เว็บไซต์ อนาคามี เผยแพร่คำพระศาสดา เผยแพร่คำสอนตถาคต เว็บไซต์เผยแพร่พระสุตรคำสอนของพระพุทธเจ้า คลิปคำสอน คลิปสาธยายธรรม
ค้นหาพระสูตร เรียงตามอักษร
 
 มารผู้มีบาป : มารธิดา แปลงร่างเป็นมนุษย์ ขอบำเรอพระบาทพระผู้มีพระภาค (อรรถกถา) 927
 
(เนื้อหาพอสังเขป)

มารธิดา ทั้ง ๓  คือ นางตัณหา นางอรดี นางราคา เนรมิตร่างเข้าเฝ้าพระผู้มีพระภาค

1.นิรมิตเพศเป็น นางกุมาริกา คนละร้อยๆ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึง ที่ประทับ แล้วกราบทูล พระผู้มีพระภาคอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระสมณะ พวกหม่อมฉันจะขอบำเรอพระบาทของ พระองค์ ฯ พระผู้มีพระภาค มิได้ทรงใส่พระทัย ถึงถ้อยคำของมารธิดา เพราะพระองค์ ทรงน้อมพระทัยไปใน ความสิ้นอุปธิกิเลสอย่างยอดเยี่ยม

2. จำแลงเพศเป็นหญิงยังไม่เคยคลอดบุตร คนละร้อยๆ เข้าไปเฝ้า พระผู้มีพระภาค ฯ พระผู้มีพระภาค ก็มิได้ทรงใส่พระทัยถึงเลย ...

3.จำแลงเพศเ ป็นหญิงคลอดแล้ว คราวเดียวคนละร้อยๆ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ฯ
พระผู้มีพระภาค ก็มิได้ทรงใส่พระทัยถึงเลย...

4. จำแลงพศ เป็นหญิงที่คลอดบุตรแล้ว ๒ คราว คนละร้อยๆ เข้าไปเฝ้าพระผู้มี พระภาค ฯ
พระผู้มีพระภาค ก็มิได้ทรงใส่พระทัยถึงเลย

5. พากันจำแลงเพศ เป็นหญิงกลางคน คนละร้อยๆ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค  ฯ
พระผู้มีพระภาค ก็มิได้ทรงใส่พระทัยถึงเลย…

6. จำแลงเพศเป็นหญิงผู้ใหญ่คนละร้อยๆ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคจนถึงที่ประทับ ฯ
พระผู้มีพระภาค ก็มิได้ทรงใส่พระทัยถึงเลย ...



 
พระสูตรนี่เป็น อรรถกถา
อรรถกถา ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๑ เถราปทาน ๑. พุทธวรรค
๑. พุทธาปทาน
(สันติเกนิทานกถา)
 
 


ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๕ สุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค หน้าที่ ๑๔๖

มารธิดา แปลงร่างเป็นมนุษย์
ขอบำเรอพระบาทพระผู้มีพระภาค

          [๕๐๘] (1) ลำดับนั้น มารธิดา คือนางตัณหา นางอรดี นางราคา จึงหลีกออกไป ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วร่วมคิดกันอย่างนี้ว่า ความประสงค์ของ บุรุษมีต่างๆ กันแล อย่ากระนั้นเลย พวกเราควรนิรมิตเพศเป็นนางกุมาริกา คนละร้อยๆ (รวม ๓๐๐) ลำดับนั้น มารธิดา คือ นางตัณหา นางอรดี นางราคา จึงพากันนิรมิต เพศเป็น นางกุมาริกา คนละร้อยๆ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึง ที่ประทับ แล้วกราบทูล พระผู้มีพระภาคอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระสมณะ พวกหม่อมฉันจะขอบำเรอพระบาทของ พระองค์ ฯ พระผู้มีพระภาคมิได้ทรงใส่พระทัย ถึงถ้อยคำของมารธิดา เพราะพระองค์ ทรงน้อมพระทัยไปในความสิ้นอุปธิกิเลสอย่างยอดเยี่ยม

          [๕๐๙] (2) ลำดับนั้น มารธิดาทั้ง ๓ คือ นางตัณหา นางอรดี นางราคา 
พากัน หลีกไปณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ร่วมกันคิดอย่างนี้ว่า ความประสงค์ของ บุรุษมีต่างๆ กัน ย่ากระนั้นเลย พวกเราควรพากันจำแลงเพศเป็นหญิง ยังไม่เคย คลอดบุตรคนละ ร้อยๆ ลำดับนั้นแล มารธิดาทั้ง ๓ คือ นางตัณหา นางอรดี นางราคา จึงพากันจำแลงเพศเป็นหญิงยังไม่เคยคลอดบุตร คนละร้อยๆ เข้าไปเฝ้า พระผู้มีพระภาค ถึงที่ประทับ แล้วกราบทูลพระผู้มีพระภาคอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระสมณะ พวกหม่อมฉันจะขอบำเรอ บาทของพระองค์ ฯ ถึงอย่างนั้น พระผู้มีพระภาค ก็มิได้ทรงใส่พระทัยถึงเลย เพราะพระองค์ ทรงน้อมพระทัยไป ในความสิ้น อุปธิกิเลส อย่างยอดเยี่ยม

          [๕๑๐] (3) ฝ่ายนางตัณหา นางอรดี นางราคา พากันหลีกไป ณ ที่ควร ข้างหนึ่ง แล้วร่วมคิดกันอย่างนี้ว่า ความประสงค์ของบุรุษทั้งหลายมีต่างๆ กัน อย่ากระนั้นเลย พวกเราควรจำแลงเพศเป็นหญิงที่คลอดบุตรแล้ว คราวเดียว คนละร้อยๆ  ลำดับนั้นแล นางตัณหา นางอรดี นางราคา พากัน จำแลงเพศเ ป็นหญิงคลอดแล้ว คราวเดียวคนละร้อยๆ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถึงที่ประทับแล้ว กราบทูลพระผู้มี พระภาคอย่างนี้ว่า ข้าแต่พระสมณะ พวกหม่อมฉัน จะขอบำเรอ พระบาทของพระองค์ ถึงอย่างนั้น พระผู้มีพระภาคก็มิได้ทรง ใส่พระทัยถึง เพราะพระองค์ทรงน้อมพระทัย ไปในความสิ้นอุปธิกิเลสอย่างยอดเยี่ยม

          [๕๑๑] (4) ลำดับนั้นแล นางตัณหา นางอรดี นางราคา ฯลฯ จึงพากัน จำแลงพศ เป็นหญิงที่คลอดบุตรแล้ว ๒ คราว คนละร้อยๆ เข้าไปเฝ้าพระผู้มี พระภาค ถึงที่ ประทับ ฯลฯ แม้ถึงอย่างนั้น พระผู้มีพระภาคก็มิได้ทรงใส่ พระทัย ถึงพราะ พระองค์ ทรงน้อมพระทัยไปในความสิ้นอุปธิกิเลสอย่างยอดเยี่ยม

          [๕๑๒] (5) ลำดับนั้น นางตัณหา นางอรดี นางราคา ฯลฯ จึงพากันจำแลงเพศ เป็นหญิงกลางคน คนละร้อยๆ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค ถึงที่ประทับ ฯลฯ ถึงอย่างนั้น พระผู้มีพระภาคก็มิได้ทรงใส่พระทัยถึงเลย เพราะพระองค์ ทรงน้อมพระทัยไปในความ สิ้นอุปธิกิเลสอย่างยอดเยี่ยม

          [๕๑๓] (6) ลำดับนั้น นางตัณหา นางอรดี นางราคา ฯลฯ จึงพากัน จำแลงเพศเป็นหญิงผู้ใหญ่คนละร้อยๆ เข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคจนถึงที่ประทับ ฯลฯ แม้ถึง อย่างนั้น พระผู้มีพระภาคก็มิได้ทรงใส่พระทัยถึง เพราะพระองค์ทรงน้อมพระทัย ไปใน ความสิ้นอุปธิกิเลสอย่างยอดเยี่ยม

          [๕๑๔] ลำดับนั้น มารธิดา คือ นางตัณหา นางอรดี นางราคา พากันหลีกไป ณที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว จึงพูดกันว่า เรื่องนี้จริงดังบิดาของเราได้พูด ไว้ว่า ชายนั้น เป็นพระอรหันต์ ผู้ดำเนินไปดีแล้วในโลก ไม่เป็นผู้อันใครๆพึงนำมาด้วยราคะ ได้ง่ายๆ ก้าวล่วงบ่วงมารไปได้แล้ว เพราะฉะนั้นเราจึงเศร้าโศกมาก

    ก็ถ้าพวกเราพึงเล้าโลมสมณะ หรือพราหมณ์คนใดที่ยังไม่หมดราคะ ด้วยความ พยายามอย่างนี้ หทัยของสมณะหรือพราหมณ์คนนั้นพึงแตก หรือโลหิตอุ่น พึงพลุ่ง ออกจากปาก หรือพึงถึงกับเป็นบ้า หรือถึงความมีจิตฟุ้งซ่าน (จิตลอย) เหมือนอย่าง ไม้อ้อสดอันลมพัดขาดแล้ว ย่อมหงอยเหงาเหี่ยวแห้งไป แม้ฉันใด สมณะหรือ พราหมณ์ นั้นพึงซูบซีดเหี่ยวแห้งไป ฉันนั้นเหมือนกัน

     ครั้นแล้ว นางตัณหา นางอรดี นางราคา พากันเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาค  ถึงที่ประทับแล้วยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง

          [๕๑๕] นางตัณหามารธิดา ครั้นยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว ได้  กราบทูล พระผู้มีพระภาคด้วยคาถาว่า ท่านถูกความโศกทับถมหรือ จึงได้มาซบเซา อยู่ในป่าอย่างนี้  ท่านเสื่อมจากทรัพย์เครื่องปลื้มใจแล้วหรือ หรือว่ากำลังปรารถนาอยู่ ท่านได้ทำความชั่วอะไรๆ ไว้ในบ้านหรือเพราะเหตุไร ท่านจึงไม่ทำมิตรภาพกับชน ทั้งปวงเล่า หรือว่าท่านทำมิตรภาพกับใครๆ ไม่สำเร็จ  

          [๕๑๖] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่าเราชนะเสนา คือปิยรูปและสาตรูป (รูปที่รัก และรูปที่พอใจ) เป็นผู้ๆเดียวเพ่งอยู่ได้รู้ความบรรลุประโยชน์ และความสงบแห่งหทัย ว่าเป็นความสุข ฯ เพราะฉะนั้น เราจึงไม่ทำความเป็นมิตร กับชนทั้งปวง และความ เป็นมิตรกับใครๆ ย่อมไม่อำนวยประโยชน์ให้แก่เรา

          [๕๑๗] ลำดับนั้น นางอรดีมารธิดาได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคด้วย คาถาว่า ภิกษุในพระศาสนานี้ มีปรกติอยู่ด้วยธรรมเป็นเครื่องอยู่อย่างไหนมากจึงข้ามโอฆะทั้ง ๕ แล้ว เวลานี้ได้ข้ามโอฆะที่ ๖ แล้ว กามสัญญาทั้งหลายย่อมห้อมล้อมไม่ได้ ซึ่งบุคคล ผู้เพ่งฌานอย่างไหนมาก

          [๕๑๘] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่าบุคคลมีกายอันสงบแล้ว มีจิตหลุดพ้นดี แล้ว เป็นผู้ไม่มีอะไรๆ เป็นเครื่องปรุงแต่ง มีสติ ไม่มีความอาลัย ได้รู้ทั่วซึ่งธรรม มีปรกติเพ่งอยู่ด้วยฌานที่ ๔ อันหาวิตกมิได้ ย่อมไม่กำเริบ ไม่ซ่านไป ไม่เป็นผู้ย่อท้อ ฯภิกษุในศาสนานี้ เป็นผู้มีปรกติอยู่ด้วยธรรมเป็นเครื่องอยู่อย่างนี้มากจึงข้ามโอฆะทั้ง ๕ ได้แล้ว บัดนี้ได้ข้ามโอฆะที่๖ แล้ว กามสัญญาทั้งหลายย่อมห้อมล้อมไม่ได้ ซึ่งภิกษุผู้เพ่งฌานอย่างนี้มาก

          [๕๑๙] ลำดับนั้นแล นางราคามารธิดา ได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคด้วยคาถา ว่าพระศาสดาผู้เป็นหัวหน้าดูแลคณะสงฆ์ ได้ตัดตัณหาขาดแล้ว  และชนผู้มีศรัทธา เป็นอันมาก จักประพฤติตามได้แน่แท้  พระศาสดานี้เป็นผู้ไม่มีความอาลัย ได้ตัดขาด จากมือมัจจุราชแล้ว จักนำหมู่ชนเป็นอันมากไปสู่ฝั่งพระนิพพาน

          [๕๒๐] พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่าตถาคตมีความแกล้วกล้าใหญ่ ย่อมนำสัตว์ ไปด้วยพระสัทธรรมแล เมื่อตถาคตนำไปอยู่โดยธรรม ไฉนความริษยาจะพึงมีแก่ท่าน ผู้รู้เล่า  

          [๕๒๑] ลำดับนั้นแล มารธิดาทั้ง ๓ คือ นางตัณหา นางอรดี นางราคา  พากันเข้าไปหาพระยามารถึงที่อยู่ พระยามารเห็นมารธิดา คือ นางตัณหา นางอรดี นางราคา มาแต่ไกล ครั้นเห็นแล้วได้กล่าวพ้อด้วยคาถาทั้งหลาย ว่าพวกคนโง่พากัน ทำลายภูเขาด้วยก้านบัว ขุดภูเขาด้วยเล็บ  เคี้ยวเหล็กด้วยฟัน ทั้งหลาย ท่านทั้งหลาย จะทำพระโคดมให้เบื่อเข้าต้องหลีกไป เป็นประดุจบุคคล วางหินไว้บนศีรษะ แล้วแทรก ลง ไปในบาดาล หรือดุจบุคคลเอาอกกระแทกตอฉะนั้น

พระศาสดาได้ขับไล่นางตัณหา นางอรดี และนางราคา ผู้มีรูปน่าทัศนายิ่ง ซึ่งได้ มาแล้ว ในที่นั้นให้หนีไป เหมือนลมพัดปุยนุ่น ฉะนั้น

จบวรรคที่ ๓

 

 
 
พุทธวจน : อ่านคำสอนพระศาสดา อ่านแบบสบายตา โดยคัดลอกหนังสือทั้งเล่มมาจัดทำเป็นเว็บเพจ (คลิกอ่านพร้อมดาวน์โหลดไฟล์ pdf)
90 90 90 90  
 
พุทธประวัติ ขุมทรัพย์
อริยสัจ
ภาคต้น
อริยสัจ
ภาคปลาย
ปฏิจจ ปฐมธรรม ตถาคต อนาคามี อินทรีย์
สังวร
สัตว์
สัตตานัง
ทาน
สกทาคามี
ฆราวาส
ชั้นเลิศ
มรรควิธี
ที่ง่าย
 
   
อริยวินัย เดรัจฉานวิชา กรรม สมถะ
วิปัสสนา
โสดาบัน อานา
ปานสติ
จิต มโน
วิญญาณ
ก้าวย่าง
อย่างพุทธะ
ตามรอย
ธรรม
ภพ ภูมิ
พุทธวจน
สาธยาย
ธรรม
สังโยชน์