เว็บไซต์ อนาคามี เผยแพร่คำพระศาสดา เผยแพร่คำสอนตถาคต เว็บไซต์เผยแพร่พระสุตรคำสอนของพระพุทธเจ้า คลิปคำสอน คลิปสาธยายธรรม
 
ค้นหาคำที่ต้องการ          

 
  พหุธาตุกสูตร ธาตุมี 18 อย่าง ภิกษุผู้ฉลาดในธาตุ ธาตุมี 6 อย่าง ธาตุ 3 อย่าง 905
 
(เนื้อหาพอสังเขป)

ธาตุนี้มี  ๑๘  อย่างแล  ได้แก่  ธาตุคือจักษุ  ธาตุคือรูป  ธาตุคือจักษุวิญญาณ  ธาตุคือโสต  ธาตุคือเสียง  ธาตุคือโสตวิญญาณ  ธาตุคือฆานะธาตุคือกลิ่น  ธาตุคือฆานวิญญาณ  ธาตุคือชิวหา  ธาตุคือรส  ธาตุคือชิวหาวิญญาณ ธาตุคือกาย ธาตุคือโผฏฐัพพะ  ธาตุคือกายวิญญาณ  ธาตุคือมโน  ธาตุคือธรรมารมณ์ ธาตุคือมโนวิญญาณ

ธาตุนี้มี  ๖  อย่าง  ได้แก่  ธาตุคือดิน  ธาตุคือน้ำ  ธาตุคือไฟธาตุคือลม  ธาตุคืออากาศ  ธาตุคือวิญญาณ  ดูกรอานนท์  เหล่านี้แลธาตุ  ๖  อย่าง  แม้ด้วยเหตุที่ภิกษุรู้อยู่  เห็นอยู่  จึงควรเรียกได้ว่า  ภิกษุผู้ฉลาดในธาตุ

ธาตุนี้มี  ๖ อย่าง ได้แก่  ธาตุคือสุข ธาตุคือทุกข์  ธาตุคือโสมนัส  ธาตุคือโทมนัส  ธาตุคืออุเบกขา ธาตุคืออวิชชา ดูกรอานนท์เหล่านี้ แล ธาตุ ๖อย่าง แม้ด้วยเหตุที่ภิกษุรู้อยู่เห็นอยู่ จึงควรเรียกได้ว่า ภิกษุผู้ฉลาดในธาตุ

ธาตุนี้มี  ๖  อย่าง ได้แก่  ธาตุคือกาม ธาตุคือ เนกขัมมะ  ธาตุคือพยาบาท  ธาตุคือความไม่พยาบาท  ธาตุคือความเบียดเบียน   ธาตุคือความไม่เบียดเบียน  ดูกรอานนท์  เหล่านี้แล  ธาตุ  ๖  อย่าง  แม้ด้วยเหตุที่ ภิกษุรู้อยู่  เห็นอยู่  จึงควรเรียกได้ว่า  ภิกษุผู้ฉลาดในธาตุ  ฯ

ธาตุนี้มี ๓ อย่าง ได้แก่ 
ธาตุคือกาม ธาตุคือรูป ธาตุคืออรูป

ธาตุนี้มี ๒ อย่าง คือ 
สังขตธาตุ อสังขตธาตุ 


ภัย 3 อย่าง
ภัย
ไม่ว่าชนิดใดๆที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้น ย่อมเกิดขึ้นแต่คนพาล 
ไม่ใช่เกิดขึ้นแตบัณฑิต

อุปัทวะ
* ไม่ว่าชนิดใดๆที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้น ย่อมเกิดขึ้นแต่คนพาล
ไม่ใช่เกิดขึ้นแต่ บัณฑิต
 (* เสนียด จัญไร อัปมงคล)

อุปสรรค ไม่ว่าชนิดใดๆที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้น ย่อมเกิดขึ้นแต่คนพาล
ไม่ใช่เกิดขึ้นแต่ บัณฑิต 

คนพาล กับ บัณฑิต
คนพาล
จึงมีภัยเฉพาะหน้า บัณฑิตไม่มีภัยเฉพาะหน้า
คนพาล จึงมีอุปัทวะ บัณฑิตไม่มีอุปัทวะ
คนพาล จึงมีอุปสรรค บัณฑิตไม่มีอุปสรรค 


 
 

 

ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๔ สุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ หน้าที่ ๑๓๓


๕.  พหุธาตุกสูตร  (๑๑๕)

                [๒๓๔]  ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้ สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับ อยู่ที่พระวิหารเชตวัน อารามของอนาถ บิณฑิกเศรษฐ  เขตพระนครสาวัตถี  สมัยนั้นแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุ ทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระดำรัสแล้ว

                [๒๓๕]  พระผู้มีพระภาคได้ตรัสดังนี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย 

ภัย
ไม่ว่าชนิดใดๆที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้น ย่อมเกิดขึ้นแต่คนพาล 
ไม่ใช่เกิดขึ้นแตบัณฑิต


อุปัทวะ
* ไม่ว่าชนิดใดๆที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้น ย่อมเกิดขึ้นแต่คนพาล
ไม่ใช่เกิดขึ้นแต่ บัณฑิต
  (* เสนียด จัญไร อัปมงคล)

อุปสรรค
ไม่ว่าชนิดใดๆที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้น ย่อมเกิดขึ้นแต่คนพาล
ไม่ใช่เกิดขึ้นแต่ บัณฑิต
 

ดูกรภิกษุทั้งหลาย  เปรียบเหมือนไฟลุกลามแล้วแต่เรือนไม้อ้อ หรือเรือนหญ้า  ย่อมไหม้ได้กระทั่งเรือนยอดที่โบกปูน มีบานประตูสนิทปิดหน้าต่างไว้ ฉันใด 

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ฉันนั้นเหมือนกันแล ภัยไม่ว่าชนิดใดๆที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้น  ย่อมเกิดขึ้นแต่คนพาล ไม่ใช่เกิดขึ้นแต่บัณฑิต อุปัทวะไม่ ว่าชนิดใดๆ ที่เกิดขึ้น ทั้งหมดนั้น ย่อมเกิดขึ้นแต่คนพาล ไม่ใช่เกิดขึ้นแต่บัณฑิต อุปสรรคไม่ว่าชนิดใดๆ  ที่เกิดขึ้น ทั้งหมดนั้นย่อมเกิดขึ้นแต่คนพาล ไม่ใช่เกิดขึ้นแต่บัณฑิต 

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ดังนี้แล
คนพาล
จึงมีภัยเฉพาะหน้า บัณฑิตไม่มีภัยเฉพาะหน้า
คนพาล จึงมีอุปัทวะ บัณฑิตไม่มีอุปัทวะ
คนพาล จึงมีอุปสรรค บัณฑิตไม่มีอุปสรรค 
ภัย อุปัทวะ อุปสรรค ไม่มีแต่บัณฑิต 
ดูกรภิกษุทั้งหลายเพราะฉะนั้นแล พวกเธอพึง ศึกษาไว้อย่างนี้เถิดว่า จักเป็นบัณฑิต

                [๒๓๖]  เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสแล้วอย่างนี้ ท่านพระอานนท์ได้ทูล พระผู้มีพระภาคดังนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ จะควรเรียกว่าภิกษุเป็นบัณฑิตมีปัญญา พิจารณา ด้วยเหตุเท่าไรหนอแล

          พระผู้มีพระภาคตรัสว่า  ดูกรอานนท์  เพราะภิกษุเป็นผู้ฉลาดในธาตุฉลาด ในอายตนะฉลาดในปฏิจจสมุปบาท และฉลาดใน ฐานะและอฐานะ  ดูกรอานนท์ ด้วยเหตุเท่านี้แล จึงควรเรียกได้ว่า ภิกษุเป็นบัณฑิต  มีปัญญาพิจารณา

                [๒๓๗]  อา. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็จะควรเรียกว่า ภิกษุผู้ฉลาด ในธาตุ ด้วยเหตุเท่าไร

                พ.  ดูกรอานนท์  ธาตุนี้มี  ๑๘  อย่างแล  ได้แก่  ธาตุคือจักษุ  ธาตุคือรูป  ธาตุคือจักษุวิญญาณ  ธาตุคือโสต  ธาตุคือเสียง  ธาตุคือโสตวิญญาณ  ธาตุคือฆานะธาตุคือกลิ่น  ธาตุคือฆานวิญญาณ  ธาตุคือชิวหา  ธาตุคือรส  ธาตุคือชิวหาวิญญาณ ธาตุคือกาย ธาตุคือโผฏฐัพพะ  ธาตุคือกายวิญญาณ  ธาตุคือมโน  ธาตุคือธรรมารมณ์ ธาตุคือมโนวิญญาณ

ดูกรอานนท์ เหล่านี้แล ธาตุ ๑๘ อย่าง ด้วยเหตุที่ภิกษุรู้อยู่ เห็นอยู่  จึงควรเรียก ได้ว่า ภิกษุผู้ฉลาดในธาตุ 

                [๒๓๘]  อา. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็ปริยายแม้อื่น ที่ควรเรียกว่า  ภิกษุผู้ฉลาดในธาตุ จะพึงมีไหม 

                พ.  ดูกรอานนท์  มี  ธาตุนี้มี  ๖  อย่าง  ได้แก่  ธาตุคือดิน  ธาตุคือน้ำ  ธาตุคือไฟธาตุคือลม  ธาตุคืออากาศ  ธาตุคือวิญญาณ  ดูกรอานนท์  เหล่านี้แลธาตุ  ๖  อย่าง  แม้ด้วยเหตุที่ภิกษุรู้อยู่  เห็นอยู่  จึงควรเรียกได้ว่า  ภิกษุผู้ฉลาดในธาตุ

                [๒๓๙]  อา.  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  ก็ปริยายแม้อื่น  ที่ควรเรียกว่า  ภิกษุผู้ฉลาดในธาตุจะพึงมีอีกไหม

                พ.  ดูกรอานนท์ มี ธาตุนี้มี  ๖ อย่าง ได้แก่  ธาตุคือสุข ธาตุคือทุกข์  ธาตุคือโสมนัส  ธาตุคือโทมนัส  ธาตุคืออุเบกขา ธาตุคืออวิชชา ดูกรอานนท์เหล่านี้ แล ธาตุ ๖อย่าง แม้ด้วยเหตุที่ภิกษุรู้อยู่เห็นอยู่ จึงควรเรียกได้ว่าภิกษุผู้ฉลาดในธาตุ

                [๒๔๐]  อา.  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  ก็ปริยายแม้อื่น  ที่ควรเรียกว่า  ภิกษุผู้ฉลาดในธาตุจะพึงมีอีกไหม

               พ.  ดูกรอานนท์  มี  ธาตุนี้มี  ๖  อย่าง ได้แก่  ธาตุคือกาม ธาตุคือ เนกขัมมะ  ธาตุคือพยาบาท  ธาตุคือความไม่พยาบาท  ธาตุคือความเบียดเบียน   ธาตุคือความไม่เบียดเบียน  ดูกรอานนท์  เหล่านี้แล  ธาตุ  ๖  อย่าง  แม้ด้วยเหตุที่ภิกษุรู้อยู่  เห็นอยู่  จึงควรเรียกได้ว่า  ภิกษุผู้ฉลาดในธาต

                [๒๔๑]  อา.  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  ก็ปริยายแม้อื่น  ที่ควรเรียกว่าภิกษุผู้ฉลาดในธาตุจะพึงมีอีกไหม  ฯ

                พ.  ดูกรอานนท์  มี  ธาตุนี้มี  ๓  อย่าง  ได้แก่  ธาตุคือกาม  ธาตุคือรูป  ธาตุคืออรูป ดูกรอานนท์  เหล่านี้แล  ธาตุ  ๓  อย่าง  แม้ภิกษุรู้อยู่  เห็นอยู่จึงควรเรียกได้ว่า  ภิกษุผู้ฉลาดในธาตุ

                [๒๔๒]  อา.  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  ก็ปริยายแม้อื่น  ที่ควรเรียกว่า  ภิกษุผู้ฉลาดในธาตุจะพึงมีอีกไหม  ฯ
พ.  ดูกรอานนท์  มี  ธาตุนี้มี  ๒  อย่าง  คือ  สังขตธาตุ  อสังขตธาตุ  ดูกรอานนท์เหล่านี้แล  ธาตุ  ๒  อย่าง  แม้ด้วยเหตุที่ภิกษุรู้อยู่  เห็นอยู่  จึงควรเรียกได้ว่า  ภิกษุผู้ฉลาดในธาตุ

                [๒๔๓]  อา.  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  ก็จะควรเรียกว่า  ภิกษุผู้ฉลาด ในอายตนะ  ด้วยเหตุเท่าไร  พ. ดูกรอานนท์  อายตนะทั้งภายในและภายนอกนี้  มีอย่างละ  ๖  แล  คือ  จักษุและรูปโสตและเสียง  ฆานะและกลิ่น  ชิวหาและรส  กายและโผฏฐัพพะ  มโนและธรรมารมณ์  ดูกรอานนท์  เหล่านี้แล  อายตนะทั้ง ภายใน  และภายนอก อย่างละ ๖ แม้ด้วยเหตุที่ภิกษุรู้อยู่ เห็นอยู่จึงควรเรียกได้ว่า ภิกษุผู้ฉลาดในอายตนะ 

                [๒๔๔]  อา. ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ก็จะควรเรียกว่า ภิกษุผู้ฉลาด ในปฏิจจสมุปบาทด้วยเหตุเท่าไร 
                พ.  ดูกรอานนท์  ภิกษุในธรรมวินัยนี้  ย่อมรู้อย่างนี้ว่า  เมื่อเหตุนี้มีผลนี้จึงมี  เพราะเหตุนี้เกิดขึ้น  ผลนี้จึงเกิดขึ้น  เมื่อเหตุนี้ไม่มี  ผลนี้จึงไม่มีเพราะเหตุนี้ดับ  ผลนี้จึงดับ  คือ  
เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยจึงมีสังขาร  เพราะ  สังขารเป็นปัจจัยจึงมีวิญญาณ
เพราะวิญญาณเป็นปัจจัยจึงมีนามรูป  เพราะนามรูปเป็นปัจจัย  จึงมีสฬายตนะ 
เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัยจึงมีผัสสะ  เพราะผัสสะเป็นปัจจัยจึงมีเวทนา 
เพราะเวทนาเป็นปัจจัยจึงมีตัณหา  เพราะตัณหาเป็นปัจจัยจึงมีอุปาทาน  เพราะอุปาทานเป็นปัจจัยจึงมีภพ  เพราะภพเป็นปัจจัยจึงมีชาติ  เพราะชาติเป็นปัจจัยจึงมีชรา  มรณะ  โสกะ  ปริเทวะ  ทุกข์  โทมนัส 
อุปายาสอย่างนี้เป็นความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้  แต่เพราะอวิชชานั่นแลดับด้วยวิราคะไม่มีส่วนเหลือจึงดับสังขารได้
เพราะสังขารดับจึงดับวิญญาณได้  เพราะวิญญาณดับจึงดับนามรูปได้ 
เพราะนามรูปดับจึงดับสฬายตนะได้  เพราะสฬายตนะดับจึงดับผัสสะได้ 
เพราะผัสสะดับจึงดับเวทนาได้ 
เพราะเวทนาดับจึงดับตัณหาได้เพราะตัณหาดับจึงดับอุปาทานได้ 
เพราะอุปาทานดับจึงดับภพได้เพราะภพดับจึงดับชาติได้ 
เพราะชาติดับจึงดับชรา  มรณะ  โสกะ  ปริเทวะ  ทุกข์  โทมนัสอุปายาสได้  อย่างนี้เป็นความดับแห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ 
ดูกรอานนท์  ด้วยเหตุเท่านี้แล  จึงควรเรียกได้ว่า  ภิกษุผู้ฉลาดในปฏิจจสมุปบาท

                [๒๔๕]  อา.  ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ  ก็จะควรเรียกว่า  ภิกษุผู้ฉลาดใน ฐานะ และอฐานะด้วยเหตุเท่าไร
                พ.  ดูกรอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้
                (๑)  ย่อมรู้ชัดว่า ข้อที่มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส คือบุคคลผู้ถึงพร้อม ด้วยทิฐิ พึงเข้าใจสังขารไรๆโดยความเป็นของเที่ยง นั่นไม่ใช่ฐานะที่มีได้ และรู้ชัดว่า
 ข้อที่เป็นฐานะมีได้แล คือ ปุถุชน พึงเข้าใจสังขารไรๆ โดยความ เป็นของเที่ยง 
นั้นเป็นฐานะที่มีได้

                (๒)  ย่อมรู้ชัดว่า ข้อที่มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส คือ บุคคลผู้ถึงพร้อมด้วย ทิฐิ พึงเข้าใจสังขารไรๆ โดยความเป็นสุข นั่นไม่ใช่ฐานะที่มีได้ และรู้ชัดว่า ข้อที่เป็น ฐานะมีได้แลคือ ปุถุชนพึงเข้าใจสังขารไรๆ โดยความเป็นสุขนั่น เป็นฐานะที่มีได

                (๓)  ย่อมรู้ชัดว่า ข้อที่มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส คือ บุคคลผู้ถึงพร้อม  ด้วยทิฐิ พึงเข้าใจธรรมไรๆ โดยความเป็นอัตตา นั่นไม่ใช่ฐานะที่มีได้ และ รู้ชัดว่า  ข้อที่เป็นฐานะมีได้แลคือ ปุถุชนพึงเข้าใจธรรมใดๆ โดยความเป็นอัตตา นั่นเป็นฐานะ ที่มีได้ 

                (๔)  ย่อมรู้ชัดว่า ข้อที่มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส คือ บุคคลผู้ถึงพร้อม  ด้วยทิฐิ พึงปลงชีวิตมารดา นั่นไม่ใช่ฐานะที่มีได้ และรู้ชัดว่า ข้อที่เป็นฐานะมีได้แล  คือ ปุถุชนพึงปลงชีวิตมารดาได้ นั่นเป็นฐานะที่มีได้ 

                (๕)  ย่อมรู้ชัดว่า ข้อที่มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส คือ บุคคลผู้ถึงพร้อม  ด้วยทิฐิ พึงปลงชีวิตบิดา นั่นไม่ใช่ฐานะที่มีได้ และรู้ชัดว่า ข้อที่เป็นฐานะมีได้แล คือ ปุถุชนพึงปลงชีวิตบิดาได้ นั่นเป็นฐานะที่มีได้

                (๖)  ย่อมรู้ชัดว่า ข้อที่มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส คือ บุคคลผู้ถึงพร้อม  ด้วยทิฐิ พึงปลงชีวิตพระอรหันต์ นั่นไม่ใช่ฐานะที่มีได้ และรู้ชัดว่าข้อที่เป็นฐานะ มีได้แล คือ ปุถุชนพึงปลงชีวิตพระอรหันต์ได้ นั่นเป็นฐานะ ที่มีได้ 

                (๗)  ย่อมรู้ชัดว่า ข้อที่มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส คือ บุคคลผู้ถึงพร้อม  ด้วยทิฐิ มีจิตคิดประทุษร้าย พึงทำโลหิตแห่งตถาคตให้ห้อขึ้น นั่นเป็นฐานะ ที่มีได้  และรู้ชัดว่า ข้อที่เป็นฐานะมีได้แล คือ ปุถุชนมีจิตคิดประทุษร้าย พึงทำโลหิตแห่ง ตถาคตให้ห้อขึ้นได้ นั่นเป็นฐานะที่มีได้

                (๘)  ย่อมรู้ชัดว่า ข้อที่มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส คือ บุคคลผู้ถึงพร้อม  ด้วยทิฐิ พึงทำลายสงฆ์ นั่นไม่ใช่ฐานะที่มีได้ และรู้ชัดว่า ข้อที่เป็นฐานะมีได้แล คือ  ปุถุชนพึงทำลายสงฆ์ได้นั่นเป็นฐานะที่มีได

                (๙)  ย่อมรู้ชัดว่า ข้อที่มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส คือ บุคคลผู้ถึงพร้อม  ด้วยทิฐิ จะพึงมุ่งหมายศาสดาอื่น นั่นไม่ใช่ฐานะที่มีได้ และรู้ชัดว่า ข้อที่เป็นฐานะ มีได้แล คือ ปุถุชนจะพึงมุ่งหมายศาสดาอื่นได้ นั่นเป็นฐานะที่มีได

                (๑๐)  ย่อมรู้ชัดว่า ข้อที่มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส คือ พระอรหันตสัมมา สัมพุทธ ๒  พระองค์พึงเสด็จอุบัติในโลกธาตุเดียวกัน ไม่ก่อนไม่หลัง กัน นั่นไม่ใช่ ฐานะที่มีได้ และรู้ชัดว่าข้อที่เป็นฐานะมีได้แล คือ พระอรหันตสัมมาสัมพุทธ พระองค์เดียว พึงเสด็จอุบัติในโลกธาตุเดียวนั่นเป็นฐานะ ที่มีได้

                (๑๑)  ย่อมรู้ชัดว่า ข้อที่มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส คือ พระเจ้าจักรพรรดิ  ๒ องค์ พึงเสด็จอุบัติในโลกธาตุเดียวกัน ไม่ก่อนไม่หลังกันนั่นไม่ใช่ฐานะที่มีได้ และ รู้ชัด ว่า ข้อที่เป็นฐานะมีได้แล คือ พระเจ้าจักรพรรดิ พระองค์เดียว  พึงเสด็จอุบัติใน โลกธาตุเดียว นั่นเป็นฐานะที่มีได้ 

                (๑๒)  ย่อมรู้ชัดว่า ข้อที่มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส คือ สตรีพึงเป็น พระอรหันตสัมมาสัมพุทธ นั่นไม่ใช่ฐานะที่มีได้ และรู้ชัดว่า ข้อที่เป็นฐานะมีได้แล  คือ บุรุษพึงเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธ นั่นเป็นฐานะ ที่มีได้

                (๑๓)  ย่อมรู้ชัดว่า ข้อที่มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส คือ สตรีพึงเป็นพระเจ้า จักรพรรดินั่นไม่ใช่ฐานะที่มีได้ และรู้ชัดว่า ข้อที่เป็นฐานะมีได้แล คือ บุรุษพึงเป็น พระเจ้าจักรพรรดินั่นเป็นฐานะที่มีได้

                (๑๔)  ย่อมรู้ชัดว่า ข้อที่มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส คือ สตรีพึงสำเร็จเป็น ท้าวสักกะ นั่นไม่ใช่ฐานะที่มีได้ และรู้ชัดว่า ข้อที่เป็นฐานะมีได้แล คือบุรุษพึงสำเร็จ เป็น ท้าวสักกะนั่นเป็นฐานะที่มีได้  ฯ

                (๑๕)  ย่อมรู้ชัดว่า ข้อที่มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส คือสตรีพึงสำเร็จ เป็นมาร นั่นไม่ใช่ฐานะที่มีได้ และรู้ชัดว่า ข้อที่เป็นฐานะมีได้แล คือ บุรุษพึงสำเร็จ เป็นมาร  นั่นเป็นฐานะที่มีได้

                (๑๖)  ย่อมรู้ชัดว่า ข้อที่มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส คือสตรีพึงสำเร็จเป็น พรหม นั่นไม่ใช่ฐานะที่มีได้ และรู้ชัดว่า ข้อที่เป็นฐานะมีได้แล คือ บุรุษพึงสำเร็จ เป็นพรหม นั่นเป็นฐานะที่มีได้ 

                (๑๗)  ย่อมรู้ชัดว่า ข้อที่มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส คือ วิบากแห่ง กายทุจริต  พึงเกิดเป็นที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ นั่นไม่ใช่ฐานะที่มีได้ และ รู้ชัดว่า ข้อที่เป็น ฐานะ มีได้แล คือวิบากแห่งกายทุจริต พึงเกิดเป็นที่ไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่า พอใจ นั่นเป็นฐานะที่มีได

                (๑๘)  ย่อมรู้ชัดว่า ข้อที่มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส คือ วิบากแห่ง วจี ทุจริต  พึงเกิดเป็นที่น่าปรารถนา น่าใคร่  น่าพอใจ นั่นไม่ใช่ฐานะที่มีได้ และรู้ชัดว่าข้อที่เป็น ฐานะมีได้แล คือวิบากแห่งวจีทุจริต พึงเกิดเป็นที่ไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่  ไม่น่าพอใจ นั่นเป็นฐานะที่มีได้ 

                (๑๙)  ย่อมรู้ชัดว่า ข้อที่มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส คือ วิบากแห่ง มโนทุจริต  พึงเกิดเป็นที่น่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ นั่นไม่ใช่ฐานะที่มีได้ และรู้ชัดว่า ข้อที่เป็น ฐานะมีได้แลคือ วิบากแห่งมโนทุจริต พึงเกิดเป็นที่ไม่น่า ปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจ นั่นเป็นฐานะที่มีได้ 

                (๒๐)  ย่อมรู้ชัดว่า ข้อที่มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส คือ วิบากแห่งกายสุจริต  พึงเกิดเป็นที่ไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจ นั่นไม่ใช่ฐานะที่มีได้ และรู้ชัดว่า  ข้อที่เป็นฐานะมีได้แล คือ วิบากแห่งกายสุจริต พึงเกิดเป็นที่น่า ปรารถนา น่าใคร่  น่าพอใจ นั่นเป็นฐานะที่มีได้  ฯ

               (๒๑)  ย่อมรู้ชัดว่า ข้อที่มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส คือ วิบากแห่งวจีสุจริต  พึงเกิดเป็นที่ไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจ นั่นไม่ใช่ฐานะที่มีได้ และรู้ชัด ว่า ข้อที่เป็นฐานะมีได้แล คือ วิบากแห่งวจีสุจริต พึงเกิดเป็นที่น่าปรารถนา น่าใคร่  น่าพอใจ นั่นเป็นฐานะที่มีได

                (๒๒)  ย่อมรู้ชัดว่า ข้อที่มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส คือ วิบากแห่งมโน สุจริต พึงเกิดเป็นที่ไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจ นั่นไม่ใช่ฐานะที่มีได้ และรู้ชัดว่า ข้อที่เป็นฐานะที่มีได้แล คือ วิบากแห่งมโนสุจริต พึงเกิดเป็นที่น่า ปรารถนา น่าใคร่
 น่าพอใจ นั่นเป็นฐานะที่มีได้ 

                (๒๓)  ย่อมรู้ชัดว่า ข้อที่มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส คือ บุคคลผู้พรั่งพร้อม ด้วย กายทุจริตเมื่อตายไป พึงเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เพราะกายทุจริตนั้นเป็นเหตุ เป็นปัจจัย นั่นไม่ใช่ฐานะที่มีได้ และรู้ชัดว่า ข้อที่เป็นฐานะมีได้แลคือบุคคลผู้พรั่งพร้อม ด้วยกายทุจริตเมื่อตายไปพึงเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาตนรก เพราะกายทุจริตนั้น เป็นเหตุเป็นปัจจัย นั่นเป็นฐานะที่มีได้

                (๒๔)  ย่อมรู้ชัดว่า ข้อที่มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส คือ บุคคลผู้พรั่งพร้อม ด้วยวจีทุจริตเมื่อตายไป พึงเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เพราะวจีทุจริตนั้นเป็นเหตุเป็น ปัจจัย  นั่นไม่ใช่ฐานะที่มีได้และรู้ชัดว่า ข้อที่เป็นฐานะมีได้แลคือ บุคคลผู้พรั่งพร้อม ด้วยวจีทุจริต เมื่อตายไป พึงเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาตนรก เพราะวจีทุจริตนั้นเป็น ปัจจัย นั่นเป็นฐานะที่มีได้ 

                (๒๕)  ย่อมรู้ชัดว่า ข้อที่มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส คือ บุคคลผู้พรั่งพร้อม ด้วยมโนทุจริตเมื่อตายไป พึงเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เพราะมโนทุจริตนั้น เป็นเหตุ  เป็นปัจจัย นั่นไม่ใช่ฐานะที่มีได้ และรู้ชัดว่าข้อที่เป็นฐานะมีได้แลคือ บุคคลผู้พรั่ง พร้อมด้วยมโนทุจริต เมื่อตายไปพึงเข้าถึงอบาย ทุคติวินิบาต นรก เพราะมโน ทุจริต นั้น เป็นเหตุเป็นปัจจัย นั่นเป็นฐานะที่มีได้ 

                (๒๖)  ย่อมรู้ชัดว่า ข้อที่มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส คือ บุคคลผู้พรั่งพร้อม ด้วยกายสุจริตเมื่อตายไป พึงเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก เพราะกายสุจริตนั้น เป็นเหตุ เป็นปัจจัยนั่นไม่ใช่ฐานะที่มีได้ และรู้ชัดว่า ข้อที่เป็นฐานะมีได้แล คือ บุคคล ผู้พรั่งพร้อมด้วยกายสุจริตเมื่อตายไป พึงเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เพราะกายสุจริตนั้น เป็นเหตุเป็นปัจจัย นั่นเป็นฐานะที่มีได้ 

                (๒๗)  ย่อมรู้ชัดว่า ข้อที่มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส คือ บุคคลผู้พรั่งพร้อม ด้วยวจีสุจริตเมื่อตายไป พึงเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต รก เพราะวจีสุจริตนั้น เป็นเหตุ เป็นปัจจัย นั่นไม่ใช่ฐานะที่มีได้ และรู้ชัดว่า ข้อที่เป็นฐานะมีได้แลคือ บุคคลผู้พรั่ง พร้อมด้วยวจีสุจริต เมื่อตายไปพึงเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์ เพราะ วจีสุจริตนั้นเป็นเหตุ เป็นปัจจัย นั่นเป็นฐานะที่มีได้

                (๒๘)  ย่อมรู้ชัดว่า ข้อที่มิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส คือ บุคคลผู้พรั่งพร้อม ด้วยมโนสุจริตเมื่อตายไป พึงเข้าถึงอบาย ทุคติ วินิบาต นรก เพราะมโนสุจริตนั้น เป็นเหตุ เป็นปัจจัยนั่นไม่ใช่ฐานะที่มีได้ และรู้ชัดว่า ข้อที่เป็นฐานะมีได้แล คือ บุคคลผู้พรั่งพร้อมด้วยมโนสุจริตเมื่อตายไป พึงเข้าถึงสุคติโลกสวรรค์เพราะมโนสุจริต นั้น เป็นเหตุเป็นปัจจัย นั่นเป็นฐานะที่มีได้ 

                ดูกรอานนท์ ด้วยเหตุเท่านี้แล จึงควรเรียกได้ว่า ภิกษุผู้ฉลาดในฐานะ  และอฐานะ

                [๒๔๖]  เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสแล้วอย่างนี้ ท่านพระอานนท์ได้ทูลพระ ผู้มีพระภาคดังนี้ว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ น่าอัศจรรย์จริง ไม่น่าเป็นไปได้เลยธรรม บรรยายนี้ชื่อไรพระพุทธเจ้าข้า 

                พระผู้มีพระภาคตรัสว่า เพราะเหตุนั้นแล เธอจงจำธรรมบรรยายนี้ไว้ ว่า ชื่อพหุธาตุก(ชุมนุมธาตุมากอย่าง)บ้าง ว่าชื่อจตุปริวัฏฏ (แสดงอาการเวียน ๔ รอบ ) บ้าง ว่าชื่อธรรมาทาส(แว่นส่องธรรม บ้าง ว่าชื่ออมตทุนทุภี (กลองบันลืออมฤต) บ้าง ว่าชื่ออนุตตรสังคามวิชัย (ความชนะสงครามอย่างไม่มีความ ชนะอื่นยิ่งกว่า)บ้าง

                พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระภาษิตนี้แล้ว ท่านพระอานนท์จึงชื่นชมยินดี  พระภาษิตของพระผู้มีพระภาคแล 

จบ  พหุธาตุกสูตร  ที่  ๕

 

 
 
พุทธวจน : อ่านคำสอนพระศาสดา อ่านแบบสบายตา โดยคัดลอกหนังสือทั้งเล่มมาจัดทำเป็นเว็บเพจ (คลิกอ่านพร้อมดาวน์โหลดไฟล์ pdf)
90 90 90 90  
 
พุทธประวัติ ขุมทรัพย์
อริยสัจ
ภาคต้น
อริยสัจ
ภาคปลาย
ปฏิจจ ปฐมธรรม ตถาคต อนาคามี อินทรีย์
สังวร
สัตว์
สัตตานัง
ทาน
สกทาคามี
ฆราวาส
ชั้นเลิศ
มรรควิธี
ที่ง่าย
 
   
อริยวินัย เดรัจฉานวิชา กรรม สมถะ
วิปัสสนา
โสดาบัน อานา
ปานสติ
จิต มโน
วิญญาณ
ก้าวย่าง
อย่างพุทธะ
ตามรอย
ธรรม
ภพ ภูมิ
พุทธวจน
สาธยาย
ธรรม
สังโยชน์