เว็บไซต์ อนาคามี เผยแพร่คำพระศาสดา เผยแพร่คำสอนตถาคต เว็บไซต์เผยแพร่พระสุตรคำสอนของพระพุทธเจ้า คลิปคำสอน คลิปสาธยายธรรม
ค้นหาพระสูตร เรียงตามอักษร
 
  มารผู้มีบาป มารรังควานภิกษุณี ๑๐ พระสูตร (น่าจะเป็นอรรถกถาทั้ง ๑๐ พระสูตร) 928
 

มารผู้มีบาป มารรังควานภิกษุณี ๑๐ พระสูตร

1.
มาร
ในโลกไม่มีทางออกไปจากทุกข์ได้ ท่านจักทำอะไรด้วยวิเวก จงเสวยความยินดีในกาม เถิด อย่าได้มีความเดือดร้อนในภายหลังเลย
อาฬวิกาภิกษุณี ในโลกนี้มีทางออกไปจากทุกข์ได้ เรารู้ชัดดีแล้วด้วยปัญญา ดูกรมารผู้มีบาป ซึ่งเป็น เผ่าพันธุ์ของผู้ประมาท ท่านไม่รู้จักทางนั้น กามทั้งหลายเปรียบด้วย หอกและหลาว กองกาม ทั้งหลายนั้นประหนึ่งว่าผีร้าย เราไม่ใยดีถึงความยินดีในกาม ที่ท่านกล่าวถึงนั้น


2.
มาร
สตรีมีปัญญาเพียงสองนิ้ว ไม่อาจถึงฐานะอันจะพึงอดทนได้ด้วยยาก ซึ่งท่าน ผู้แสวงทั้งหลาย จะพึงถึงได้ ฯ
โสมาภิกษุณี ความเป็นสตรีจะทำอะไรได้ เมื่อจิตตั้งมั่นดีแล้ว เมื่อญาณเป็นไปแก่ผู้เห็น ธรรมอยู่ โดยชอบ ผู้ใดจะพึงมีความคิดเห็นแน่อย่างนี้ว่า เราเป็นสตรี หรือว่าเราเป็นบุรุษ หรือจะยังมีความ เกาะเกี่ยวว่าเรามีอยู่ มารควรจะกล่าวกะผู้นั้น


3.
มาร ท่านมีบุตรตายแล้ว มานั่งอยู่คนเดียว มีหน้าเหมือนคนร้องไห้ มาอยู่กลางป่าคนเดียว กำลังแสวงหาบุรุษบ้างหรือหนอ
กิสาโคตมีภิกษุณี ท่านมีบุตรตายแล้ว มานั่งอยู่คนเดียว มีหน้าเหมือนคนร้องไห้ มาอยู่กลางป่า คนเดียว กำลังแสวงหาบุรุษบ้างหรือหนอ


4.
มาร
เธอยังเป็นสาว มีรูปงาม และฉันก็ยังมาเถิดนาง เรามาอภิรมย์กันด้วยดนตรี มีองค์ห้า
วิชยาภิกษุณี ดูกรมาร รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อันน่ารื่นรมย์ใจ เราขอมอบให้ท่านผู้เดียว เพราะเราไม่ต้องการมัน เราอึดอัด ระอาด้วยกายเน่า อันจะแตกทำลาย เปื่อยพังไปนี้ กามตัณหา เราถอนได้แล้วความมืดในรูปภพ ที่สัตว์ทั้งหลายเข้าถึง ในอรูปภพที่สัตว์ทั้งหลายเป็นภาคี และ ในสมาบัติอันสงบทั้งปวง เรากำจัดได้แล้ว


5.
มาร ดูกรภิกษุณี ท่านคนเดียว เข้ามายังต้นสาลพฤกษ์ ซึ่งมีดอกบานสะพรั่งตลอดยอด แล้วยืนอยู่ ที่โคนต้นสาลพฤกษ์ ก็ฉวีวรรณของท่านไม่มีที่สอง คนทั้งหลายก็จะมาในที่นี้เช่นท่าน ท่านกลัวพวก นักเลงเพราะความเขลาหรือ
อุบลวรรณาภิกษุณี  แม้นักเลงตั้งแสนมาในที่นี้ ก็ตามเถิด เราไม่สะเทือนขน ไม่สะดุ้ง ดูกรมาร ถึงเรา คนเดียว ก็ไม่กลัวท่าน เรานี้จะหายตัวหรือเข้าท้องพวกท่าน แม้จะยืนอยู่ ณ ระหว่าง ดวงตาบนดั้งจมูก ท่านจักไม่เห็นเราฯ เราเป็นผู้ชำนาญในจิต อิทธิบาทเราเจริญดีแล้ว เราพ้นแล้ว จากเครื่องผูกทุกชนิด เราไม่กลัวท่านดอกท่านผู้มีอาย


6.
มาร ท่านไม่ชอบใจอะไรหนอฯ จาลาภิกษุณี
จาลาภิกษุณี  ตอบว่า ดูกรท่านผู้มีอายุ เราไม่ชอบ ความเกิดเลย

มาร เพราะเหตุไรหนอ ท่านจึงไม่ชอบความเกิดผู้เกิดมาแล้วย่อม บริโภคกาม ใครหนอให้ท่าน ยึดถือ เรื่องนี้ อย่าเลยภิกษุณี ท่านจงชอบความเกิดขึ้น
จาลาภิกษุณี  ความตายย่อมมีแก่ผู้ที่เกิดมาแล้ว ผู้ที่เกิดมาแล้วย่อมพบเห็นทุกข์ คือการจองจำ การฆ่า ความเศร้าหมอง เพราะฉะนั้น เราจึงไม่ชอบความเกิด  พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม เป็นเครื่อง ก้าวล่วง ความเกิด พระองค์สอนให้เราตั้งอยู่ในสัจจะ เพื่อละทุกข์ทั้งมวล สัตว์เหล่าใดเข้าถึงรูปภพ และสัตว์ เหล่าใดเป็นภาคีแห่ง อรูปภพ สัตว์เหล่านั้นเมื่อยังไม่รู้นิโรธ ต้องมาสู่ภพอีก


7.

มาร ดูกรภิกษุณี อย่างไรหนอท่านจึงอยากจะเกิด
อุปจาลาภิกษุณี ตอบว่า ดูกรท่านผู้มีอายุ เราไม่อยากเกิดในที่ไหนๆเลย

มาร ท่านจงตั้งจิตไว้ในพวกเทพชั้นดาวดึงส์ ชั้นยาม ชั้นดุสิต ชั้นนิมมานรดี และชั้นวสวดีเถิด ท่านจัก ได้เสวยความยินดี
อุปจาลาภิกษุณี พวกเทพชั้นดาวดึงส์ ชั้นยาม ชั้นดุสิต ชั้นนิมมานรดี และชั้นวสวดี ยังผูกพันอยู่ด้วย เครื่องผูกคือกาม จำต้องกลับมาสู่อำนาจมารอีก โลกทั้งหมด เร่าร้อน โลกทั้งหมดคุเป็นควัน โลกทั้งหมดลุกโพลง โลกทั้งหมดสั่นสะเทือน ใจของเรายินดี แน่วในพระนิพพาน อันไม่สั่นสะเทือน อันไม่หวั่นไหว ที่ปุถุชนเสพไม่ได้ มิใช่คติ ของมาร


8.
มาร ดูกรภิกษุณี ท่านชอบใจทิฐิของใครหนอ ฯ
สีสุปจาลาภิกษุณี ตอบว่า ดูกรท่านผู้มีอายุ เราไม่ชอบใจทิฐิของใครเลย

มาร ท่านจงใจเป็นคนโล้น ปรากฏตัวเหมือนสมณะ แต่ไฉนท่าน จึงไม่ชอบใจทิฐิ ท่านจึงประพฤติเรื่องนี้ เพราะความงมงายดอกหรือ
สีสุปจาลาภิกษุณี คนเจ้าทิฐิ ภายนอกพระศาสนานี้ ย่อมจมอยู่ในทิฐิทั้งหลาย เราไม่ชอบใจธรรม ของพวกเขา พวกเขาเป็นคน ไม่ฉลาดต่อธรรมยังมีพระพุทธเจ้า ผู้เสด็จอุบัติในศากยสกุล หาบุคคลอื่น เปรียบมิได้ ทรงครอบงำส่วนทั้งปวง ทรงบรรเทาเสียซึ่งมาร ไม่ปราชัยในที่ทุกสถาน ทรงพ้นแล้ว ในส่วนทั้งปวง เป็นผู้อันตัณหาและทิฐิ อาศัยไม่ได้ มีพระจักษุ ทรงเห็นธรรมทั้งปวง ทรงบรรลุธรรม เป็นที่สิ้นกรรมทุกอย่าง ทรงน้อมไปในธรรมเป็นที่สิ้นอุปธิ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นเป็นศาสดาของเรา เราชอบใจคำสอนของพระองค์ท่าน


9.
มาร รูปนี้ ใครสร้าง ผู้สร้างรูปอยู่ที่ไหน รูปบังเกิดในที่ไหน รูปดับไปในที่ไหน ฯ
เสลาภิกษุณี ไม่มีใครสร้าง อัตภาพนี้ ไม่มีใครก่อ รูปเกิดขึ้นเพราะอาศัยเหตุดับไป เพราะเหตุดับ ฯ พืชชนิดใดชนิดหนึ่ง ที่บุคคลหว่านลงในนา ย่อมงอกขึ้นเพราะอาศัยเหตุ ๒ ประการ คือ รสในแผ่นดิน และยางในพืช ฉันใด ขันธ์ธาตุ และอายตนะ ๖ เหล่านี้ ก็เกิดขึ้น เพราะอาศัยเหตุดับไป ฉันนั้น


10.
มาร สัตว์นี้ ใครสร้าง ผู้สร้างสัตว์อยู่ที่ไหน สัตว์บังเกิดใน ที่ไหน สัตว์ดับไปในที่ไหน
วชิราภิกษุณี  เพราะเหตุไรหนอ ความเห็นของท่านจึงหวนกลับมาว่าสัตว์  ในกองสังขารล้วนนี้ ย่อมไม่ได้นามว่าสัตว์  เหมือนอย่างว่า เพราะคุมส่วนทั้งหลายเข้า เสียงว่ารถย่อมมี ฉันใด ฯ เมื่อขันธ์ ทั้งหลายยังมีอยู่ การสมมติว่าสัตว์ ย่อมมี ฉันนั้น ฯ ความจริงทุกข์เท่านั้นย่อมเกิด ทุกข์ย่อมตั้งอยู่ และ เสื่อมสิ้นไป นอกจากทุกข์ ไม่มีอะไรเกิด นอกจากทุกข์ ไม่มีอะไรดับ
 
 
ผู้ศึกษาควรใช้วิจารณญาณ พระสูตรเรื่องมารทั้งหมดนี้ พิจารณาแล้ว น่าจะเป็นอรรถกถา หรือคำแต่งใหม่ที่ไม่ได้เป้นคำกล่าวของพระศาสดา

ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๕ สุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค หน้าที่ ๑๕๘ – ๑๖๗


ภิกขุนีสังยุต
อาฬวิกาสูตรที่ ๑

          [๕๒๒] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ฯ

    ครั้งนั้น เวลาเช้า อาฬวิกาภิกษุณี นุ่งห่มแล้วถือบาตรและจีวร เข้าไป  บิณฑบาต ยัง พระนครสาวัตถี เที่ยวบิณฑบาตไปในพระนครสาวัตถีแล้ว เวลาปัจฉาภัต กลับจาก บิณฑบาต มีความต้องการด้วยวิเวก จึงเข้าไปในป่าอันธวัน ฯ

          [๕๒๓] ลำดับนั้น มารผู้มีบาปใคร่จะให้ อาฬวิกาภิกษุณี บังเกิดความกลัว ความหวาดเสียว ความขนพองสยองเกล้า และใคร่จะให้เคลื่อนจากวิเวก จึงเข้าไปหา อาฬวิกาภิกษุณี ถึงที่อยู่ ครั้นแล้วได้กล่าวกะอาฬวิกาภิกษุณีด้วยคาถาว่า ในโลก ไม่มีทางออกไปจากทุกข์ได้ ท่านจักทำอะไรด้วยวิเวก จงเสวยความยินดีในกาม เถิด อย่าได้มีความเดือดร้อนในภายหลังเลย ฯ

          [๕๒๔] ลำดับนั้น อาฬวิกาภิกษุณีได้มีความดำริว่า นี่ใครหนอ กล่าวคาถา จะเป็นมนุษย์ หรือ อมนุษย์ ฯ

    ทันใดนั้น อาฬวิกาภิกษุณีได้มีความดำริว่า นี่คือมารผู้มีบาป ใคร่จะให้เราบังเกิด ความกลัวความหวาดเสียว ความขนพองสยองเกล้า และใคร่จะให้ เคลื่อนจากวิเวก จึงกล่าวคาถา ฯ

    ครั้น อาฬวิกาภิกษุณีทราบว่า นี่คือมารผู้มีบาปแล้ว จึงได้กล่าวกะมารผู้มีบาป ด้วยคาถาว่าในโลกนี้มีทางออกไปจากทุกข์ได้ เรารู้ชัดดีแล้วด้วยปัญญา  ดูกรมาร ผู้มีบาปซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์ของผู้ประมาท ท่านไม่รู้จักทางนั้น กามทั้งหลายเปรียบด้วย หอกและหลาว กองกามทั้งหลายนั้นประหนึ่งว่าผีร้าย เราไม่ใยดีถึงความยินดีในกาม ที่ท่านกล่าวถึงนั้น ฯ

ลำดับนั้น มารผู้มีบาปเป็นทุกข์ เสียใจว่า อาฬวิกาภิกษุณีรู้จักเราดังนี้ จึงได้อันตรธาน ไป ในที่นั้นเอง ฯ

โสมาสูตรที่ ๒

          [๕๒๕] สาวัตถีนิทาน ฯครั้งนั้น เวลาเช้า โสมาภิกษุณี นุ่งห่มแล้ว ถือบาตร และ จีวรเข้าไป บิณฑบาตยังพระนครสาวัตถี เที่ยวบิณฑบาตไปในพระนคร สาวัตถี แล้ว เวลา ปัจฉาภัต กลับจากบิณฑบาตแล้ว เข้าไปยังป่าอันธวันเพื่อพักผ่อนกลางวัน ครั้นถึงป่าอันธวันแล้ว จึงนั่งพักกลางวันที่โคนไม้ต้นหนึ่ง ฯ

          [๕๒๖] ลำดับนั้น มารผู้มีบาปใคร่จะให้โสมาภิกษุณีบังเกิดความกลัว ความหวาดเสียวความขนพองสยองเกล้า และใคร่จะให้เคลื่อนจากสมาธิ จึง เข้าไปหา โสมา ภิกษุณีถึงที่นั่งพัก ครั้นแล้วได้กล่าว กะโสมาภิกษุณีด้วยคาถา ว่า สตรีมีปัญญาเพียงสองนิ้ว ไม่อาจถึงฐานะอันจะพึงอดทนได้ด้วยยาก ซึ่งท่าน ผู้แสวงทั้งหลายจะพึงถึงได้ ฯ

          [๕๒๗] ลำดับนั้น โสมาภิกษุณีได้มีความดำริว่า นี่ใครหนอกล่าวคาถา จะเป็นมนุษย์หรืออมนุษย์ ฯ

    ทันใดนั้น โสมาภิกษุณีได้มีความดำริว่า นี่คือมารผู้มีบาป ใคร่จะให้เรา บังเกิด ความกลัวความหวาดเสียว ความขนพองสยองเกล้า และใคร่จะให้เคลื่อนจากสมาธิ จึงกล่าวคาถา ฯ

    ครั้นโสมาภิกษุณีทราบว่า นี่คือมารผู้มีบาปแล้ว จึงได้กล่าวกะมารผู้มีบาป ด้วย คาถาว่า ความเป็นสตรีจะทำอะไรได้ เมื่อจิตตั้งมั่นดีแล้ว เมื่อญาณ เป็นไปแก่ผู้เห็น ธรรมอยู่โดยชอบ ผู้ใดจะพึงมีความคิดเห็นแน่อย่างนี้ว่า เราเป็นสตรี หรือว่าเราเป็น บุรุษ หรือจะยังมีความเกาะเกี่ยวว่า เรามีอยู่มารควรจะกล่าวกะผู้นั้น ฯ

    ลำดับนั้น มารผู้มีบาปเป็นทุกข์ เสียใจว่าโสมาภิกษุณีรู้จักเรา ดังนี้จึงได้อันตรธาน ไปในที่นั้นเอง ฯ

โคตมีสูตรที่ ๓

          [๕๒๘] สาวัตถีนิทาน ฯ ครั้งนั้น เวลาเช้า กิสาโคตมีภิกษุณี นุ่งห่มแล้ว ถือบาตรและจีวรเข้าไปบิณฑบาตในพระนครสาวัตถี เที่ยวบิณฑบาตไปใน พระนคร สาวัตถีแล้ว เวลาปัจฉาภัตกลับจากบิณฑบาตแล้ว เข้าไปยังป่าอันธวันเพื่อพักผ่อน กลางวัน ครั้นถึงป่าอันธวันแล้ว จึงนั่งพักกลางวันที่โคนไม้ต้นหนึ่ง ฯ

          [๕๒๙] ลำดับนั้น มารผู้มีบาปใคร่จะให้ กิสาโคตมีภิกษุณี บังเกิดความกลัว ความหวาดเสียว ความขนพองสยองเกล้า และใคร่จะให้เคลื่อนจากสมาธิ จึงเข้าไป หา กิสาโคตมีภิกษุณีถึงที่นั่งพัก ครั้นแล้ว ได้กล่าวกะกิสาโคตมีภิกษุณี ด้วยคาถาว่า ท่านมีบุตรตายแล้ว มานั่งอยู่คนเดียว มีหน้าเหมือนคนร้องไห้ มาอยู่กลางป่าคนเดียว กำลังแสวงหาบุรุษบ้างหรือหนอ ฯ

          [๕๓๐] ลำดับนั้น กิสาโคตมีภิกษุณีได้มีความดำริว่า นี่ใครหนอกล่าว คาถา จะเป็นมนุษย์หรืออมนุษย์ ทันใดนั้น กิสาโคตมีภิกษุณีได้มีความดำริว่านี่คือ มาร ผู้มีบาป ใคร่จะให้เราบังเกิดความกลัว ความหวาดเสียว ความขนพองสยองเกล้า และใคร่จะให้เคลื่อนจากสมาธิ จึงกล่าวคาถา ฯ

ครั้นกิสาโคตมีภิกษุณีทราบ ว่า นี่คือมารผู้มีบาปแล้ว จึงได้กล่าวกะมารผู้มีบาปด้วย คาถา ว่า เรามีบุตรตายแล้ว เหมือนความตายของบุตร ถึงที่สุดแล้ว บุรุษทั้งหลาย ก็มีความตายของบุตรนี้ เป็นที่สุด เหมือนกัน เราไม่เศร้าโศก ไม่ร้องไห้ไม่กลัว ความตายนั้นดอกฯ ผู้มีอายุ ความเพลิดเพลิน ในส่วนทั้งปวง เรากำจัดแล้ว กองมืด เราทำลายแล้ว เราชนะเสนา แห่งมัจจุแล้ว ไม่มีอาสวะอยู่

ลำดับนั้น มารผู้มีบาป เป็นทุกข์ เสียใจว่า กิสาโคตมี ภิกษุณีรู้จักเรา ดังนี้ จึงได้อันตรธานไปในที่นั้นเอง ฯ

วิชยาสูตรที่ ๔

          [๕๓๑] สาวัตถีนิทาน ฯ ครั้งนั้นเวลาเช้า วิชยาภิกษุณี นุ่งห่มแล้ว ถือบาตร และจีวร ฯลฯ จึงนั่งพักกลางวันที่โคนไม้ต้นหนึ่ง ฯ

          [๕๓๒] ลำดับนั้น มารผู้มีบาปใคร่จะให้วิชยาภิกษุณีบังเกิดความกลัว และใคร่จะให้เคลื่อนจากสมาธิ จึงเข้าไปหา วิชยาภิกษุณีถึงที่นั่งพักครั้นแล้ว ได้กล่าวกะวิชยาภิกษุณีด้วยคาถาว่า เธอยังเป็นสาว มีรูปงาม และฉันก็ยังมาเถิดนาง เรามาอภิรมย์กันด้วยดนตรี มีองค์ห้า ฯ

          [๕๓๓] ลำดับนั้น วิชยาภิกษุณีได้มีความดำริว่า นี่ใครหนอกล่าวคาถา จะเป็นมนุษย์ หรืออมนุษย์ ฯ

    ทันใดนั้น วิชยาภิกษุณีได้มีความดำริว่า นี่คือมารผู้มีบาป ใคร่จะให้เราบังเกิด ความกลัวความหวาดเสียว ความขนพองสยองเกล้า และใคร่จะให้เคลื่อน จากสมาธิ จึงได้กล่าวคาถา ฯ

    ครั้นวิชยาภิกษุณีทราบว่า นี่คือมารผู้มีบาปแล้ว จึงได้กล่าวกะมารผู้มีบาปด้วยคาถา ว่า ดูกรมาร รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อันน่ารื่นรมย์ใจ  เราขอมอบให้ท่านผู้เดียว เพราะเราไม่ต้องการมัน เราอึดอัด ระอาด้วยกายเน่า อันจะแตกทำลาย เปื่อยพังไปนี้ กามตัณหา เราถอนได้แล้วความมืดในรูปภพที่สัตว์ทั้งหลายเข้าถึง ในอรูปภพที่สัตว์ ทั้งหลายเป็นภาคี และในสมาบัติอันสงบทั้งปวง เรากำจัดได้แล้ว

    ลำดับนั้น มารผู้มีบาปเป็นทุกข์ เสียใจว่า วิชยาภิกษุณีรู้จักเรา ดังนี้ จึงได้อันตรธาน ไปในที่นั้นเอง  

อุบลวรรณาสูตรที่ ๕

          [๕๓๔] สาวัตถีนิทาน ฯ  ครั้งนั้น เวลาเช้า อุบลวรรณาภิกษุณี นุ่งห่มแล้ว ถือบาตรและจีวร ฯลฯ ได้ยืนอยู่ที่โคนต้นสาลพฤกษ์ซึ่งมีดอกบานสะพรั่ง ต้นหนึ่ง ฯ

          [๕๓๕] ลำดับนั้น มารผู้มีบาปใคร่จะให้ อุบลวรรณาภิกษุณี บังเกิดความ กลัว ความหวาดเสียว ความขนพองสยองเกล้า และใคร่จะให้เคลื่อนจากสมาธิจึงเข้าไปหา อุบลวรรณา ภิกษุณีถึงที่ที่ยืนอยู่ ครั้นแล้วได้กล่าวกะอุบลวรรณาภิกษุณี ด้วยคาถาว่า ดูกรภิกษุณี ท่านคนเดียว เข้ามายังต้นสาลพฤกษ์ ซึ่งมีดอกบานสะพรั่งตลอดยอด แล้วยืนอยู่ที่โคนต้นสาลพฤกษ์ ก็ฉวีวรรณของท่านไม่มีที่สอง คนทั้งหลายก็จะมา ในที่นี้เช่นท่านท่านกลัวพวกนักเลงเพราะความเขลาหรือ ฯ

          [๕๓๖] ลำดับนั้น อุบลวรรณาภิกษุณีได้มีความดำริว่า นี่ใครหนอกล่าว คาถา จะเป็นมนุษย์หรืออมนุษย์ ฯ

    ทันใดนั้น อุบลวรรณาภิกษุณีได้มีความดำริว่า นี่คือมารผู้มีบาป ใคร่จะให้เราบังเกิด ความกลัวความหวาดเสียว ความขนพองสยองเกล้า และใคร่จะให้  เคลื่อนจากสมาธิ จึงกล่าวคาถา ฯ

    ครั้นอุบลวรรณาภิกษุณีทราบว่า นี่คือมารผู้มีบาปแล้ว จึงได้กล่าวกะมารผู้มีบาป ด้วยคาถาว่า แม้นักเลงตั้งแสนมาในที่นี้ ก็ตามเถิด เราไม่สะเทือนขน ไม่สะดุ้งดูกรมาร ถึงเราคนเดียว ก็ไม่กลัวท่าน ฯเรานี้จะหายตัวหรือเข้าท้องพวกท่าน แม้จะยืนอยู่ ณ ระหว่าง  ดวงตาบนดั้งจมูก ท่านจักไม่เห็นเรา ฯเราเป็นผู้ชำนาญในจิต อิทธิบาทเรา เจริญดีแล้ว เราพ้นแล้ว  จากเครื่องผูกทุกชนิด เราไม่กลัวท่านดอก ท่านผู้มีอายุ

    ลำดับนั้น มารผู้มีบาปเป็นทุกข์ เสียใจว่า อุบลวรรณาภิกษุณีรู้จักเรา ดังนี้ จึงได้ อันตรธานไปในที่นั้นเอง ฯ

จาลาสูตรที่ ๖

          [๕๓๗] สาวัตถีนิทาน ฯ ครั้งนั้น เวลาเช้า จาลาภิกษุณี นุ่งห่มแล้ว ถือบาตร และจีวรเข้าไปบิณฑบาตยัง พระนครสาวัตถี เที่ยวบิณฑบาตไปในพระนครสาวัตถี แล้ว เวลาปัจฉาภัตกลับจากบิณฑบาตแล้ว เข้าไปยังป่าอันธวันเพื่อพักกลางวัน ครั้นถึงป่าอันธวัน แล้วจึงนั่งพักกลางวันที่โคนไม้ต้นหนึ่ง

          [๕๓๘] ลำดับนั้น มารผู้มีบาปใคร่จะให้จาลาภิกษุณีบังเกิดความกลัว   ความหวาดเสียวความขนพองสยองเกล้า และใคร่จะให้เคลื่อนจากสมาธิ จึงเข้าไป หาจาลาภิกษุณีถึงที่นั่งพัก ครั้นแล้วได้กล่าวกะจาลาภิกษุณีว่า ดูกรภิกษุณี  ท่านไม่ชอบใจอะไรหนอฯ จาลาภิกษุณี ตอบว่า ดูกรท่านผู้มีอายุ เราไม่ชอบ ความเกิดเลย

          [๕๓๙] ม. เพราะเหตุไรหนอ ท่านจึงไม่ชอบความเกิดผู้เกิดมาแล้วย่อม บริโภคกาม ใครหนอให้ท่านยึดถือเรื่องนี้ อย่าเลยภิกษุณี ท่านจงชอบความเกิดขึ้น

          [๕๔๐] จา. ความตายย่อมมีแก่ผู้ที่เกิดมาแล้ว ผู้ที่เกิดมาแล้วย่อมพบ เห็นทุกข์ คือการจองจำ การฆ่า ความเศร้าหมอง  เพราะฉะนั้น เราจึงไม่ชอบความเกิด ฯ  พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมเป็นเครื่องก้าวล่วงความเกิด  พระองค์สอนให้เราตั้งอยู่ ในสัจจะ  เพื่อละทุกข์ทั้งมวล ฯ  สัตว์เหล่าใดเข้าถึงรูปภพ และสัตว์เหล่าใดเป็น ภาคีแห่ง อรูปภพสัตว์เหล่านั้นเมื่อยังไม่รู้นิโรธ ต้องมาสู่ภพอีก

ลำดับนั้น มารผู้มีบาป เป็นทุกข์ เสียใจว่า จาลาภิกษุณีรู้จักเรา ดังนี้ จึงได้อันตรธาน ไปในที่นั้นเอง

อุปจาลาสูตรที่ ๗

          [๕๔๑] สาวัตถีนิทาน ฯ ครั้งนั้น เวลาเช้า อุปจาลาภิกษุณี นุ่งห่มแล้ว ถือบาตรและจีวรเข้าไปบิณฑบาตยังพระนครสาวัตถี เที่ยวบิณฑบาตไปในพระนคร สาวัตถีแล้ว เวลาปัจฉาภัต กลับจากบิณฑบาตแล้ว เข้าไปยังป่าอันธวันเพื่อพัก กลางวัน ครั้นถึงป่า อันธวันแล้ว จึงนั่งพักกลางวันอยู่ที่โคนไม้ต้นหนึ่ง

          [๕๔๒] ลำดับนั้น มารผู้มีบาป ใคร่จะให้อุปจาลาภิกษุณีบังเกิด ความ กลัว  ความหวาดเสียว ความขนพองสยองเกล้า และใคร่จะให้เคลื่อน จากสมาธิ จึงเข้าไปหา อุปจาลาภิกษุณีถึงที่นั่งพัก ครั้นแล้วได้กล่าวกะ อุปจาลาภิกษุณี ว่า ดูกรภิกษุณี อย่างไรหนอท่านจึงอยากจะเกิด อุปจาลาภิกษุณีตอบว่า ดูกรท่านผู้มีอายุ เราไม่อยากเกิดในที่ไหนๆเลย

          [๕๔๓] ม. ท่านจงตั้งจิตไว้ในพวกเทพชั้นดาวดึงส์ ชั้นยาม ชั้นดุสิต ชั้นนิมมานรดี และชั้นวสวดีเถิด ท่านจักได้เสวยความยินดี

          [๕๔๔] อุ. พวกเทพชั้นดาวดึงส์ ชั้นยาม ชั้นดุสิต ชั้นนิมมานรดี และชั้นวสวดี ยังผูกพันอยู่ด้วยเครื่องผูกคือกาม จำต้องกลับมาสู่อำนาจมารอีก โลกทั้งหมด เร่าร้อน โลกทั้งหมดคุเป็นควัน โลกทั้งหมดลุกโพลง โลกทั้งหมดสั่นสะเทือน ใจของเรายินดี แน่วในพระนิพพาน อันไม่สั่นสะเทือน อันไม่หวั่นไหว ที่ปุถุชนเสพ ไม่ได้ มิใช่คติ ของมาร

ลำดับนั้น มารผู้มีบาปเป็นทุกข์ เสียใจว่าอุปจาลาภิกษุณี รู้จักเราดังนี้  จึงได้อันตรธานไป ในที่นั้นเอง

สีสุปจาลาสูตรที่ ๘

          [๕๔๕] สาวัตถีนิทาน ฯ ครั้งนั้น เวลาเช้า สีสุปจาลาภิกษุณี นุ่งห่มแล้ว ถือบาตรและจีวรเข้าไปบิณฑบาตยังพระนครสาวัตถี เที่ยวบิณฑบาตไปในพระนคร สาวัตถีแล้ว เวลาปัจฉาภัตกลับจากบิณฑบาตแล้ว เข้าไปยังป่าอันธวันเพื่อพักกลางวัน ครั้นถึงป่าอันธวัน จึงนั่งพักกลางวันที่โคนไม้ต้นหนึ่ง

          [๕๔๖] ลำดับนั้น มารผู้มีบาปเข้าไปหา สีสุปจาลา ภิกษุณีถึงที่นั่งพัก  ครั้นแล้วได้กล่าวกะสีสุปจาลาภิกษุณีว่า ดูกรภิกษุณี ท่านชอบใจทิฐิของใครหนอ ฯ
สีสุปจาลาภิกษุณี ตอบว่า ดูกรท่านผู้มีอายุ เราไม่ชอบใจทิฐิของใครเลย

          [๕๔๗] ม. ท่านจงใจเป็นคนโล้น ปรากฏตัวเหมือนสมณะ แต่ไฉนท่าน จึงไม่ชอบใจทิฐิ ท่านจึงประพฤติเรื่องนี้ เพราะความงมงายดอกหรือ

          [๕๔๘] สี. คนเจ้าทิฐิ ภายนอกพระศาสนานี้ ย่อมจมอยู่ในทิฐิทั้งหลาย เราไม่ชอบใจธรรมของพวกเขา พวกเขาเป็นคน ไม่ฉลาดต่อธรรมยังมีพระพุทธเจ้า ผู้เสด็จอุบัติในศากยสกุล หาบุคคลอื่นเปรียบมิได้ทรงครอบงำส่วนทั้งปวง ทรงบรรเทา เสียซึ่งมาร ไม่ปราชัยในที่ทุกสถาน ทรงพ้นแล้วในส่วนทั้งปวง เป็นผู้อันตัณหาและทิฐิ อาศัยไม่ได้ มีพระจักษุทร เห็นธรรมทั้งปวง ทรงบรรลุธรรมเป็นที่สิ้นกรรมทุกอย่าง ทรงน้อมไปในธรรมเป็นที่สิ้นอุปธิ พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้นเป็นศาสดาของเรา เราชอบใจคำสอนของพระองค์ท่าน ฯ  

ลำดับนั้น มารผู้มีบาปเป็นทุกข์ เสียใจว่า สีสุปจาลาภิกษุณีรู้จักเรา ดังนี้ จึงได้อันตรธานไปในที่นั้นเอง ฯ

เสลาสูตรที่ ๙

          [๕๔๙] สาวัตถีนิทาน ฯ ครั้งนั้น เวลาเช้า เสลาภิกษุณี นุ่งห่มแล้ว ถือบาตร และจีวรเข้าไป บิณฑบาตยังพระนครสาวัตถี เที่ยวบิณฑบาตไปในพระนครสาวัตถีแล้ว เวลาปัจฉาภัต กลับจากบิณฑบาตแล้วเข้าไปยังป่าอันธวันเพื่อพักกลางวัน ครั้นถึงป่า อันธวันแล้ว จึงนั่งพักกลางวันที่โคนไม้ต้นหนึ่ง ฯ

          [๕๕๐] ลำดับนั้น มารผู้มีบาปใคร่จะให้เสลาภิกษุณีบังเกิดความกลัว ความหวาดเสียวความขนพองสยองเกล้า และใคร่จะให้เคลื่อนจากสมาธิ จึงเข้า ไปหาเสลาภิกษุณีถึงที่นั่งพัก ครั้นแล้ว ได้กล่าวกะเสลาภิกษุณีด้วยคาถาว่า รูปนี้ ใครสร้าง ผู้สร้างรูปอยู่ที่ไหน รูปบังเกิดในที่ไหน รูปดับไปในที่ไหน ฯ

          [๕๕๑] ลำดับนั้น เสลาภิกษุณีได้มีความดำริว่า นี่ใครหนอกล่าวคาถา จะเป็นมนุษย์หรืออมนุษย์ ฯทันใดนั้น เสลาภิกษุณีได้มีความดำริว่า นี่คือมารผู้มีบาป ใคร่จะให้เราบังเกิดความกลัว ความหวาดเสียว ความขนพองสยองเกล้า และใคร่ จะให้เคลื่อนจากสมาธิ จึงกล่าวคาถา ฯ

    ครั้นเสลาภิกษุณีทราบว่า นี่คือมารผู้มีบาปแล้ว จึงได้กล่าวกะมารผู้มีบาป ไม่มีใครสร้าง อัตภาพนี้ ไม่มีใครก่อ รูปเกิดขึ้นเพราะอาศัยเหตุดับไป เพราะเหตุดับ ฯพืชชนิดใดชนิดหนึ่งที่บุคคลหว่านลงในนา ย่อมงอกขึ้นเพราะอาศัยเหตุ ๒ ประการ คือ รสในแผ่นดิน และยางในพืช ฉันใด ขันธ์ธาตุ และอายตนะ ๖ เหล่านี้ ก็เกิดขึ้น  เพราะอาศัยเหตุดับไป ฉันนั้น

ลำดับนั้น มารผู้มีบาปเป็นทุกข์ เสียใจว่า เสลาภิกษุณี รู้จักเรา ดังนี้ จึงได้อันตรธานไปในที่นั้นเอง

วชิราสูตรที่ ๑๐

          [๕๕๒] ข้าพเจ้าได้สดับมาแล้วอย่างนี้ สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ฯ

    ครั้งนั้น เวลาเช้า วชิราภิกษุณี นุ่งห่มแล้ว ถือบาตรและจีวรเข้าไป บิณฑบาตยัง พระนคร สาวัตถี เที่ยวบิณฑบาตไปในพระนครสาวัตถีแล้ว เวลาปัจฉาภัต กลับจากบิณฑบาตแล้วเข้าไปยังป่าอันธวันเพื่อพักกลางวัน ครั้นถึงป่าอันธวันแล้ว จึงนั่งพักกลางวันที่โคนไม้ต้นหนึ่ง ฯ

          [๕๕๓] ลำดับนั้น มารผู้มีบาปใคร่จะให้วชิราภิกษุณีบังเกิดความกลัว  ความหวาดเสียวความขนพองสยองเกล้า และใคร่จะให้เคลื่อนจากสมาธิ จึงเข้าไปหาว ชิราภิกษุณีถึงที่นั่งพัก ครั้นแล้วได้กล่าวกะ วชิรา ภิกษุณี ด้วยคาถาว่า สัตว์นี้ ใครสร้าง ผู้สร้างสัตว์อยู่ที่ไหน สัตว์บังเกิดใน ที่ไหน สัตว์ดับไปในที่ไหนฯ

          [๕๕๔] ลำดับนั้น วชิราภิกษุณีได้มีความดำริว่า นี่ใครหนอกล่าวคาถา จะเป็นมนุษย์หรืออมนุษย์ ฯ

    ทันใดนั้น วชิราภิกษุณีได้มีความดำริว่า นี่คือมารผู้มีบาปใคร่จะให้เรา บังเกิดความกลัว ความหวาดเสียว ความขนพองสยองเกล้า และใคร่จะให้เคลื่อนจาก สมาธิ จึงกล่าวคาถาฯ ครั้นวชิราภิกษุณีทราบว่า นี่คือมารผู้มีบาป แล้วจึงได้กล่าว กะ มารผู้มีบาป ด้วยคาถาว่า ดูกรมาร เพราะเหตุไรหนอ ความเห็นของท่านจึงหวนกลับ มาว่าสัตว์ ฯในกองสังขารล้วนนี้ ย่อมไม่ได้นามว่าสัตว์ ฯ เหมือนอย่างว่า เพราะคุม ส่วนทั้งหลายเข้า เสียงว่ารถย่อมมี ฉันใด ฯเมื่อขันธ์ทั้งหลายยังมีอยู่ การสมมติว่าสัตว์ ย่อมมี ฉันนั้น ฯความจริงทุกข์เท่านั้นย่อมเกิด ทุกข์ย่อมตั้งอยู่และเสื่อมสิ้นไป นอกจากทุกข์ ไม่มีอะไรเกิด นอกจากทุกข์ ไม่มีอะไรดับ ฯ

    ลำดับนั้น มารผู้มีบาปเป็นทุกข์ เสียใจว่า วชิราภิกษุณีรู้จักเรา ดังนี้ จึงได้ อันตรธานไป ในที่นั้นเอง ฯ

จบภิกษุณีสังยุต


 

 
 
พุทธวจน : อ่านคำสอนพระศาสดา อ่านแบบสบายตา โดยคัดลอกหนังสือทั้งเล่มมาจัดทำเป็นเว็บเพจ (คลิกอ่านพร้อมดาวน์โหลดไฟล์ pdf)
90 90 90 90  
 
พุทธประวัติ ขุมทรัพย์
อริยสัจ
ภาคต้น
อริยสัจ
ภาคปลาย
ปฏิจจ ปฐมธรรม ตถาคต อนาคามี อินทรีย์
สังวร
สัตว์
สัตตานัง
ทาน
สกทาคามี
ฆราวาส
ชั้นเลิศ
มรรควิธี
ที่ง่าย
 
   
อริยวินัย เดรัจฉานวิชา กรรม สมถะ
วิปัสสนา
โสดาบัน อานา
ปานสติ
จิต มโน
วิญญาณ
ก้าวย่าง
อย่างพุทธะ
ตามรอย
ธรรม
ภพ ภูมิ
พุทธวจน
สาธยาย
ธรรม
สังโยชน์