอยู่นาน ย่อมเป็นอยู่ได้เพียงร้อยปี หรือจะเกินขึ้นไปก็น้อย

มารผู้มีบาป ได้เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคแล้วได้กราบทูลว่า วันคืนย่อมไม่ผ่านพ้นไป ชีวิตย่อมไม่รุกร้นไป อายุย่อมจรตามสัตว์ทั้งหลายไป ดุจ กงจร ตามธูปรถไป ฉะนั้น ดังนี้

พระผู้มีพระภาคตรัสกะมารว่า วันคืนย่อมผ่านพ้นไป ชีวิตย่อมรุกร้นไป อายุของ สัตว์ทั้งหลาย ย่อมสิ้นเปลืองไป ดุจน้ำแห่งแม่น้ำน้อย ฉะนั้น

               

 

 

;
;
พุทธวจน : อ่านคำสอนพระศาสดา อ่านแบบสบายตา โดยคัดลอกหนังสือทั้งเล่มมาจัดทำเป็นเว็บเพจ (คลิกอ่านพร้อมดาวน์โหลดไฟล์ pdf)
90 90 90 90  
 
พุทธประวัติ ขุมทรัพย์
อริยสัจ
ภาคต้น
อริยสัจ
ภาคปลาย
ปฏิจจ ปฐมธรรม ตถาคต อนาคามี อินทรีย์
สังวร
สัตว์
สัตตานัง
ทาน
สกทาคามี
ฆราวาส
ชั้นเลิศ
มรรควิธี
ที่ง่าย
 
   
อริยวินัย เดรัจฉานวิชา กรรม สมถะ
วิปัสสนา
โสดาบัน อานา
ปานสติ
จิต มโน
วิญญาณ
ก้าวย่าง
อย่างพุทธะ
ตามรอย
ธรรม
ภพ ภูมิ
พุทธวจน
สาธยาย
ธรรม
สังโยชน์