เว็บไซต์ อนาคามี เผยแพร่คำพระศาสดา เผยแพร่คำสอนตถาคต เว็บไซต์เผยแพร่พระสุตรคำสอนของพระพุทธเจ้า คลิปคำสอน คลิปสาธยายธรรม
 
ค้นหาคำที่ต้องการ          

 
 ปาฏิกสูตร ตรัสกับภวคะ ถึงทิฐิของสมณะพราหมณ์ ที่บัญญัติว่า พระอีศวรเป็นผู้สร้างโลก 886
 
(เนื้อหาพอสังเขป)

การบัญญัติโลก
สมณพราหมณ์บางพวก บัญญัติสิ่งที่โลกสมมติว่าเลิศ ว่า พระอิศวรทำให้ ว่าพระพรหมทำให้ เมื่อพระผู้มีพระภาคถามต่อว่า ตามลัทธิอาจารย์มีแบบอย่างไร จึงตอบไม่ได้ พราหมณ์จึงย้อนถาม พระตถาคตว่า แล้วความจริงเป็นอย่างไร ...

(ความย่อ) ตรัสกับภวคะ ถึงทิฐิของสมณะพราหมณ์บางพวก
1. เมื่อโลกใกล้พินาศ โดยมากสัตว์ย่อมไปเกิดในชั้นอภัสรพรหม
2. เมื่อสัตว์ในชั้นอภัสรพรหมกลับมาเกิดในโลกมนุษย์ วิมานพรหมจะว่างเปล่า แต่จะมีสัตว์ผู้หนึ่ง ในชั้น อภัสรพรหม เข้าถึงวิมานพรหมที่ว่างเปล่าหลังกายแตกทำลาย
3. สัตว์ที่มาเกิดในชั้นอภัสรพรหมแต่ผู้เดียว อยากให้สัตว์อื่นมาเกิดในภพนี้บ้าง
4. ต่อมาเทวดาชั้นอภัสรพรหม หลังสิ้นอายุจึงได้มาเกิดในชั้นพรหมที่ว่างเปล่า
5. พรหมเกิดทีหลังจะนับถือพรหมเกิดก่อนให้เป็นใหญ่ เป็นมหาพรหม เป็นผู้มีอำนาจ เป็นผู้เนรมิต ทุกอย่าง มีชื่อว่าอิศวร
6. เป็นความเข้าใจผิดของพรหมเกิดทีหลัง คิดว่าพรหมเกิดก่อนเป็นผู้เนรมิตทุกสิ่งทุกอย่าง ทั้งที่ พรหมเกิดก่อน ไม่ได้สร้างอะไรเลย
7. เป็นธรรมดาที่พรหมเกิดก่อน ย่อมมีผิวพรรณงามกว่า มีศักดิ์มากกว่า มีอายุมากกว่า พรหมที่เกิด ภายหลัง
8. เมื่อเป็นอย่างนี้ ท่านทั้งหลายจึงควรออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต เพื่อการบรรลุ เจโตสมาธิ เมื่อจิตตั้งมั่นย่อมตามระลึกถึงขันธ์ในชาติที่แล้วได้

เขา (ความเห็นของสมณพราหมณ์) ผู้ใดแลเป็นพรหม เป็นมหาพรหม เป็นใหญ่ ไม่มีใครข่มได้ เป็นผู้ กุมอำนาจ เป็นผู้สร้าง เป็นผู้นิรมิต เป็นผู้บงการ เป็นผู้ทรงอำนาจ เป็นบิดาของหมู่สัตว์ พรหมผู้เจริญที่ เป็นผู้นิรมิตพวกเรา จะเป็นผู้เที่ยงยั่งยืน คงทน มีอายุยืน ไม่แปรผัน จักตั้งอยู่เที่ยงเสมอไปเช่นนั้นทีเดียว

ส่วนพวกเรา (ภิกษุในธรรมวินัย) ที่พระพรหมผู้เจริญนั้น นิรมิตแล้วนั้น เป็นผู้ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ไม่คงทน มีอายุน้อย ยังต้องจุติมาเป็นอย่างนี้ ก็พวกท่านบัญญัติ สิ่งที่โลกสมมติว่าเลิศ ว่า พระอิศวรทำให้ว่า พระพรหม ทำให้ตามลัทธิ อาจารย์ มีแบบเช่นนี้หรือมิใช่ สมณพราหมณ์เหล่านั้น ตอบอย่างนี้ว่า ท่านโคดม พวกข้าพเจ้า ได้ทราบมาดังที่ท่าน โคดม ได้กล่าวมานี้แล

ดูกรภัคควะ เราย่อมทราบชัดซึ่งสิ่งที่โลกสมมติว่าเลิศ ทั้งรู้ชัดยิ่งกว่านั้น และ ไม่ยึดมั่น ความรู้ชัดนั้น ด้วย เมื่อไม่ยึดมั่น จึงทราบความดับได้เฉพาะตนฉะนั้น ตถาคตจึงไม่ถึงทุกข์

 
 

 

ฉบับหลวง เล่มที่ ๑๑ สุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค หน้าที่ ๑๙


ปาฏิกสูตร (คัดมาบางส่วน)
(ตรัสกับภควะ)

               [๑๓] ดูกรภัคควะ อนึ่ง เราย่อมทราบชัดซึ่งสิ่งที่โลกสมมติว่าเลิศ ทั้ง รู้ชัดยิ่งกว่านั้น และไม่ยึดมั่นความรู้ชัดนั้นด้วย เมื่อไม่ยึดมั่น จึงทราบความดับ ได้เฉพาะตน ฉะนั้น ตถาคตจึง ไม่ถึงทุกข์

               ดูกรภัคควะ มีสมณพราหมณ์บางพวก บัญญัติสิ่งที่โลกสมมติว่าเลิศ ว่า  พระอิศวรทำให้ ว่าพระพรหมทำให้ ตามลัทธิอาจารย์ เราจึงเข้าไปถามเขา อย่างนี้ ว่า ได้ยินว่า ท่านทั้งหลายบัญญัติสิ่งที่โลกสมมติว่าเลิศ ว่าพระอิศวรทำให้ ว่า พระพรหมทำให้ ตามลัทธิอาจารย์จริงหรือ

        สมณพราหมณ์เหล่านั้น ถูกเราถามอย่างนี้ แล้วยืนยัน ว่า เป็นเช่นนั้น เราจึง ถามต่อไปว่าพวกท่านบัญญัติสิ่งที่โลกสมมติว่าเลิศ ว่าพระอิศวร ทำให้ ว่าพระพรหม ทำให้ ตามลัทธิอาจารย์มีแบบอย่างไร สมณพราหมณ์เหล่านั้น ถูกเราถามอย่างนี้ เมื่อตอบไม่ถูก จึงย้อนถามเรา เรา(ตถาคต) ถูกถามแล้ว จึงพยากรณ์ว่า

(เมื่อโลกใกล้พินาศ โดยมากสัตว์ย่อมไปเกิดในชั้นอภัสรพรหม)

       ท่านทั้งหลาย มีสมัยบางครั้งบางคราว โดยระยะกาลยืดยาวช้านานที่โลกนี้ จะ พินาศ เมื่อโลก กำลังพินาศอยู่ โดยมากเหล่าสัตว์ย่อมเกิดใน ชั้นอาภัสสรพรหม สัตว์เหล่านั้นได้สำเร็จทางใจ มีปีติเป็นอาหาร มีรัศมีซ่านออกจากกายตนเอง สัญจรไปได้ในอากาศ อยู่ในวิมานอันงาม สถิตอยู่ในภพนั้นสิ้น  กาลยืดยาวช้านาน

(เมื่อสัตว์ในชั้นอภัสรพรหมกลับมาเกิดในโลกมนุษย์ วิมานพรหมจะว่างเปล่า แต่จะมี สัตว์ผู้ใดผู้หนึ่ง ในชั้นอภัสรพรหม เข้าถึงวิมานพรหมที่ว่างเปล่าหลังกายแตกทำลาย)

               ดูกรท่านทั้งหลาย มีสมัยบางครั้งบางคราวโดยระยะกาลยืดยาวช้านาน ที่โลกนี้จะกลับเจริญ เมื่อโลกกำลังเจริญอยู่ วิมานของพรหมปรากฎว่าว่างเปล่า ครั้งนั้น สัตว์ผู้ใดผู้หนึ่ง จุติจากชั้นอาภัสสรพรหม เพราะสิ้นอายุหรือสิ้นบุญ ย่อม เข้าถึงวิมานพรหม ที่ว่างเปล่า

(สัตว์ที่มาเกิดในชั้นอภัสรพรหมแต่ผู้เดียว อยากให้สัตว์อื่นมาเกิดในภพนี้บ้าง)

       แม้สัตว์ผู้นั้นก็ได้สำเร็จทางใจ มีปีติเป็นอาหาร มีรัศมีซ่าน ออกจากกายตนเอง สัญจรไปได้ ในอากาศ อยู่ในวิมานอันงามสถิตอยู่ใน ภพนั้น สิ้นกาลยืดยาวช้านาน เพราะสัตว์นั้นอยู่แต่ผู้เดียวเป็นเวลานาน จึงเกิดความ กระสัน ความดิ้นรน ขึ้นว่า โอหนอ แม้สัตว์เหล่าอื่นก็พึงมาเป็นอย่างนี้บ้าง

(ต่อมาเทวดาชั้นอภัสรพรหม หลังสิ้นอายุจึงได้มาเกิดในชั้นพรหมที่ว่างเปล่า)

       ต่อมาสัตว์เหล่าอื่นก็จุติจากชั้น อาภัสสรพรหม เพราะสิ้นอายุหรือ เพราะสิ้นบุญ ย่อมเข้า ถึงวิมานพรหมที่ว่าง เป็นสหายของสัตว์ผู้นั้น แม้สัตว์พวกนั้น ก็ได้สำเร็จ ทางใจ มีปีติเป็นอาหาร มีรัศมีซ่านออกจากกายตนเอง สัญจรไปได้ในอากาศ อยู่ใน วิมานอันงาม สถิตอยู่ในภพนั้นสิ้นกาลยืดยาวช้านาน

(พรหมเกิดทีหลังจะนับถือพรหมเกิดก่อนให้เป็นใหญ่ เป็นมหาพรหม เป็นผู้มีอำนาจ เป็นผู้เนรมิต ทุกอย่าง มีชื่อว่าอิศวร)

               ดูกรท่านทั้งหลาย บรรดาสัตว์จำพวกนั้น ผู้ใดเกิดก่อน ผู้นั้นย่อมมีความ คิดเห็นอย่างนี้ว่า เราเป็นพรหม เราเป็นมหาพรหม เป็นใหญ่ไม่มีใครข่มได้ เห็นถ่องแท้ เป็นผู้กุมอำนาจ เป็นอิศวร เป็นผู้สร้าง เป็นผู้นิรมิต เป็นผู้ประเสริฐ  เป็นผู้บงการ เป็นผู้ทรงอำนาจ เป็นบิดา ของหมู่สัตว์ผู้เป็นแล้ว และกำลังเป็น สัตว์เหล่านี้ เราเนรมิตขึ้น ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่า เราได้มีความคิดอย่างนี้ก่อนว่า โอหนอ แม้สัตว์เหล่าอื่นก็พึงมาเป็น อย่างนี้ บ้าง ความตั้งใจของเราเป็นเช่นนี้และ สัตว์เหล่านี้ ก็ได้มาเป็นอย่างนี้แล้ว

(เป็นความเข้าใจผิดของพรหมเกิดทีหลัง คิดว่าพรหมเกิดก่อนเป็นผู้เนรมิตทุกสิ่ง ทุกอย่าง ทั้งที่พรหมเกิดก่อนไม่ได้สร้างอะไรเลย)

        แม้พวกสัตว์ที่เกิดภายหลัง
ก็มีความคิดเห็นอย่างนี้ว่า ท่านผู้เจริญนี้แล เป็นพรหม เป็นมหาพรหม เป็นใหญ่ ไม่มีใครข่มได้ห็นถ่องแท้ เป็นผู้กุมอำนาจ เป็นอิศวร เป็นผู้สร้างเป็นผู้นิรมิต เป็นผู้ประเสริฐ เป็นผู้บงการ เป็นผู้ทรงอำนาจ เป็นบิดา ของหมู่สัตว์ผู้เป็นแล้ว และ กำลังเป็นพวกเรา อันพระพรหมผู้เจริญนี้ นิรมิตแล้ว ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะว่า พวกเรา ได้เห็นท่านพรหมผู้นี้เกิดก่อน ส่วนพวกเราเกิดภายหลัง (เทวดาชั้นพรหมที่เกิดทีหลัง จะคิดว่า พรหมที่เกิดก่อน ย่อมเป็นใหญ่กว่าพรหมที่เกิดทีหลัง)

(เป็นธรรมดาที่พรหมเกิดก่อน ย่อมมีผิวพรรณงามกว่า มีศักดิ์มากกว่า มีอายุมากกว่า พรหมที่เกิด ภายหลัง)

               ดูกรท่านทั้งหลาย บรรดาสัตว์จำพวกนั้นสัตว์ใดเกิดก่อน สัตว์นั้นมีอายุ ยืนกว่ามีผิวพรรณงามกว่า มีศักดิ์มากกว่า ส่วนสัตว์ที่เกิดภายหลังมีอายุน้อยกว่า มีผิวพรรณทรามกว่า มีศักดิ์น้อยกว่า

(เมื่อเป็นอย่างนี้ ท่านทั้งหลายจึงควรออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต เพื่อการบรรลุ เจโตสมาธิ เมื่อจิตตั้งมั่นย่อมตามระลึกถึงขันธ์ในชาติที่แล้วได้)

               ดูกรท่านทั้งหลาย ก็เป็นฐานะที่จะมีได้แล ที่สัตว์ผู้ใดผู้หนึ่งจุติ จาก ชั้นนั้น แล้วมาเป็น อย่างนี้ เมื่อมาเป็นอย่างนี้แล้ว จึงออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต เมื่อบวชแล้ว อาศัยความเพียรเป็นเครื่องเผากิเลส อาศัยความเพียรที่ตั้งมั่น อาศัย ความประกอบ เนืองๆ อาศัยความไม่ประมาท อาศัยมนสิการโดยชอบแล้ว บรรลุ เจโตสมาธิ ที่เมื่อตั้งมั่นแล้ว ย่อมตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนนั้นได้ หลังแต่นั้นไประลึกไม่ได้

         เขา (ความเห็นของสมณพราหมณ์) จึงกล่าวอย่างนี้ว่าท่านผู้ใดแลเป็นพรหม เป็นมหาพรหม เป็นใหญ่ ไม่มีใครข่มได้ เห็นถ่องแท้ เป็นผู้กุมอำนาจเป็นผู้สร้าง เป็นผู้นิรมิต เป็นผู้ประเสริฐ เป็นผู้บงการ เป็นผู้ทรงอำนาจ เป็นบิดาของหมู่สัตว์ ผู้เป็นแล้ว และกำลังเป็น พระพรหมผู้เจริญใดที่นิรมิตพวกเรา พระพรหมผู้เจริญนั้น เป็นผู้เที่ยงยั่งยืน คงทน มีอายุยืน มีอันไม่แปรผัน เป็นธรรมดา จักตั้งอยู่เที่ยงเสมอไป เช่นนั้นทีเดียว (มีความเห็นว่าเที่ยง ไม่แปรผัน)

       ส่วนพวกเรา (ภิกษุในธรรมวินัย) ที่พระพรหมผู้เจริญ นั้น นิรมิตแล้วนั้น เป็นผู้ ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ไม่คงทน มีอายุน้อย ยังต้องจุติมาเป็นอย่างนี้ ก็พวกท่านบัญญัติ สิ่งที่โลกสมมติว่าเลิศ ว่า พระอิศวรทำให้ว่าพระพรหม ทำให้ตาม ลัทธิ อาจารย์ มีแบบเช่นนี้หรือมิใช่ สมณพราหมณ์เหล่านั้น ตอบอย่างนี้ว่า ท่านโคดม พวกข้าพเจ้า ได้ทราบมาดังที่ท่าน โคดม ได้กล่าวมานี้แล (มีความเห็นว่าไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน)

               ดูกรภัคควะ เราย่อมทราบชัดซึ่งสิ่งที่โลกสมมติว่าเลิศ ทั้งรู้ชัดยิ่งกว่านั้น และ ไม่ยึดมั่น ความรู้ชัดนั้นด้วย เมื่อไม่ยึดมั่น จึงทราบความดับได้เฉพาะตนฉะนั้น ตถาคตจึงไม่ถึงทุกข์

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------

               [๑๔] ดูกรภัคควะ มีสมณพราหมณ์บางพวกบัญญัติสิ่งที่โลกสมมติ ว่าเลิศ ว่ามีมูลมาแต่ เทวดาเหล่าขิฑฑาปโทสิกะ ตามลัทธิอาจารย์ เราจึงเข้าไปถาม อย่างนี้ ว่า ทราบว่าท่านทั้งหลายบัญญัติสิ่งโลกสมมติว่าเลิศ ว่ามีมูลมาแต่เทวดา เหล่า ขิฑฑาปโทสิกะ ตามลัทธิอาจารย์จริงหรือ สมณพราหมณ์เหล่านั้นถูกเราถาม อย่างนี้แล้ว ยืนยันว่าเป็นเช่นนั้น เราจึงถามต่อไปว่า พวกท่านบัญญัติสิ่งที่โลกสมมติ ว่าเลิศ ว่ามีมูล มาแต่เทวดาเหล่าขิฑฑาปโทสิกะตามลัทธิอาจารย์ มีแบบอย่างไร สมณพราหมณ์เหล่านั้น ถูกเราถามอย่างนี้แล้วตอบไม่ถูก เมื่อตอบไม่ถูก จึงย้อนถาม เรา เราถูกถามแล้ว จึงพยากรณ์ว่า      

               ดูกรท่านทั้งหลาย พวกเทวดาชื่อว่า ขิฑฑาปโทสิกะ มีอยู่ พวกนั้นพากัน หมกมุ่นอยู่ แต่ใน ความรื่นรมย์ คือการสรวลเส และการเล่นหัวจนเกินเวลา เมื่อพวก นั้นพากัน หมกมุ่น อยู่แต่ ในความรื่นรมย์ คือการสรวลเสและการเล่นหัว จนเกินเวลา สติ ก็ย่อมหลงลืม เพราะสติหลง ลืม จึงพากันจุติจากชั้นนั้น

               ดูกรท่านทั้งหลาย ก็เป็น ฐานะที่จะมีได้แล ที่สัตว์ผู้ใดผู้หนึ่ง จุติจากชั้น นั้นแล้ว มาเป็นอย่างนี้ เมื่อมาเป็น อย่างนี้แล้ว จึงออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต เมื่อบวชแล้ว อาศัยความเพียร  เป็นเครื่องเผากิเลส อาศัยความเพียรที่ตั้งมั่น อาศัยความประกอบเนืองๆ อาศัยความไม่ประมาท อาศัยมนสิการโดยชอบ แล้วบรรลุ เจโตสมาธิที่เมื่อ ตั้งมั่นแล้ว ย่อมตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนนั้นได้
หลังแต่นั้นไประลึกไม่ได้

        เขาจึงกล่าวอย่างนี้ว่า ท่าน พวกเทวดาผู้มิใช่เหล่า ขิฑฑาป โทสิกะ ย่อมไม่พา กันหมกมุ่นอยู่แต่ในความรื่นรมย์ คือการสรวลเส และ การเล่นหัว จนเกินเวลา สติ  ย่อมไม่หลงลืม เพราะสติไม่หลงลืม พวกเหล่านั้นจึงไม่ จุติจากชั้นนั้น เป็นผู้เที่ยง ยั่งยืน คงทน มีอายุยืน มีอันไม่แปรผันเป็นธรรมดา จักตั้งอยู่ เที่ยงเสมอไป เช่นนั้น ทีเดียว

        ส่วนพวกเราเหล่า ขิฑฑาปโทสิกะ หมกมุ่นอยู่แต่ในความรื่นรมย์ คือการ สรวลเส และ การเล่นหัวจนเกินเวลา สติย่อมหลงลืม เพราะสติหลงลืม พวกเราจึง  พากันจุติจากชั้นนั้น เป็นผู้ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ไม่คงทน มีอายุน้อย ยังต้อง จุติมาเป็น อย่างนี้ ก็พวกท่านบัญญัติ สิ่งที่โลกสมมติว่าเลิศว่ามีมูลมาแต่ เทวดาเหล่า ขิฑฑาป โทสิกะ ตามลัทธิอาจารย์ มีแบบเช่นนี้หรือมิใช่ สมณพราหมณ์เหล่านั้นตอบ อย่างนี้ว่า ท่านโคดมพวกข้าพเจ้า ได้ทราบมาดังที่ท่านโคดมได้กล่าวมานี้แล

         ดูกรภัคควะ เราย่อมทราบชัดซึ่ง สิ่งที่โลก สมมติว่าเลิศ ทั้งรู้ชัดยิ่งกว่านั้น และไม่ยึดมั่น ความรู้ชัดนั้นด้วย เมื่อไม่ยึดมั่น จึงทราบความดับเฉพาะตน ฉะนั้น ตถาคต  จึงไม่ถึงทุกข์

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------

              [๑๕] ดูกรภัคควะ มีสมณพราหมณ์บางจำพวกบัญญัติสิ่งที่โลกสมมติ ว่าเลิศ ว่ามีมูลมาแต่เทวดาเหล่ามโนปโทสิกะ ตามลัทธิอาจารย์ เราจึงเข้าไปถาม เขาอย่างนี้ว่า ทราบว่าท่านทั้งหลายบัญญัติสิ่งที่โลกสมมติว่าเลิศว่ามีมูลมาแต่เทวดา เหล่ามโนปโทสิกะ ตามลัทธิอาจารย์จริงหรือ สมณพราหมณ์เหล่านั้นถูกเราถาม อย่างนี้แล้ว ยืนยันว่าเป็น เช่นนั้น เราจึงถามต่อไปว่า พวกท่านบัญญัติสิ่งที่โลก สมมติว่าเลิศ ว่ามีมูลมาแต่เทวดา เหล่ามโนปโทสิกะ ตามลัทธิอาจารย์ มีแบบอย่างไร สมณพราหมณ์เหล่านั้น ถูกเราถาม อย่างนี้แล้ว ตอบไม่ถูกเมื่อตอบ ไม่ถูกจึงย้อนถาม เรา เราถูกถามแล้ว จึงพยากรณ์ว่า

     ดูกรท่านทั้งหลาย พวกเทวดาชื่อมโนปโทสิกะมีอยู่ พวกนั้นมักเพ่งโทษกันและ กัน เกินควร เมื่อมัวเพ่งโทษกันและกันเกินควร ย่อมคิดมุ่งร้ายกันและกันเมื่อต่าง คิดมุ่งร้ายกัน และกัน จึงลำบากกายลำบากใจ พากันจุติจากชั้นนั้น

               ดูกรท่านทั้งหลาย ก็เป็นฐานะที่จะมีได้แล ที่สัตว์ผู้ใดผู้หนึ่งจุติจาก ชั้นนั้นแล้ว มาเป็นอย่างนี้ เมื่อมาเป็นอย่างนี้แล้ว จึงออกจากเรือนบวชเป็นบรรพชิต เมื่อบวชแล้ว อาศัย ความเพียรเป็นเครื่องเผากิเลส อาศัยความเพียรที่ตั้งมั่น อาศัย ความประกอบ เนืองๆ อาศัยความไม่ประมาท อาศัยมนสิการโดยชอบแล้ว บรรลุเจโต สมาธิ ที่เมื่อ ตั้งมั่นแล้ว ย่อมตามระลึกถึงขันธ์ที่เคยอาศัยอยู่ในกาลก่อนนั้นได้ หลังแต่นั้นไประลึกไม่ได้

      เขาจึงกล่าวอย่างนี้ ว่า ท่านพวกเทวดาผู้มิใช่เหล่า มโนปโทสิกะ ย่อมไม่มัวเพ่ง โทษกัน และกันเกินควร เมื่อไม่มัวเพ่งโทษกันและกัน เกินควร ก็ไม่คิดมุ่งร้าย กันและกัน เมื่อต่างไม่คิดมุ่งร้าย กันและกันแล้ว ก็ไม่ลำบาก กาย  ไม่ลำบากใจ

         พวกนั้นจึงไม่จุติจากชั้นนั้น เป็นผู้เที่ยง ยั่งยืน คงทน มีอายุยืน มีอันไม่แปรผัน เป็นธรรมดา จักตั้งอยู่เที่ยงเสมอไปเช่นนั้นทีเดียว ส่วนพวกเรา เหล่ามโนปโทสิกะมัว เพ่งโทษกันและกันเกินควร เมื่อมัวเพ่งโทษกันและกัน เกินควร ก็คิดมุ่งร้ายกันและกัน เมื่อต่างคิดมุ่งร้ายกันและกัน จึงพากันลำบากกาย ลำบากใจ พวกเราจึงพากันจุติ จากชั้นนั้น เป็นผู้ไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ไม่คงทนมีอายุน้อย ยังต้องจุติมาเป็นอย่างนี้ ก็พวกท่านบัญญัติสิ่งที่โลกสมมติว่าเลิศ ว่า มีมูลมา แต่เทวดา เหล่ามโนปโทสิกะ ตามลัทธิอาจารย์ มีแบบเช่นนี้ หรือมิใช่

         สมณพราหมณ์เหล่านั้น ตอบอย่างนี้ว่า ท่านโคดม พวกข้าพเจ้าได้ทราบมา ดังที่  ท่านโคดมได้กล่าวมานี้แล ดูกรภัคควะเราย่อมทราบชัดซึ่งสิ่งที่โลกสมมติ ว่าเลิศ ทั้งรู้ชัดยิ่งกว่านั้น แต่เราไม่ยึดมั่น ความรู้ชัด นั้นด้วยเมื่อไม่ยึดมั่น จึงทราบ ความดับเฉพาะตน ฉะนั้น ตถาคตจึงไม่ถึงทุกข์

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------

              [๑๖] ดูกรภัคควะ มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่งบัญญัติสิ่งที่โลกสมมติว่า  เลิศ ถือกันว่าเกิดขึ้นลอยๆ ตามลัทธิอาจารย์ เราจึงเข้าไปถามเขาอย่างนี้ว่าทราบว่า ท่านทั้งหลายบัญญัติสิ่งที่โลกสมมติว่าเลิศ ถือกันว่าเกิดขึ้นลอยๆ ตามลัทธิอาจารย์ จริงหรือ สมณพราหมณ์เหล่านั้นถูกเราถามอย่างนี้แล้ว ยืนยันว่าเป็นเช่นนั้น เราจึงถามต่อไป ว่า พวกท่านบัญญัติสิ่งที่โลก สมมติว่าเลิศ ถือกันว่า เกิดขึ้นลอยๆ ตามลัทธิอาจารย์ มีแบบอย่างไร

         สมณพราหมณ์เหล่านั้นถูกเราถาม อย่างนี้แล้ว ตอบไม่ถูก เมื่อตอบไม่ถูก จึงย้อนถามเรา เราถูกถามแล้วจึง พยากรณ์ว่า

               ดูกรท่านทั้งหลาย มีเทวดาเหล่าอสัญญีสัตว์ ก็แลเทวดาเหล่านั้น ย่อมจุติ จากชั้นนั้นเพราะความเกิดขึ้นแห่งสัญญา ดูกรท่านทั้งหลาย ก็เป็นฐานะที่จะ มีได้แล ที่สัตว์ผู้ใดผู้หนึ่งจุติจากชั้นนั้น แล้วมาเป็นอย่างนี้ เมื่อมาเป็นอย่างนี้แล้ว  จึงออกจากเรือน บวชเป็นบรรพชิต เมื่อบวชแล้ว อาศัยความเพียรเป็นเครื่องเผา กิเลส อาศัยความเพียรเป็นที่ตั้งมั่น อาศัยความประกอบเนืองๆ อาศัยความไม่ประมาท อาศัย มนสิการโดยชอบ แล้วบรรลุเจโตสมาธิที่เมื่อตั้งมั่นแล้ว ย่อมตามระลึกถึงความเกิดขึ้น แห่งสัญญานั้นได้ หลังแต่นั้นไประลึกไม่ได้ เขาจึงกล่าวอย่างนี้ว่า อัตตาและโลก เกิดขึ้น ลอยๆ ข้อนั้นเป็นเพราะเหตุไร

        เพราะว่า เมื่อก่อนข้าพเจ้าไม่ได้มีแล้ว  [ไม่ได้มีสัญญา] เดี๋ยวนี้ข้าพเจ้านั้นไม่มี เพราะน้อมไปเพื่อความเป็นผู้สงบแล้ว ก็พวกท่านบัญญัติสิ่งที่โลกสมมติว่าเลิศ ถือกันว่า เกิดขึ้นลอยๆ ตามลัทธิอาจารย์ มีแบบเช่นนี้หรือ สมณพราหมณ์เหล่านั้น ตอบอย่างนี้ว่า ท่านโคดม พวกข้าพเจ้า ก็ได้ทราบมาดังที่ท่านโคดมได้กล่าวมานี้แล

               ดูกรภัคคว ะเราย่อมทราบชัดซึ่งสิ่งที่โลก สมมติว่าเลิศ ทั้งรู้ชัดยิ่งกว่านั้น และ ไม่ยึดมั่นความรู้ชัด นั้น ด้วย เมื่อไม่ยึดมั่น จึงทราบความดับเฉพาะตน ฉะนั้น ตถาคตจึงไม่ถึงทุกข์

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------

               [๑๗] ดูกรภัคควะ สมณพราหมณ์บางจำพวกกล่าวตู่เรา ผู้กล่าวอยู่ อย่างนี้เห็นอยู่อย่างนี้ ด้วยคำที่ไม่มีจริง ด้วยคำเปล่า ด้วยคำมุสา ด้วยคำที่ไม่เป็น จริงว่า พระสมณโคดมและพวกภิกษุวิปริตไปแล้ว เพราะพระสมณโคดมตรัสอย่างนี้ว่า สมัยใด พระโยคาวจรเข้าสุภวิโมกข์อยู่

        สมัยนั้น ย่อมทราบชัดซึ่งสิ่งทั้งปวงว่า ไม่งาม ดูกรภัคควะ ก็เราไม่ได้กล่าว อย่างนี้เลยว่า สมัยใด พระโยคาวจรย่อมเข้า สุภวิโมกข์ อยู่ สมัยนั้น ย่อมทราบชัด ซึ่งสิ่ง ทั้งปวงว่า ไม่งาม แต่เราย่อมกล่าวอย่างนี้ว่า สมัยใด พระโยคาวจรย่อมเข้า สุภวิโมกข์อยู่

       สมัยนั้นย่อมทราบชัดแต่สิ่งที่งามเท่านั้น ปริพาชก ชื่อภัคควโคตร  จึงกราบทูลว่า ก็ผู้ที่ชื่อว่าวิปริตไปแล้ว ก็คือผู้ที่กล่าวร้าย พระผู้มีพระภาค และพวก ภิกษุ เพราะตนวิปริตไปเองว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์เลื่อมใสในพระผู้มี พระภาคอย่างนี้ พระผู้มีพระภาคทรงสามารถแสดงธรรม ให้ข้าพระองค์  เข้าถึง สุภวิโมกข์อยู่

               ดูกรภัคควะ การที่ท่านผู้มีความเห็นไปทางหนึ่ง มีความพอใจไปทางหนึ่ง มีความ ชอบใจไปทางหนึ่ง ไม่มีความเพียรเป็นเครื่องประกอบ ไม่มีลัทธิอาจารย์ จะเข้าถึง สุภวิโมกข์อยู่เป็นของยากมาก ขอให้ท่านจงพยายามรักษาความเลื่อมใส  ในเรา เท่าที่ท่านมีอยู่ให้ดีก็พอ

       ปริพาชกชื่อภัคควโคตร จึงกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ถ้าว่าการที่ ข้าพระองค์ ผู้มีความเห็นไปทางหนึ่ง มีความพอใจไปทางหนึ่ง มีความชอบใจ  ไปทางหนึ่ง ไม่มีความเพียรเป็นเครื่องประกอบ ไม่มีลัทธิอาจารย์เข้าถึงสุภวิโมกข์ อยู่ เป็นของยากไซร้ ข้าพระองค์ก็จักพยายามรักษาความเลื่อมใสในพระผู้มีพระภาค  เท่าที่ข้าพระองค์มีอยู่ให้ดี

     พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพุทธพจน์นี้แล้ว ปริพาชกชื่อภัคควโคตร ยินดี ชื่นชม เพลิดเพลินพระภาษิตของพระผู้มีพระภาคแล้วแล

 

 
 
พุทธวจน : อ่านคำสอนพระศาสดา อ่านแบบสบายตา โดยคัดลอกหนังสือทั้งเล่มมาจัดทำเป็นเว็บเพจ (คลิกอ่านพร้อมดาวน์โหลดไฟล์ pdf)
90 90 90 90  
 
พุทธประวัติ ขุมทรัพย์
อริยสัจ
ภาคต้น
อริยสัจ
ภาคปลาย
ปฏิจจ ปฐมธรรม ตถาคต อนาคามี อินทรีย์
สังวร
สัตว์
สัตตานัง
ทาน
สกทาคามี
ฆราวาส
ชั้นเลิศ
มรรควิธี
ที่ง่าย
 
   
อริยวินัย เดรัจฉานวิชา กรรม สมถะ
วิปัสสนา
โสดาบัน อานา
ปานสติ
จิต มโน
วิญญาณ
ก้าวย่าง
อย่างพุทธะ
ตามรอย
ธรรม
ภพ ภูมิ
พุทธวจน
สาธยาย
ธรรม
สังโยชน์