(บาลี จตุกฺก. อํ. ๒๑/๓๓๓-๓๓๔/๒๕๔)
หนังสือพุทธวจน ปฏิบัติ สมถะวิปัสสนา
ธรรมที่ควรกำหนดรู้- ควรละ- ควรทำให้เจริญ- ควรทำให้แจ้ง
(นัยที่ ๑)
ภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๔ ประการเหล่านี้ คือ
1.ธรรมที่รู้ยิ่งด้วยปัญญาแล้ว พึงกำหนดรู้ คือ อุปาทานขันธ์ ๕
2.ธรรมที่รู้ยิ่งด้วยปัญญาแล้ว พึงควรละ คือ อวิชชา และ ภวตัณหา
3.ธรรมที่รู้ยิ่งด้วยปัญญาแล้ว พึงทำให้เจริญ คือ สมถะและวิปัสสนา
4.ธรรมที่รู้ยิ่งด้วยปัญญาแล้ว พึงทำให้แจ้ง คือ วิชชาและวิมุตติ
(นัยที่ ๒)
ภิกษุทั้งหลาย ส่วนบุคคล
เมื่อรู้ เมื่อเห็นจักษุ ตามความเป็นจริง
เมื่อรู้ เมื่อเห็นรูป ตามความเป็นจริง
เมื่อรู้ เมื่อเห็นจักษุวิญญาณ ตามความเป็นจริง
เมื่อรู้ เมื่อเห็นจักษุสัมผัส ตามความเป็นจริง
เมื่อรู้ เมื่อเห็นเวทนาที่เกิดขึ้น เป็นสุขก็ตาม อันเป็นทุกข์ก็ตาม มิใช่ทุกข์ มิใช่สุขก็ตาม ตามความเป็นจริง เขาย่อม
ไม่กำหนัด ในจักษุ
ไม่กำหนัด ในรูป
ไม่กำหนัด ในจักษุวิญญาณ
ไม่กำหนัด ในจักษุสัมผัส
ไม่กำหนัด ในเวทนาที่เกิดขึ้น เพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัย อันเป็นสุขก็ตาม เป็นทุกข์ก็ตาม มิใช่ทุกข์มิใช่สุขก็ตาม.
เมื่อบุคคลนั้นไม่กำหนัดแล้ว ไม่ติดพันแล้ว ไม่ลุ่มหลงแล้ว มีปกติเห็นโทษอยู่
อุปาทานขันธ์ ๕ ย่อมถึงซึ่งความไม่ก่อเกิดต่อไป และ ตัณหาอันเป็นเครื่องนำ ไปสู่ภพใหม่ อันประกอบด้วย
ความกำหนัด ด้วยอำนาจความเพลิน มีปกติเพลิดเพลินอย่างยิ่งในอารมณ์นั้นๆ เขาย่อมละเสียได้
ความกระวนกระวายแม้ทางกาย เขาย่อมละเสียได้
ความกระวนกระวายแม้ทางจิต เขาย่อมละเสียได้
ความแผดเผาแม้ทางกาย เขาย่อมละเสียได้
ความแผดเผาแม้ทางจิต เขาย่อมละเสียได้
ความเร่าร้อนแม้ทางกาย เขาย่อมละเสียได้
ความเร่าร้อนแม้ทางจิต เขาย่อมละเสียได้
บุคคลนั้น ย่อมเสวยซึ่งความสุข อันเป็นไปทางกายด้วย
ซึ่งความสุข อันเป็นไป ทางจิตด้วย
เมื่อบุคคล เป็นเช่นนั้นแล้ว
ทิฏฐิของเขา ย่อมเป็น สัมมาทิฏฐิ
ความดำริของเขา ย่อมเป็น สัมมาสังกัปปะ
ความพยายามของเขา ย่อมเป็น สัมมาวายามะ
สติของเขา ย่อมเป็น สัมมาสติ
สมาธิของเขา ย่อมเป็น สัมมาสมาธิ
ส่วนกายกรรม วจีกรรม และ อาชีวะ ของเขาย่อมบริสุทธิ์อยู่ก่อนแล้วนั่นเทียว
ด้วยอาการอย่างนี้ เป็นอันว่า อริยอัฏฐังคิกมรรค ของเขานั้น ย่อมถึงซึ่งความเจริญ บริบูรณ์
เมื่อเขาทำอริยอัฏฐังคิกมรรคให้เจริญอยู่ ด้วยอาการอย่างนี้
สติปัฏฐานทั้ง ๔ ย่อมถึงซึ่งความ เจริญบริบูรณ์
สัมมัปปธานทั้ง ๔ ย่อมถึงซึ่งความเจริญบริบูรณ์
อิทธิบาท ทั้ง ๔ ย่อมถึงซึ่งความ เจริญบริบูรณ์
อินทรีย์ทั้ง ๕ ย่อมถึงซึ่งความเจริญบริบูรณ์
พละทั้ง ๕ ย่อมถึงซึ่งความเจริญบริบูรณ์
โพชฌงค์ทั้ง ๗ ย่อมถึงซึ่งความเจริญบริบูรณ์
(โพธิปักขิยธรรม 37)
ธรรมทั้งสองคือสมถะ และวิปัสสนาของเขานั้นย่อมเป็นธรรมเคียงคู่กันไป เขาชื่อว่า
ย่อมกำหนดรู้ ซึ่งธรรมทั้งหลาย ที่ควร กำหนดรู้ ด้วยปัญญาอันยิ่ง
ย่อมละ ด้วยปัญญาอันยิ่ง ซึ่งธรรมทั้งหลายอันบุคคลพึงละด้วยปัญญาอันยิ่ง
ย่อมทำให้เจริญ ด้วยปัญญาอันยิ่ง ซึ่งธรรมทั้งหลายอันบุคคลพึงทำให้เจริญด้วย ปัญญาอันยิ่ง
ย่อมทำให้แจ้ง ด้วยปัญญาอันยิ่ง ซึ่งธรรมทั้งหลาย อันบุคคลพึงทำให้แจ้งด้วย ปัญญาอันยิ่ง
ภิกษุทั้งหลาย ก็ธรรมที่ ควรกำหนดรู้ ด้วยปัญญาอันยิ่งเป็นอย่างไร
กล่าวคือ อุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ ได้แก่
อุปาทานขันธ์
คือรูปอุปาทานขันธ์
คือเวทนาอุปาทานขันธ์
คือสัญญาอุปาทานขันธ์
คือสังขาร อุปาทานขันธ์
คือวิญญาณ เหล่านี้ชื่อว่า ธรรมที่ควรกำหนดรู้ด้วยปัญญาอันยิ่ง
ภิกษุทั้งหลาย ก็ธรรมที่ ควรละ ด้วยปัญญาอันยิ่งเป็นอย่างไร
กล่าวคือ อวิชชา และภวตัณหา เหล่านี้ชื่อว่า ธรรมที่ควรละด้วยปัญญาอันยิ่ง
ภิกษุทั้งหลาย ก็ธรรมที่ ควรทำให้เจริญ ด้วยปัญญาอันยิ่งเป็นอย่างไร
กล่าวคือ สมถะ และ วิปัสสนา เหล่านี้ชื่อว่า ธรรมที่ควรเจริญด้วย ปัญญาอันยิ่ง
ภิกษุทั้งหลาย ก็ธรรมที่ ควรทำให้แจ้ง ด้วยปัญญาอันยิ่งเป็นอย่างไร
กล่าวคือ วิชชา และ วิมุตติ เหล่านี้ชื่อว่า ธรรมที่ควรทำ ให้แจ้งด้วย ปัญญาอันยิ่ง (ในกรณีแห่งหมวด โสตะ ฆานะ ชิวหา กายะ และ มนะ ก็มีข้อความที่ตรัสไว้อย่าง เดียวกัน พึงขยายความเอาเองให้เต็มตามนั้น) |